สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่น – อเมริกาที่โยโกสุกะ (Yokosuka) หลังจากที่เราเที่ยว Tokyo กันบ่อยแล้ว ในทริปนี้เราจึงตั้งใจว่าจะออกไปเที่ยวรอบๆ โตเกียวดูบ้าง หวยจึงไปตกที่เมือง Kawasaki และเมือง Yokohama ในจังหวัด Kanagawa ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน Haneda
พูดถึงประเทศญี่ปุ่นนั้น นอกเหนือจากเรื่องราวของวัฒนธรรมและสื่อบันเทิงต่างๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ประเทศนี้โดดเด่นมากก็คือด้านการเมืองการปกครอง ซึ่งเมืองโยโกสุกะถือเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่อเมริกาเลือกใช้เพื่อป้องกันการโจมตีทางน่านน้ำฝั่งอ่าวโตเกียว
ดังนั้นเมืองนี้ในอดีตจึงเต็มไปด้วยทหารอเมริกาที่อยู่มาตั้งแต่ยุคเอโดะที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ มาจนถึงยุคหลังสงครามที่ได้เข้ามาช่วยพัฒนาเมือง การมีอยู่ของทหารอเมริกาในเมืองนี้ส่งผลโดยตรงต่อวัฒนธรรมโยโกสุกะ
สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ ‘อาหาร’ โดยโยโกสุกะขึ้นชื่อเรื่อง “แฮมเบอร์เกอร์” ซึ่งเป็นเมนูสุดโปรดขั้นพื้นฐานของชาวอเมริกัน
(บรรยากาศและเมนูบางส่วนของ Coco’s ซึ่งร่วมมือกับการ์ตูนโดราเอม่อนในเมนูสำหรับเด็ก)
เราเริ่มต้นการทัวร์โยโกสุกะด้วยการเดินทางจากโรงแรม KEIKYU EX INN YOKOSUKA RESEARCH CENTER แวะกินอาหารเช้าที่ร้าน Coco’s ร้านสุดฮิตของชาวเมือง ขายอาหารหลากหลายรูปแบบทั้งญี่ปุ่น อเมริกัน เม็กซิกัน
โดยเราเลือกทานบุฟเฟต์อาหารเช้าที่มี drink bar, ขนมปัง , ข้าวแกงกะหรี่ เป็นหลัก ไม่น่าเชื่อว่าในเช้าวันอาทิตย์เวลา 8 โมงแบบนี้ ร้าน Coco’s ก็มีแขกเต็มร้านซะแล้ว! สมกับที่เป็นร้านชื่อดังของเมืองจริงๆ
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปที่ถนนโดบุอิตะ (Dobuita Street) ถนนเส้นสำคัญของเมือง ซึ่งเคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวของทหารอเมริกันในอดีต
(บรรยากาศร้าน Kanmania)
(ขนมปังแกงกะหรี่ทำสดต่อวัน ราคาเพียงชิ้นละ 250 เยน ต้องลอง!)
ทันทีที่เลี้ยวเข้ามาสู่ถนนโดบุชิตะ เราก็แวะเข้ามาที่ KANMANIA SOUVENIR & CAFE ทันที ซึ่งเป็นร้านขายของฝากขึ้นชื่อของเมืองและเป็นร้านที่เหล่าผู้ชื่นชอบเรือรบใช้นัดพบหรือจัดอีเวนท์ แต่สิ่งที่เราสนใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ ‘ขนมปังแกงกะหรี่’ ที่ทำมาจากแกงกะหรี่สูตรดั้งเดิมที่เรียกว่า Kaigun Curry (แกงกะหรี่ทหารเรือ) แกงกะหรี่สูตรนี้จะใช้เนื้อชิ้นโตเพื่อเสิร์ฟทหารซึ่งต้องการโปรตีนเยอะกว่าคนทั่วไป
(Kaigun Curry สำเร็จรูปก็มีจำหน่ายเช่นกัน)
(ชั้นสองของร้านเป็นคาเฟ่น่ารักๆ ให้นั่งพักและสามารถชาร์ตแบตได้อีกด้วย)
(Soft Cream ที่นี่จะราดด้วยซอสคาราเมล มัทฉะ และช็อกโกแลต)
(Hot Dog แป้งชาร์โคลก็เป็นอีกหนึ่งเมนูแนะนำ)
อีกจุดเด่นของถนนเส้นนี้ที่โดนใจเราที่สุดก็คือมันเป็นต้นตำรับของชุด ‘Sukajan’ หรือเสื้อคลุมปักลายดุๆ ที่ฮิตเหนือกาลเวลานั่นเอง คำว่า Sukajan ย่อมาจาก “Yokosuka Jumper” ซึ่งมีที่มาจากทหารอเมริกันที่อยากจะจัดชุดเฉพาะทีมของตนเอง
ทีแรกก็เอาพวกเศษผ้าจากร่มชูชีพมาประยุกต์ใช้พร้อมปักรูปโหดๆ เท่ๆ เอาไว้ (ยุคแรกจะเป็นรูปเสือและมังกรเป็นส่วนใหญ่) จนกระทั่งค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาจนเป็นแบบที่เราเห็นในปัจจุบัน
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาโยโกสุกะ สามารถหาซื้อเสื้อแบบนี้ได้ไม่ยาก โดยมีหลายระดับให้เลือกตั้งแต่ไม่กี่พันเรื่อยไปจนถึงหลายหมื่นเยน หรือหากใครไม่อยากซื้อ ก็มีบริการให้เช่าใส่เดินระหว่างเที่ยวอีกด้วย
(สามารถเช่าชุดได้ที่ Dobuita Center)
(ใส่แล้วออกมาเป็นแบบนี้ !)
