“ความไม่รู้จะทำให้คนประเภทหนึ่งกลัว แต่จะทำให้คนอีกประเภทกล้า… เธอเลือกเองละกันว่าอยากเป็นประเภทไหน ที่จีนสอนเธอแบบนี้ไหม”
อาทิตย์ที่แล้ว 2 March 2018 ในวงการตลาดหุ้นไทย ถือว่าเป็นวันประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนระบบ settlement จากสามวันเป็นสองวัน ในทางอุตสาหกรรมการเงินแล้ว นี่คือเรื่องที่สุโก้ยมากเพราะเราจะได้ผลดีทั้งค่าต้นทุนในการซื้อขายหุ้นที่ถูกลง และเราจะประหยัดทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุด คือ “เวลา” ในการส่งมอบหลักทรัพย์ได้อีกหนึ่งวัน
ที่เท่กว่านั้นคือ เราประเทศไทย ทำเรื่องนี้ได้ก่อนญี่ปุ่นอีกต่างหาก แต่วันนี้ผู้เขียนมีอีกมุมมองที่น่าสนใจอีกเรื่อง
“8:2”
หัวหน้าคนญี่ปุ่นผมนับ จำนวนผู้หญิงกับผู้ชายเหล่าเซเลปในตลาดการเงินไทยที่อยู่บนเวทีวันนี้
คนญี่ปุ่นมีความประทับใจเรื่องนึงมากๆ ว่าเวทีการทำงานของไทย มีผู้หญิงเข้ามามีบทบาทมากมาย ถึงไม่มีตัวเลขทางสถิติชัดๆ แต่ทุกคนเห็นตรงกันว่ามีเยอะกว่าที่ญี่ปุ่นแน่
แต่ใช่ว่าที่ญี่ปุ่นจะหาหัวหน้าหญิงสุโก้ยๆ ไม่เจอซะทีเดียว
ความทรงจำของผมดึงผมกลับไปหา “อดีต” หัวหน้าหญิงที่ผมว่าเขาไม่ได้เอ็นดูผมเล้ย… ที่สำคัญคือเขาเป็นคนความจำแย่มากจนเคยสงสัยว่าจะเป็นหัวหน้าคนได้หรือ…
แต่สำหรับความคิดคำสอนของเขาแล้ว… ผมเลิฟเลย
ผมรู้สึกเหมือนความคิดหลายๆ อย่างของอดีตหัวหน้าผมคนนี้ไม่ค่อยเหมือนโฮโมซาเปี้ยนส์ (มนุษย์) เพศหญิงวัยสามสิบค่อนไปทางครึ่งหลังเท่าไหร่ เลยอยากแชร์… ส่วนพอผู้อ่านอ่านแล้วจะได้กำลังใจหรือเสียกำลังใจคงเป็นดุลยพินิจของผู้อ่านที่รักเองละกันครับ
ผมได้ร่วมทีมกับ K ซัง ครั้งแรกหลังจากที่เขาท้าพิสูจน์ตัวเองจากโปรเจค Arrowhead โปรเจคเพิ่มความเร็วในการ Process transaction ซื้อขายหุ้นในตลาดนิเคอิให้เร็วที่สุดในโลกสำเร็จ (ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าจะเร็วกว่านิวยอร์กได้) จุดแรกที่ผมสะกิดใจหัวหน้าคนนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ร่วมงานกันคือ เขาชอบท้าทายอะไรใหม่ๆ ให้ลูกน้อง
