เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นจากชายที่ขื่อ ‘ริกิโดซัง’ อย่างไรก็ตามแท้จริงเขามีชื่อว่า ‘คิม ซิน รัก’ เกิดที่จังหวัดฮัมกย็องใต้ประเทศเกาหลีเหนือ นี่คือเหตุผลที่เกาหลีเหนือพยายามบอกว่าญี่ปุ่นนำศาสตร์มวยปล้ำอาชีพไปจากประเทศของเขา
เมื่อพูดถึงประเทศเกาหลีเหนือ ทุกคนจะคิดถึงท่านผู้นำอย่างคิม จอง อึน และนโยบายบริหารประเทศแบบสุดโต่ง ทำให้เราได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับประเทศนี้ โดยเฉพาะเรื่องของ ‘โฆษณาชวนเชื่อ’ (Propaganda) ที่โลกต้องตั้งคำถาม
แต่ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและมีความสำคัญกับเกาหลีเหนืออย่างไม่น่าเชื่อก็คือ ‘มวยปล้ำอาชีพ’
กีฬาต่อสู้ชนิดนี้มีความสำคัญกับชาวโสมแดงอย่างไร เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน
เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นจากชายที่ขื่อ ‘ริกิโดซัง’ เขาคนนี้ถือเป็นบิดาแห่งวงการมวยปล้ำญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามแท้จริงเขามีชื่อว่า ‘คิม ซิน รัก’ เกิดที่จังหวัดฮัมกย็องใต้ประเทศเกาหลีเหนือ นี่คือเหตุผลที่เกาหลีเหนือพยายามบอกว่าญี่ปุ่นนำศาสตร์มวยปล้ำอาชีพไปจากประเทศของเขา
อย่างไรก็ตามแท้จริงแล้วในขณะที่ริกิโดซังเกิด เมืองดังกล่าวยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น และมีจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นเป็นประมุข ที่สำคัญเขาย้ายมาอยู่กับครอบครัวใหม่ที่นางาซากิประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ยังเด็ก แถมยังเปลี่ยนมาใช้ชื่อ ‘มิตสึฮารุ โมโมตะ’ (Mitsuharu Momota) ซึ่งเป็นนามสกุลของครอบครัวที่รับเขามาดูแล
(การเปลี่ยนชื่อนั้นจำเป็นมากในยุคดังกล่าว เพราะกระแสความเกลียดชังคนเกาหลียังรุนแรงอยู่ ดังนั้นเขาต้องปิดบังสัญชาติที่แท้จริงหากหวังจะมีชีวิตดีๆ ในดินแดนอาทิตย์อุทัย)
ในช่วงแรกเขาเริ่มจากการเป็นนักซูโม่และมีสถิติที่น่าพอใจโดยมีลำดับขั้นสูงสุดที่ ‘เซกิวาเกะ’ (ลำดับกลางๆ ห่างจากโยโกะซูนะ 3 ขั้น) มีหนังสือบันทึกเอาไว้ว่าเขาเป็นนักซูโม่ที่มีฝีมือคนหนึ่ง แต่เมื่อคนในวงการรู้ว่าแท้จริงเขาไม่ใช่คนญี่ปุ่น เขาก็ต้องพบกับอำนาจมืดหลายๆอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถก้าวหน้าในวงการซูโม่ได้ นำไปสู่การตัดสินใจเลิกเป็นนักซูโม่ และหันไปเป็นช่างก่อสร้างแทน
แต่ทว่าในขณะนั้นเขามีโอกาสได้ชมการแข่งขันมวยปล้ำอาชีพที่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก โดยเป็นกิจกรรมที่ทางการสหรัฐฯ ส่งมาสร้างความบันเทิงให้กับทหารอเมริกันที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรุงโตเกียว มันเป็นสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจมากจนทำให้เขาตัดสินใจว่าจะต้องเป็นนักมวยปล้ำอาชีพให้ได้
ทว่าขณะนั้นมวยปล้ำเป็นสิ่งใหม่มากสำหรับคนญี่ปุ่น ริกิโดซังจึงต้องฝึกฝนร่วมกับนักยูโดและนักคาราเต้แทน เพราะกีฬาสองชนิดหลังได้รับความนิยมมากกว่าและมีนายทุนคอยสนับสนุน
