เมื่อพูดถึงประเทศญี่ปุ่นหลายๆ คนคงคิดถึงเรื่องการทำงานหนักถึงขั้นไม่ยอมนอนหลับพักผ่อน ไม่กินข้าวกินปลา เรียกว่ายอมพลีชีวีเพื่อให้งานออกมาดี (หรือเปล่าไม่รู้) ลักษณะการทำงานของคนญี่ปุ่นคือ
ครั้งแรกที่ได้ไปญี่ปุ่น รถที่ดิฉันนั่งบังเอิญผ่านจุดที่กำลังซ่อมถนน แล้วก็มีกรวยกั้นให้เลี่ยงทางที่กำลังซ่อม พร้อมทั้งมีลุงคนหนึ่งที่คอยโบกธงบอกทางให้รถวิ่งเบี่ยงไปอีกเลน
ลุงคนนั้นสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตั้งใจโบกธงมาก ดิฉันสัมผัสได้ว่าลุงแกภาคภูมิใจประหนึ่งงานที่แกทำเป็นภาระระดับชาติเลยทีเดียว เพื่อนคนฝรั่งเศสที่นั่งรถไปกับดิฉันก็สังเกตเหมือนกัน เขาบอกว่าถ้าทำงานแบบนี้ที่ฝรั่งเศสคงจะรู้สึกแย่น่าดู และเราก็มานั่งสงสัยกันว่าอะไรที่ทำให้คุณลุงคนนั้นแกถึงได้ปลี้มปริ่มใจในอาชีพของแกยิ่งนัก
เมื่อพูดถึงประเทศญี่ปุ่นหลายๆ คนคงคิดถึงเรื่องการทำงานหนักถึงขั้นไม่ยอมนอนหลับพักผ่อน ไม่กินข้าวกินปลา เรียกว่ายอมพลีชีวีเพื่อให้งานออกมาดี (หรือเปล่าไม่รู้) ลักษณะการทำงานของคนญี่ปุ่นคือ
1) การทำงานหนักและความพยายามอย่างไม่ท้อถอยเท่านั้นถึงจะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้
ดิฉันคิดว่าเบื้องหลังวัฒนธรรมการทำงานหนักของคนญี่ปุ่นนั้นเกิดจากสาเหตุคือประเทศเคยประสบภัยหลายอย่าง ทั้งภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่และสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาชนเกิดความทุกข์ยากและต้องฟื้นเศรษฐกิจด้วยตัวเอง ดังนั้นเมื่อได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไรเขาจะทำงานนั้นอย่างดีที่สุด โดยคิดว่าไม่มีใครจะทำหน้าที่นี้ได้ดีไปกว่าเรา พร้อมที่จะเสียสละตนเองเมื่อเห็นว่าส่วนรวมได้ประโยขน์ คนญี่ปุ่นยังมีวัฒนธรมรมที่ถูกสอนให้พึ่งพาตัวเอง เอาใจใส่และจริงจังกับทุกเรื่อง
2) รักในงานที่ทำ
ผู้ก่อตั้งบริษัทมักจะมีประวัติที่ฟันฝ่าต่อสู้กับอุปสรรคนานาชนิดกว่าจะมาเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม เช่น บะหมี่สำเร็จรูปจากบริษัทนิชชิน ฟู้ด ที่ผู้คิดค้นต้องพยายามและผ่านความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตบะหมี่ที่สามารถเติมน้ำร้อนและรับประทานได้เลยอย่างทุกวันนี้
จุดมุ่งหมายของเขาคือให้ชาวญี่ปุ่นที่เพิ่งผ่านความยากลำบากมีโอกาสได้รับประทานบะหมี่ร้อนๆ แสนอร่อย (ซึ้ง) วันก่อนดิฉันดูภาพยนต์สารคดีเรื่องจิโรซูชิ กว่าจะโด่งดังมาได้ถึงทุกวันนี้ คุณลุงแกผ่านการลองผิดลองถูกผ่านความพยายามมานักต่อนัก ตั้งแต่การเลือกซื้อวัตถุดิบเอง เช่น ข้าว ปลา ปลาหมึก กุ้ง ฯลฯ รวมไปถึงแต่ละขั้นตอนการทำ เช่น การหุงข้าว การแล่ปลา การนวดหนวดปลาหมึก แกจะรู้ทันทีหากพนักงานในร้านแกทำอะไรผิดขั้นตอนไปแม้เพียงเล็กน้อย ที่สำคัญแกคอยหาวิธีที่จะปรับปรุงวิธีการทำซูชิให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้คนรับประทานมีความสุข ซึ่งนั่นก็สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการทำงานของคนญี่ปุ่นคือ มุ่งปรับปรุงคุณภาพงานให้ดีอยู่เสมอ
3) งานและชีวิตคือสิ่งเดียวกัน