หลังจากลองใส่กันแล้ว เราก็แวะมาที่ร้าน MIKASA ร้านขาย Sukajan ที่โด่งดังไปทั่วโลก ที่ร้านนี้มีทั้งเสื้อ, กระเป๋า ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และมีหลายขนาดให้เลือก ตอบโจทย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
(บรรยากาศภายในร้าน)
(เสื้อ Sukajan มีแบ่งเป็น collection เช่นกัน อย่างในภาพนี้เป็นซีรี่ย์สงครามเวียดนาม)
(เสื้อสีทองตัวนี้เป็นหนึ่งในตัวที่มีราคาแพงที่สุดในร้าน จัดทำในญี่ปุ่นทั้งหมด มีลวดลายประณีตสวยงาม)
หลังจากช็อปปิ้งจนหนำใจ ก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน ! เราแวะไปที่ ‘One Drop Cafe’ คาเฟ่เล็กๆ ยอดนิยมบนถนนโดบุอิตะนั่นล่ะ โดยร้านนี้โดดเด่นในเรื่องผัก ถึงขนาดมีคนรีวิวว่าเป็นคาเฟ่ที่เหมาะกับคนกินมังสวิรัติสุดๆ
เมนูที่เราสั่งวันนี้เป็นจานรวมผักพร้อมข้าวและซุป ซึ่งผักทั้งหมดเป็นผักที่ปลูกในโยโกสุกะโดยตรง จึงมีความสดมากๆ เหมาะกับการทำอาหารเพื่อสุขภาพจริงๆ จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร้านนี้จึงเป็นที่นิยมจากทั้งคนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ
(ชุดผัก ราคา 1,296 เยน)
(มาพร้อมกับสมูทตี้ผักรสชาติอร่อย ไม่ขม)
การเดินทางมา Dobuita Street : ลงสถานี Shioiri Station (เดินทางจาก Shinagawa โตเกียว ใช้เวลา 57 นาที ด้วยรถไฟ Keikyu Line)
(ท่าเรือและเรือที่ใช้ข้ามไปเกาะซารุชิมะ สามารถมองเห็นเรือรบมิคาสะได้อย่างชัดเจน)
อยู่ในเมืองกันมานาน เราลองออกไปนอกเมืองกันบ้างดีกว่า! แต่คราวนี้พิเศษหน่อยตรงที่เราจะข้ามแผ่นดินไปอีกเกาะกันเลย เรามุ่งหน้าไปสู่เกาะซารุชิมะ (Sarushima) โดยไปขึ้นเรือที่ท่าเรือมิคาสะ (Mikasa Pier) ซึ่งอยู่ติดกับเรือรบมิคาสะ
เกาะแห่งนี้เคยเป็นค่ายทหารในสมัยรัฐบาลโชกุนโทกุงาวะ มีการสร้างอาวุธมากมายที่นี่และมี ก่อนจะพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของฐานทัพเรือโยโกสุกะ และกลายมาเป็นเกาะร้างที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลงเหลืออยู่คือซากอารยธรรมที่สวยงามและเหมือนพาเราหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง มีหลักฐานยืนยันว่าเคยมีคนอาศัยอยู่ที่นี่เมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว และจุดเด่นอีกอย่างของที่นี่ก็คือการเป็นสถานที่ปิ้ง BBQ ชื่อดังของญี่ปุ่น ที่มักเต็มไปด้วยผู้คนในช่วงฤดูร้อน
(พื้นที่ริมหาดตรงนี้คือจุดที่สามารถทำบาร์บีคิวได้ และพิเศษสำหรับคนที่ชอบดื่มแอลกอฮอล์ เพราะที่เกาะนี้คุณสามารถดื่มที่ไหนก็ได้ ขอเพียงรักษาความสะอาดให้ดีก็พอ)