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเขาคือการเดินทางไปฝึกมวยปล้ำที่ฮาวายร่วมกับฮาโรลด์ ซากาตะ (Harold Sakata) อดีตนักยกน้ำหนักเหรียญเงินโอลิมปิกที่ผันตัวมาเป็นนักมวยปล้ำ ที่นั่นเขาตระหนักถึงความเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์ของมวยปล้ำและเริ่มมองเห็นภาพว่าเขาจะนำเสนอมวยปล้ำในญี่ปุ่นอย่างไร
ริกิโดซังกลับสู่ประเทศญี่ปุ่นและเริ่มเดินสายโปรโมทมวยปล้ำทันที โดยนักมวยปล้ำที่เขาเลือกมาสู้ด้วยคือนักมวยปล้ำอเมริกาเป็นหลัก เพราะมันเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเพิ่งแพ้สงครามโลกมาไม่นาน ดังนั้นการที่เขาในฐานะคนเอเชียสามารถเอาชนะคนอเมริกันตัวใหญ่ได้ย่อมทำให้เกิดกระแสในด้านบวก เพราะมันทำให้พวกเขามีขวัญกำลังใจและคิดว่าตัวเองไม่ได้ด้อยค่าไปกว่าพวกอเมริกันที่ชนะสงคราม เหตุนี้สถานะของริกิโดซังจึงเป็นเหมือนฮีโร่ของชาติทันที
ตอนนั้นเองที่มวยปล้ำแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีพลังขับเคลื่อนทางการเมือง ดังนั้นริกิโดซังจึงได้รับการจับตามองจากคนทุกระดับ ไล่ตั้งแต่ยากูซ่าไปจนถึงรัฐบาล รวมถึงเกาหลีเหนือที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพร้อมรับริกิโดซังกลับประเทศในฐานะบุคคลสำคัญ (และหากริกิโดซังกลับมาใช้สัญชาติเกาหลีเหนือ พวกเขาจะเคลมเครดิทมวยปล้ำอาชีพได้ทันที)
ในยุครุ่งเรืองริกิโดซังก่อตั้งสมาคม JWA สมาคมมวยปล้ำอย่างเป็นทางการแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นโดยมีลูกศิษย์คนสำคัญคือ ‘อันโตนิโอ อิโนกิ’ (Antonio Inoki) และ ‘ไจแอนท์ บาบะ’ (Giant Baba) สมาคมแห่งนี้ใช้เงินทุนจากยากูซ่าทั้งหมด แต่สุดท้ายการสนิทสนมกับยากูซ่านี่เองที่ย้อนกลับมาทำลายตัวเขาในที่สุด
ปี 1954 ริกิโดซังต่อสู้กับมาซาฮิโกะ คิมูระ นักยูโดชื่อดังของญี่ปุ่น โดยมีเข็มขัดแชมป์ญี่ปุ่นเป็นเดิมพัน ทั้งสองเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศและต่างมียากูซ่าสนับสนุนอยู่
ทีแรกพวกเขาวางแผนให้จบลงด้วยผลเสมอเพื่อไม่ให้ใครต้องเสียเครดิท แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อริกิโดซังเล่นนอกเกมเข้าจู่โจมคิมูระที่ไม่ทันตั้งตัว ทั้งเตะและตบจนคิมูระสลบคาเวที เอาชนะไปอย่างเหนือชั้น
ริกิโดซังกลายเป็นแชมป์คนใหม่ แต่มันสั่นสะเทือนโลกใต้ดินทันที เพราะคิมูระเป็นนักยูโดระดับโลกที่สร้างเม็ดเงินให้กลุ่มยากูซ่าอย่างมหาศาล ดังนั้นความพ่ายแพ้ที่ไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ย่อมทำให้เครดิทของคิมูระเสียลงอย่างไม่น่าให้อภัยและอาจกู้คืนมาอีกไม่ได้หากยังมีชายที่ชื่อริกิโดซังอยู่บนโลกใบนี้
วันหนึ่งในขณะที่ริกิโดซังกำลังปาร์ตี้อย่างสบายใจอยู่ที่กรุงโตเกียว เขาถูกยากูซ่าบุกเข้ามาเล่นงานด้วยมีดชุบปัสสาวะ ข่าวระบุว่าริกิโดซังอัดยากูซ่าคนนั้นยับและเหวี่ยงทิ้งไปนอกร้านก่อนจะกลับมานั่งดื่มต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะคิดว่าไม่ใช่แผลใหญ่อะไรนัก อย่างไรก็ตามเพียง 1 สัปดาห์ให้หลังเขาก็เสียชีวิตด้วยอาการเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ปิดตำนานของตัวเองด้วยวัยเพียง 39 ปีเท่านั้น
