หนุ่มไทย vs หนุ่มญี่ปุ่น…ข้อดีอย่างหนึ่งของการคุยกับ 2 หนุ่มจาก 2 ประเทศในช่วงเวลาเดียวกัน คือ เห็นความแตกต่างในการสนทนาได้อย่างชัดเจนค่ะ (ดิฉันไม่ขอเรียกว่าจีบสาว เพราะยังไม่รู้ว่าตกลงเขาคิดอะไร หรือดิฉันหวังลมๆ แล้งๆ ไปเอง..55) ทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างไรเหรอคะ?
ตอนนี้ ชีวิตดิฉันอยู่ในช่วงขาขึ้นเล็กน้อย มีหนุ่ม 2 รายเข้ามาคุยและให้ความสนิทสนมกับป้าอย่างดิฉัน คนหนึ่งเป็นรุ่นพี่คนไทย อีกคนเป็นพี่คนญี่ปุ่นที่ชอบเมืองไทยซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนดิฉันอีกทีหนึ่ง ข้อดีอย่างหนึ่งของการคุยกับ 2 หนุ่มจาก 2 ประเทศในช่วงเวลาเดียวกัน คือ เห็นความแตกต่างในการสนทนาได้อย่างชัดเจนค่ะ (ดิฉันไม่ขอเรียกว่าจีบสาว เพราะยังไม่รู้ว่าตกลงเขาคิดอะไร หรือดิฉันหวังลมๆ แล้งๆ ไปเอง..55) ทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างไรเหรอคะ? ยกตัวอย่างเช่น….
1. คำทักทาย
เริ่มจากมุมแดง ฝ่ายไทย… ตอนเช้า จะโผล่มามุ้งมิ้งแบบนี้


[ad id=”61″]
มาดูฝั่งน้ำเงิน คู่ท้าชิงจากแดนอาทิตย์อุทัยกันบ้าง เท่าที่ดิฉันสังเกต ส่วนใหญ่ผู้ชายญี่ปุ่นที่ชอบเมืองไทยมากๆ มักจะมีอะไรแปลกๆ โดยเฉพาะพวกที่ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะฉะนั้น หนุ่มญี่ปุ่นที่ดิฉันจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ อาจเป็นตัวแทนประชากร (Sample) ที่บิดเบือน (Bias) จากหนุ่มญี่ปุ่นโดยปกติทั่วไปบ้างเล็กน้อยนะคะ
จากการสังเกต หนุ่มญี่ปุ่นคนนี้ไม่เคยใช้รูปสติ๊กเกอร์น่ารักๆ หรือหน้ายิ้มหรือ Emoji อะไรเลย พี่แกจะทักทายอยู่แพทเทิร์นเดียว คือ เริ่มจาก “Kombanwa” หรือ “Ohayo gozaimasu” ซึ่งแปลว่า “สวัสดีครับ” จากนั้น ก็เริ่มเล่า Event ที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ชีวิตเขาในวันนั้น เช่น
“เช้านี้ ผมจะไปตกปลาครับ”
“วันนี้ ผมจะบินไปประชุมที่โอกินาว่า”
แล้วก็จะเล่าๆๆ เรื่องราวตัวเองไปเรื่อยๆ เกตุวดีซึ่งพยายามทำตัวเป็นสาวที่ดี ก็เลยเป็นฝ่ายป้อนคำถามไปเรื่อยๆ แทน เช่น “ไปประชุมนานไหมคะ” “จะไปทำอะไรที่โอกินาว่าบ้างเหรอคะ” และสอดแทรกด้วยประโยคแสดงการรับรู้ เช่น “โอ เหรอคะ” “ว้าว..สุโก้ย” “เหนื่อยแย่เลยนะคะ” (ดูเป็นนางเอกแอ๊บๆ เนอะ ไม่เหมือนเกตุวดีที่กำลังปั่นต้นฉบับอยู่ตอนนี้ หึๆ)
บางครั้ง พี่แกก็จะเล่าเหตุการณ์บางอย่างที่สาวอย่างดิฉันฟังแล้วมึนๆ หน่อย เช่น …
“คอมบังวะ (สวัสดีครับ) วันนี้ผมไปกินเนื้อแพะมาครับ”