วันหนึ่งเขาเรียกผมและเพื่อนร่วมงานเข้ามาเพื่อแจกงาน K ซังอธิบายงานให้ผมและเพื่อนฟัง ผมบอก K ซังว่าผมรู้จักโปรแกรมนี้ เพราะเคยใช้และสร้าง function ตอนปีที่แล้ว ส่วนเพื่อนอีกคนไม่เคยได้ยินโปรแกรมนี้มาก่อน… K ซังตัดสินใจโยนงานนี้ให้เพื่อนผมทันที ทั้งๆ ที่ตอนแรกผมก็จะถามว่าทำงี้ก็เท่ากับไม่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสิ…แต่เพราะที่หัวหน้าตัดสินใจเร็วขนาดนี้เลยพอเข้าใจแนวคิดเขาทันที และเขายังสอนผมกับเพื่อนผมอีกว่า
“ความไม่รู้จะทำให้คนประเภทหนึ่งกลัว แต่จะทำให้คนอีกประเภทกล้า… เธอเลือกเองละกันว่าอยากเป็นประเภทไหน ที่จีนสอนเธอแบบนี้ไหม”
ผมยังจดจำประโยคนี้ดี… โดยเฉพาะที่ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมเป็นคนชาติอะไร ^^
นอกจากนี้เขาชอบเรียกผมเข้าประชุมที่มีความขัดแย้ง
“ถ้าคุณคุมทีมโปรแกรมเมอร์ outsourcing แบบนี้คุณกลับบ้านไปนอนดีกว่า”
“คุณฮาราดะ system design specification อันนี้นี่คุณใช้หัวทำงานหรือใช้มือทำนี่”
แต่ละคอมเมนท์ในที่ประชุมตะเตือนไตเหลือเกิน ผมเคยถึงบอก K ซังว่าอย่าบังคับผมไปดูฉากหนังสยองขวัญเลย แต่เขากลับบอกว่า
“ไม่ได้ ยิ่งสยองเท่าไหร่ ยิ่งควรดู”
K ซังยกตัวอย่างว่าโกฮัง (ลูกชายโกคู) ในเรื่อง Dragonball Z ตอนที่ต้องต่อสู้กับชาวไซย่าครั้งแรก บอกไม่อยากดูฉากเหล่านักสู้พวก เทนชินฮัง หยำฉา คุริรินโดนถล่ม โดนฆ่าตาย มันโหดร้าย แต่คุณลุงพิกโกโร่กลับบอกว่า
“ต้องแหกตาดูและจดจำว่าเขาต่อสู้กันยังไง เราจะได้ไม่ตาย !!”
ไม่ใช่แค่เรื่องในงาน เรื่องนอกงาน K ซังก็บ้าพลังแบบประหลาดมาก เสาร์อาทิตย์ก็จะไปเล่นวินด์เซิร์ฟ หรือไม่ก็ซ้อมไตรกีฬา หวังจะเอาถ้วย (ย้ำอีกที K ซังเป็นสตรี)
ผมเคยสงสัยว่าจะบ้าพลังอะไรมากมาย หรือเขาคิดว่าตัวเองเป็นไม่ใช่มนุษย์โลก แต่เป็นชาวไซย่าอะไรงี้หรือเปล่า K ซังให้เหตุผลว่าเขาจะตั้ง KPI เหมือนเป็นจุดหมายท้าทายตัวเองทุกๆ ปี เขาจะตั้งให้หลากหลายมาก เรื่องออกไตรกีฬาเงี้ย ไปเรียนภาษาอังกฦษให้ได้ TOEIC เกินเก้าร้อย เรียนรู้การออกแบบ mobile application ลองเล่นหุ้นให้กำไร สิบเปอร์เซนต์ต่อปีเงี้ย
K ซังจะตั้งจุดมุ่งหมายให้หลากหลายประมาณเจ็ดถึงแปดเรื่องต่อปี และบอกว่าที่ตั้ง KPI ไว้ various มากๆ และให้ดูยากพอๆ กัน เพราะเพื่อให้เห็นว่าจริงๆ แล้วอะไรคือจุดแข็งของเราอย่างแท้จริง?! (ขออนุญาตย้ำว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณเอง)