เกาหลีเหนือที่กำลังเตรียมการเทียบเชิญริกิโดซังกลับประเทศต้องเปลี่ยนแผนทันที เขาไม่สามารถนำริกิโดซังมาช่วยเคลมสิทธิ์มวยปล้ำอาชีพได้อีกต่อไป ตอนนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับมวยปล้ำในเกาหลีเหนือจึงค่อยๆ เงียบลง (ในขณะที่ลูกศิษย์ฝั่งญี่ปุ่นอย่างอิโนกิและบาบะแยกกันไปตั้ง NJPW และ AJPW ตามลำดับ)
อย่างไรก็ตาม กระแสมวยปล้ำอาชีพกลับมาอีกครั้งในช่วงยุค ‘90
ราวปี 1989 ทางการเกาหลีเหนือตีพิมพ์หนังสือชื่อ ‘I AM A KOREAN : The story of the World Professional Wrestling Champion Rikidozan’ บอกเล่าชีวประวัติของริกิโดซัง และกำหนดให้เป็นหนึ่งในหนังสือที่เด็กเกาหลีเหนือต้องอ่าน
อย่างไรก็ตามถ้าใครมีโอกาสได้อ่านจริงๆ จะเห็นว่ามันเป็นหนังสือที่ ‘ดูแปลกๆ’ กล่าวคือมันดูเป็นนิยายจนเกินไป แถมความสัมพันธ์ของนักเขียนและตัวริกิโดซังก็ไม่ชัดเจน จึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เขาจะรู้รายละเอียดไปถึงบทสนทนาในชีวิตประจำวันของริกิโดซัง … หนังสือเต็มไปด้วยข้อความที่แสดงถึงความกลัดกลุ้ม มีการพูดถึงญี่ปุ่นในแง่มุมร้ายๆ อยู่เป็นระยะ ดังนั้นหนังสือเล่มนี้ควรจัดอยู่ในกลุ่มโฆษณาชวนเชื่อ มากกว่าจะเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์
(หมายเหตุ : ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้หายากมาก แต่มีอยู่ที่หอสมุดป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ดังนั้นใครที่เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ลองยืมมาอ่านดูได้นะครับ รหัสเรียกหนังสือคือ GV1196.K5 K56)
หลังจากตีพิมพ์หนังสือออกมาแล้ว ดูเหมือนว่าแผนการที่จะเคลมมวยปล้ำญี่ปุ่น หรือใช้มวยปล้ำเป็นเครื่องมือทางการเมืองก็กลับมาเป็นรูปธรรมอีกครั้ง โดยสิ่งที่ยืนยันได้ดีที่สุดก็คือศึกมวยปล้ำที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก ‘Collision in Korea’ ที่ May Day Stadium ต่อหน้าผู้ชมรวมกว่า 350,000 คน
Collision in Korea คือศึกมวยปล้ำที่ลึกลับที่สุดในโลกโดยมีอันโตนิโอ อิโนกิเป็นหัวเรือใหญ่ เขาได้รับความร่วมมือจากพาร์ทเนอร์หลักอย่าง WCW (World Championship Wrestling) สหรัฐอเมริกา รวมถึงแขกรับเชิญพิเศษอย่างมูฮัมหมัด อาลี (Muhammad Ali) แชมป์มวยสากลระดับตำนานของโลก
นี่คือโชว์ที่ทางการญี่ปุ่นและเกาหลีเหนือร่วมมือกัน โดยญี่ปุ่นเปิดน่านฟ้าให้เกาหลีเหนือนำเครื่องบินมาจอดรับ-ส่งนักมวยปล้ำที่นาโกย่าโดยไม่ต้องผ่านประเทศตัวกลาง … มันเป็นโชว์ที่ประกาศอย่างชัดเจนว่าเป็น ‘การทูตด้วยมวยปล้ำ’ (Wrestling Diplomacy) ที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าคนทุกเชื้อชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยมีมวยปล้ำเป็นสื่อกลาง
ฟังดูแล้วเหมือนจะดีใช่ไหม ? แต่ความจริงมันตรงกันข้ามเลย
ริค แฟลร์บอกว่าทันทีที่เครื่องบินลงจอดที่เปียงยาง นักมวยปล้ำทุกคนจะมีเจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือตามประกบไปทุกที่ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม, ห้องอาหาร, รถโดยสาร, ห้องแต่งตัวนักมวยปล้ำ หรือแม้แต่ตอนที่ซ้อมคิวกันบนเวที ที่สำคัญเขามั่นใจว่ามีการดักฟังโทรศัพท์ทุกสายที่นักมวยปล้ำใช้