หลังจากที่นั่งเรือมาประมาณ 15 นาที ในที่สุดเราก็มาถึงเกาะซารุชิมะกันแล้ว! เกาะนี้มีพื้นที่ 56,000 เมตร ใช้เวลาเดินรอบเกาะประมาณ 90 นาทีเท่านั้น แต่ต้องบอกว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะเกาะนี้เคยปิดไม่ให้คนเข้ามานานกว่า 60 ปี
ชื่อเกาะแปลเป็นไทยว่า ‘เกาะลิง’ มีที่มาจากเรื่องราวในอดีต ที่เล่าว่ามีนักบวชคนหนึ่งนั่งเรือไปเผยแพร่ศาสนาแต่เจอพายุซัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นลิงตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาและนำทางเขามาที่เกาะแห่งนี้จนสามารถรอดชีวิตมาได้ คนเลยเรียกชื่อเกาะว่า ‘ซารุ’ นับแต่นั้น
โดยเกาะแห่งนี้มักถูกนำไปเทียบกับเกาะลอยฟ้า ‘ลาพิวต้า’ จากอนิเมชั่น Castle in the Sky ของ Studio Ghibli
เส้นทางในเกาะดูลึกลับเหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ทางที่เดินทางมาจากเมืองเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
มีร่องรอยของการสลักชื่อประเทศบนกำแพงระหว่างทางเดิน แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวมากมายที่เคยเกิดขึ้นบนเกาะแห่งนี้
เกาะแห่งนี้มีนิยามว่า ‘เดินทางเพียง 10 นาทีคุณก็หนีจากความเป็นเมืองมาเจอธรรมชาติได้แล้ว’ และบรรยากาศที่ดูลึกลับนี้เอง ทำให้เหมาะต่อการถ่ายรูปมากๆ มีวัยรุ่นญี่ปุ่นมากมายที่เดินทางมาถ่ายรูปโดยเฉพาะ เคล็ดลับที่เจ้าหน้าที่แนะนำก็คือให้แต่งตัวหรือใส่เครื่องประดับสีสด เพราะจะตัดกับบรรยากาศบนเกาะเป็นอย่างดี
ตั๋วเรือไป-กลับราคา 1,500 เยน แบ่งเป็นค่าเดินทาง 1,300 เยน และค่าขึ้นเกาะอีก 200 เยน
วันนี้เราเข้าพักกันที่โรงแรม Keikyu Kannonzaki Hotel ซึ่งเดินทางมาได้ง่ายๆ ด้วยแท็กซี่หรือ shuttle bus ของทางโรงแรม ใช้เวลาเพียง 7 นาทีจากสถานี Maborikaigan (Keikyu Line) โรงแรมนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของบรรยากาศสวยงามติดทะเลและสปาชั้นยอด ผู้เข้าพักสามารถใช้บริการได้เลย
เกร็ดเล็กน้อยคือในภาพยนตร์ Godzilla ภาคแรก จุดที่ก็อดซิลล่าขึ้นฝั่งญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกก็คือตรง Kannonzaki นี่ล่ะ!
(ภาพจากภาพยนตร์)
สรุปแล้ว Yokosuka เป็นอีกหนึ่งเมืองที่น่าสนใจและอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว หากมีโอกาสเราอยากชวนให้ผู้อ่านลองแวะมาสักครั้ง รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน
เรื่องแนะนำ :
– เที่ยว Hayama เมืองตากอากาศและกิจกรรมสุดชิค!
– ฟินกับซากุระก่อนใครได้ทั้งวันที่สถานี Miurakaigan
– หนึ่งวันใน Miura สวรรค์ใกล้ๆ กรุงโตเกียว!
– ONE DAY TRIP (Kawasaki – Yokohama) เปิดประสบการณ์ใหม่ จากโตเกียวเพียง 40 นาที
#Yokosuka #วัฒนธรรมญี่ปุ่น