คือถึงแม้คนส่วนใหญ่มั่นใจว่ารู้อยู่แล้วว่าตัวเองเก่งแย่อะไร แต่ K ซังเชื่อว่านั่นเป็นความเข้าใจผิด… ขนาดความฝันยังเปลี่ยนแปลงได้เลย แล้วทำไมตัวเองเมื่อสามปีที่แล้วกับปัจจุบัน จะมีของถนัดอย่างเดิมจริงหรือ
เช่นเขาคิดว่าเขาไม่เก่งภาษา K ซังเลยชอบตั้ง KPI ว่าเดี๋ยวไปฝึก present ภาษาประกิดบ้าง ไปสอบเขียนคันจิบ้าง… เพราะเขาอยากรู้ว่าที่ตัวเองคิดว่าไม่เก่งภาษาเนี่ยจริงไหม หรือจริงๆ คือไม่เก่งในการ speaking หรือเปล่า แล้วพอครบปีเขาก็จะมาสรุปว่าจริงๆ แล้วเราถนัดทำอะไรกันแน่ โดยดูจาก KPI ที่เราตั้งเนี่ยแหล่ะ… หากเราทำเป้าหมายไหนได้สำเร็จเยอะกว่า มันคือผลที่เอาไปวิเคราะห์สิ่งที่ถนัดและไม่ถนัดเราได้ชัดกว่าการใช้อารมณ์ความรู้สึก
ตอนผมลาออกจากบริษัทที่ญี่ปุ่น ก่อนกลับไทยผมเดินไปขอเคล็ดลับ… ว่าอะไรที่ทำให้คุณ K ซังบ้าพลังลุกขึ้นมาพัฒนาตัวเองได้เร็วเสมือนเป็นซุปเปอร์ไซย่าขนาดนี้…. K ซังตอบว่า
“ในฐานะลูกจ้าง อย่าไปคิดว่าการมีลูก มีแฟนจะเป็นแรงบันดาลใจได้ การพัฒนาตัวเองได้ในบริษัท มาจากแค่สองเงื่อนไข… คือคนคุ้มกระลาหัวหายไป กับคนใต้บังคับบัญชาจะมาแซงหน้าเรา… เพราะพลังที่ยิ่งใหญ่…ไม่ได้มาจากความต้องการ แต่มันมาจากความจำเป็น!! ”
เอาล่ะ… ขอให้ไปเจอสถานการณ์ที่จำเป็น หลังจากกลับไปที่เวียดนามนะ!! (ผมถึงมั่นใจว่าเขาคงความจำไม่ดีจริงๆ… หรือไม่ก็ผมอาจจะชื่อโหล… คล้ายๆ คนเวียดนาม หรือไม่ก็เขาจำผมไม่ได้เลยจริงๆ…)
เดือนที่แล้วผมเพิ่งยินดีกับ K ซัง.. เพราะคุณ K ซัง เป็นคุณแม่ลูกสองไปแล้ว และผมก็ทราบว่า K ซังยังตั้ง KPI ใหม่ให้ตัวเองคือ ไปเรียนร้องเพลงโอเปร่า !! และประโยคที่เธอทักผมกลับมา ยิ่งพิเศษมากกว่า
“วินคุง ขอบคุณมากกก ที่ไทเปเป็นยังไงบ้าง ?”
PS รูปประกอบแรก ถ่ายจากงานของตลาดหลักทรัพย์ ส่วนอีกรูปการ์ตูน พอเขียนเรื่องนี้ ผมนึกถึงการ์ตูนเรื่อง Hataraki man ขึ้นมาทันใด working woman ท่านใดยังไม่เคยอ่านต้องหามาอ่านนะครับ ได้กำลังใจมากมาย
เรื่องแนะนำ :
– ชื่อ (ไฟล์และโฟลเดอร์) นั้นสำคัญไฉน?
– นิทาน “48”
-The Darkest hours : ท้อได้แต่อย่าป่วย อย่าตาย และงานต้องเสร็จ
– [Based on True Story] The Nengajo ขอบคุณที่โลกนี้ มี ส.ค.ส
– [光か、闇か : แสงสว่าง หรือความมืด] แล้วคุณจะรู้จักความมืดมากขึ้นจากที่ทำงานญี่ปุ่น