เพราะมีอยู่วันหนึ่งเขาอยู่ในห้องกับสก็อต นอร์ตัน (Scott Norton) ซึ่งสก็อตได้โทรศัพท์หาภรรยาแล้วบ่นว่าเกาหลีเหนือมันน่าเบื่อชิบหาย ! จากนั้นโทรศัพท์ของเขาถูกตัดสายทันที และแม้จะมีคนดูในสนามหลายแสนคน แต่ริคก็รู้ว่าทั้งหมดเป็นกองเชียร์จัดตั้ง พวกเขาจะส่งเสียงเชียร์เฉพาะตอนที่ถูกสั่งให้เชียร์เท่านั้น
ในขณะที่อิโนกิตอนนั้นมีบทบาทในฐานะนักการเมือง ทำให้สื่อต่างๆ มองว่าอีเวนท์นี้จัดขึ้นเพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองเป็นหลัก รวมถึงอาจมีการฟอกเงินของกลุ่มยากูซ่ามาพัวพันอีกด้วย เพราะอิโนกิเป็นคนที่มีข่าวฉาวบ่อยเหลือเกินทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องธุรกิจ
และด้วยความไม่ชัดเจนทั้งหลายนี้เองทำให้ Collision in Korea ถูกมองเป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าเป็นโชว์ที่ต้องการสร้างความสุขให้แฟนมวยปล้ำจริงๆ
เกาหลีเหนือให้นักมวยปล้ำทุกคนรวมถึงมูฮัมหมัด อาลีไปเยี่ยมบ้านเกิดของริกิโดซังเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับบิดาแห่งมวยปล้ำญี่ปุ่นในฐานะคนเกาหลีเหนือ
อีกทั้งมีการร้องขอให้ริคแฟลร์ออกมาพูดผ่านโทรทัศน์ทางการแห่งชาติ (Trash Talk) ด่าอเมริกาและอวยเกาหลีเหนือแทน พวกเขาเอาคาแรกเตอร์อธรรมของริค แฟลร์เป็นข้ออ้าง แต่ริครู้ทันว่าประชาชนชาวเกาหลีเหนือแยกเรื่องจริงกับเรื่องโกหกไม่ออกแน่ๆ ดังนั้นเขาจะไม่มีวันขายประเทศตัวเองเด็ดขาด การตัดสินใจปฏิเสธของริค แฟลร์เกือบทำให้เขาไม่สามารถออกจากเกาหลีเหนือเลยทีเดียว
เราไม่รู้ว่าปัจจุบันเด็กชาวเกาหลีเหนือยังต้องอ่านเรื่อง I AM A KOREAN อยู่รึเปล่า แต่นี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่มวยปล้ำถูกโยงเข้ากับบริบททางการเมือง เพราะวงการลูช่า ลิเบร (Lucha Libre) ในเม็กซิโกก็มีที่มาจากปัญหาทางการเมืองเช่นกัน
ตัวเลข 3 แสนกว่าคนที่เกาหลีเหนือพิสูจน์ให้เราเห็นว่าความสำเร็จของ ‘มวยปล้ำอาชีพ’ ไม่ใช่เรื่องของจำนวนผู้ชม เพราะหากคุณสัมผัสความงามจากมวยปล้ำไม่ได้เลย มันก็แทบไม่มีความหมายอะไร ในขณะที่บางค่ายมีคนดูเพียงไม่กี่สิบคนแต่ทุกคนได้รับความสนุกสนานกลับบ้านไปเต็มที่ เราคิดว่ามวยปล้ำควรสร้างมาเพื่อความสุขแบบนี้มากกว่าเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองที่ไม่มีคุณค่าอะไร
หมายเหตุ : เหตุการณ์ฆาตกรรมของริกิโดซังมีข้อมูลมาสองทางหลักๆ คือตอนหลังจากที่เขาถูกมีดชุบปัสสาวะแทง บ้างก็บอกว่าเขากลับมานั่งดื่มต่อ บ้างก็บอกว่าเขารีบไปโรงพยาบาลทันที
รวมถึงเหตุการณ์นอกบทใส่คิมูระที่ฝ่ายสนับสนุนริกิโดซังบอกว่าเขาถูกคิมูระเล่นงานใต้เข็มขัดก่อนจึงหงุดหงิด… ทุกวันนี้ไม่มีใครรู้ว่าความจริงอะไร ปล่อยให้เป็นไปตามวิจารณญาณของแฟนมวยปล้ำแล้วกัน
ติดตามผู้เขียนได้ทางทวิตเตอร์ >>> @pumi_gtmv
เรื่องแนะนำ :
– ความพยายามในการยกระดับวงการหนังสือของญี่ปุ่น
– รูปแบบการสร้างนักมวยปล้ำอาชีพ
– ระยะของความฝันกับ BNK48
– การบุกอเมริกาของ New Japan Pro Wrestling รุ่งหรือร่วง?
– มวยปล้ำเจ็บแค่ไหนและคุ้มรึเปล่า?