สำหรับคนญี่ปุ่นเขาแยกงานและชีวิตออกจากกันไม่ได้ เขายินดีที่จะร่วมเป็นร่วมตายกับบริษัท เพราะเขาคิดว่างานดูแลเขาและครอบครัวเขาด้วย บางทีงานเสร็จ เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานไม่เสร็จก็กลับบ้านไม่ได้ คนญี่ปุ่นมักทำงานที่ไหนไม่เปลี่ยนงาน (แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมนี้เปลี่ยนไปมาก คนรุ่นใหม่นิยมเปลี่ยนงานกันมากขึ้น) เพราะถ้าออกก็ไม่มีบริษัทอื่นอยากรับนอกจากคุณจะไปยอมเริ่มต้นใหม่ในตำแหน่งล่างๆ ดังนั้นการทำงานจะพลาดไม่ได้ พลาดคือจบ ไม่มีโอกาสใหม่
บริษัทญี่ปุ่นจะรับพนักงานเป็นรอบประจำปี ในการเริ่มงานใหม่บริษัทจะจัดปฐมนิเทศน์ให้ซาบซื้งถึงปรัชญาการบริหารงานและเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบริษัท พนักงานจึงรักบริษัทมาก เจ้านายเก่าของดิฉันเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนแกสมัครเข้าทำงานบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในตำแหน่งพนักงานออฟฟิส แต่แกกลับได้รับมอบหมายให้ไปเรียนงานที่โรงงานประกอบรถยนต์ที่ทั้งร้อนทั้งเหนื่อยเป็นเวลาสองปี ทุกชิ้นส่วนที่ประกอบเป็นรถยนต์ แกได้สัมผัสมันทุกชิ้น ทำให้แกอินมากและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทสุดๆ ค่ะ
4) รักษามาตรฐานในงานที่ทำ
คนญี่ปุ่นถือเรื่องมาตรฐานการทำงานเป็นอันดับหนึ่ง ทุกอย่างต้องมีขั้นตอนและระบบที่ตรวจสอบคุณภาพได้ อะไรที่ต่ำกว่ามาตรฐานจะไม่ได้หลุดรอดออกไป เรื่องง่ายๆ ที่อธิบายได้ดีคือ ดิฉันเคยไปซื้อทาโกะยากิกับป้าที่เปิดร้านขายแบบรถเข็น ป้าแกจะต้องคอยมอนิเตอร์อุณหภูมิของเตาตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ทาโกะยากินิ่มหรือแข็งเกินไป ต้องกรอบนอกนุ่มใน ดิฉันเคยจะไปซื้อและรีบไปขึ้นรถ ป้าแกบอกว่าขายให้ไม่ได้เพราะอุณหภูมิยังไม่ได้ที่ เรียกว่ายอมเสียเงินได้แต่ไม่ยอมเสียหน้าค่ะ ฮ่าๆๆ
ตอนดิฉันอยู่ญี่ปุ่นจะเห็นพนักงานออฟฟิสญี่ปุ่นหลายคนจับรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่หมดประมาณเกือบเที่ยงคืนมาซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิดสำหรับคนทำงานดึก พนักงานเหล่านั้นหน้าตาดูเหนื่อยล้า แววตาดูไร้ชีวิต การทำงานหนักโดยไม่ยอมพักผ่อนก็ก่อให้เกิดผลเสียมากมายเช่นกัน ทั้งต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ คุณผู้อ่านคงเคยได้ยินข่าวพนักงานญี่ปุ่นหัวใจวายหรือเส้นเลือดในสมองแตกตายเพราะทำงานหนักเกินไป
หลายๆ ออฟฟิสยังมีพนักงานที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือมีปัญหาทางจิตเนื่องจากความเครียด บางคนรับสภาวะความกดดันไม่ไหวก็อาจตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ในหลายๆ ครอบครัวการที่หัวหน้าครอบครัวทำงานหนักเกินไปทำให้เกิดความห่างเหินกัน ผู้ชายคิดว่าหน้าที่การดูแลบ้านและลูกเป็นของผู้หญิง ผู้ชายมีหน้าที่ทำงานเท่านั้น ดังนั้นอาจขาดความผูกพันฉันท์สามีภรรยาและความสนิทสนมระหว่างพ่อลูกด้วยค่ะ
ดิฉันคิดว่าอะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น เดินทางสายกลางดีที่สุดค่ะ