ถ้าเป็นหนัง คงเหมือนเปิดอินโทรขึ้นมาได้ 3 วินาทีแล้วหักมุมจบไปเลย คือดิฉันก็เข้าใจนะคะว่าพี่เพิ่งทานเนื้อแพะเป็นครั้งแรกในชีวิต และพี่คงตื่นเต้นมาก…แต่ทำไมต้องรีบเล่าซะขนาดนั้น เกริ่นหน่อยก็ได้ว่าไปนั่งทานร้านอาหารไหน แล้วค่อยเล่าเรื่องแพะก็ยังไม่สาย (สุดท้าย…พอดิฉันถามว่า แล้วเป็นยังไงคะ รสชาติอร่อยไหม ชอบไม่ชอบ พี่แกก็บอกว่าเฉยๆ ก็ดี…แหม่ เริ่มมาซะตื่นเต้น แล้วก็จบแบบห้วนๆซะอย่างงั้น )
สถานการณ์จะพลิกกลับทันทีเมื่อคุยกับหนุ่มไทยค่ะ หนุ่มไทยมักจะเริ่มบทสนทนาด้วยคำถามก่อน เน้นให้สาวเล่ามาเยอะๆ คอยยิงคำถามไปเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสาวให้มากที่สุด แต่กรณีหนุ่มญี่ปุ่น เวลาคุยด้วยแล้วดิฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์ คอยนั่งฟังพี่แกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต (สำหรับผู้หญิงญี่ปุ่น การจะเป็นแฟนที่ดี ต้องมีคุณสมบัติหนึ่งคือการตั้งใจฟังค่ะ เขาบอกว่า จะทำให้ผู้ชายสบายใจ ให้เรานั่งเงียบๆ เป็นฝ่ายฟัง)
2. คำบอกลา
หนุ่มไทย … อย่างที่พวกเราสาวๆรู้กันดี ก็จะไม่หนีประโยคคลาสสิคแบบ “ฝันดีนะครับ” “ห่มผ้าห่มดีๆ ล่ะ” บางทีอ่านแล้วก็จิกหมอนยิ้มหวาน

จำได้ว่า ตอนแรกๆ ที่คุย เวลาดิฉันขอตัวไปนอนก่อน เขาก็จะรีบพิมพ์มาขอโทษว่า “ขอโทษนะครับที่รบกวนเวลาคุณเกตุกับบทสนทนาไร้สาระแบบนี้” ถ่อมตัวมากๆ สุภาพมากๆ…
แน่นอน ดิฉันก็ต้องรักษามารยาทและตอบว่า “โอ…ไม่เลยค่ะ สนุกมาก ขอบคุณที่คุยกับดิฉันนะคะ” มันไม่มีโมเม้นท์มุ้งมิ้งจุ๊งจิ๊งเลยอ่ะเธอออออ
คืนวันสงกรานต์ เราก็ยังแช็ทกันแบบสุภาพเรียบร้อยเหมือนเดิม….


อย่างที่เคยเล่าไปในบทความอื่นแล้วว่า หนุ่มญี่ปุ่นไม่ค่อยแสดงความหวาน ความโรแมนติคเท่าไร (นอกจากว่าเราคบกันเป็นแฟนแล้ว แล้วฝ่ายสาวไทยเป็นคนฝึกให้เขารู้จักและหัดใช้คำว่า “คิดถึง” “รักเธอ” ) แต่เขาก็ซื่อๆ เล่าโน่นเล่านี่มาเยอะๆ ดี ใครคิดว่าตัวเองพูดน้อยต่อยหนัก…เอ้ย ชอบฟังคนที่เรารักพูด ชอบคนซีเรียสเล็กๆ หนุ่มญี่ปุ่นอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้พิจารณานะคะ
บทความนี้ นำชีวิตส่วนตัวมาเล่ามากๆ เขียนไปเขินตัวเองไป ก็เลยเขียนได้แค่ 2 หัวข้อ คือ คำทักทายกับคำลา ขืนลงเนื้อหามากกว่านี้ เดี๋ยวชีวิตส่วนตัวดิฉันจะไม่เหลือนะคะ ที่สำคัญ สองหนุ่มยังไม่ทราบว่าดิฉันเอาเรื่องเขามาเขียน…กรุณาอ่านแล้วขำกันเบาๆ นะคะ เดี๋ยวเค้ารู้ตัว แล้วพบกันตอนหน้าค่ะ (กระซิบ)
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> Japan Gossip by เกตุวดี Marumura