เจอกระทู้ประมาณว่า “ทำไมซีรีส์ญี่ปุ่นถึงไม่น่าดู” พอเข้าไปอ่านแล้วรู้สึกว่า มีหลายประเด็นที่เราอาจหลงเข้าใจผิดไป วันนี้เลยจะมาเล่าถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับละครญี่ปุ่นให้ได้เคลียร์กัน จะมีอะไรบ้างนั้น ตามมาอ่านกันเลยค่ะ
เมื่อวันก่อนไปเจอกระทู้แนวๆ ประมาณว่า “ทำไมละครญี่ปุ่นถึงไม่น่าดู” พอ เข้าไปอ่านแล้วรู้สึกว่า มีหลายประเด็นที่เราๆ อาจหลงเข้าใจผิดไป วันนี้เลยจะมาไขความกระจ่าง เล่าถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับละครญี่ปุ่นให้ได้เคลียร์กัน ว่าแต่สิ่งที่คนไทยอย่างเรามักจะเข้าใจผิดเกี่ยวกับละครญี่ปุ่นจะมีอะไรบ้าง นั้น ตามมาอ่านกันเลยค่ะ
1. ละครญี่ปุ่นเป็นละครหลอกเด็ก
ด้วยความที่ญี่ปุ่นมีชื่อเสียงในเรื่อง “การ์ตูน” และ “มังงะ” ด้วยวัตถุดิบชิ้นนี้ ทำให้บางเรื่องถูกหยิบจับไปสร้างเป็นละคร จนทำให้บางคนเข้าใจผิดว่า ญี่ปุ่นมีแต่ละครแนวๆ นี้ และถึงกับบ่นว่า “ญี่ปุ่นมีแต่ละครที่เป็นการ์ตูนหลอกเด็ก!” จะดีกว่าไหมถ้าละครญี่ปุ่นสร้างแนวดราม่าสอนชีวิต
แต่ความจริงก็คือ ละครญี่ปุ่นของแท้จะออกแนวดราม่าสอนชีวิตค่ะ และที่ยิ่งไปกว่านั้นละครญี่ปุ่นมีจุดประสงค์หลักคือ “สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใหญ่ดู” และ “เพื่อให้ข้อคิดสั่งสอนผู้ใหญ่” ถ้าจะบอกว่าเป็นละครหลอกเด็กคงไม่ถูกสักเท่าไร
ส่วนละครแนวการ์ตูนที่เราๆ เห็นกัน เขาเรียกว่าเป็นภาพยนตร์หรือละครแนว “Live Action” เป็นประเภทของละครและภาพยนตร์อย่างหนึ่ง ที่สร้างมาจากมังงะ
ถึงแม้ “Live Action” จะสร้างจากมังงะ แต่ก็ไม่ได้ไร้สาระอย่างที่เข้าใจ เพราะการ์ตูนหรือมังงะญี่ปุ่นไม่ใช่สิ่งที่จำกัดขอบเขตว่า “เด็ก” อ่านเท่านั้น แต่อ่านได้ทุกวัยค่ะ เนื้อหาก็จะแตกต่างกันไปตามกลุ่มเป้าหมายของช่วงวัยนักอ่าน นอกจากนี้มังงะแต่ละเรื่องเนี่ย พล็อตเรื่องไม่เบานะคะ แม้จะเสนอออกมาแบบการ์ตูน แต่ข้อคิดที่ได้นี่ช่างแยลยล กระทบใจมากกว่าการเป็นการ์ตูนเรื่องหนึ่งเสียอีก!

ให้ข้อคิดเกี่ยวกับความสำคัญของการมีชีวิตอยู่
2. ละครญี่ปุ่นมีแต่แนวเครียด
จากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง หลายคนก็จะคิดไปว่า “ละครญี่ปุ่นมีแต่เรื่องเครียดๆ” แน่ๆ เลย ไม่ดูดีกว่า เดี๋ยวเส้นสมองแตกตาย
ความจริงก็คือ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เครียดค่ะ ละครญี่ปุ่นเองก็มีหลากหลายแนวเช่นกัน มีหมด ทั้งรัก ดราม่า ครอบครัว วัยรุ่น และ “ละครตลก!” แม้ว่าละครญี่ปุ่นจะให้ภาพแนวที่เครียดๆ แต่ถ้าเปิดดูพวกละครตลกนี่รับรองว่าฮากลิ้งค่ะ ชนิดที่ว่าลืมความทุกข์ความโศกที่เพิ่งผ่านพบประสบมาได้เลย ใครอยากชิมลางละครแนวตลกของญี่ปุ่น ดิฉันของแนะนำเรื่อง “My Boss My Hero”

เรื่องราวของยากูซ่าต้องกลับมาเป็นเด็กนักเรียนมัธยม เรื่องนี้รับประกันความฮา ความเกรียน นักแสดงเล่นเต็มที่แบบที่ไม่ห่วงภาพพจน์กันเลยทีเดียว
หรือแม้แต่เรื่อง “Legal High” ละครแนวทนายที่อาจดูเคร่งเครียด แต่จริงๆ แล้วกลับตรงกันข้ามค่ะ


และเรื่องใหม่ล่าสุดที่กำลังออนแอร์อยู่ที่ญี่ปุ่นในขณะนี้ เรื่อง “Fuben na Benriya” เขาว่ากันว่าเรื่องนี้ฮาแบบขี้แตกขี้แตนเลยล่ะค่ะ!
3. พล็อตเก่าๆ ไม่พัฒนา
คงเป็นเพราะภาพติดตาจากสมัยก่อน ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ยังคงนึกว่า “ละครญี่ปุ่นคงมีพล็อตเดิมๆ น้ำเน่าๆ” ถ้าแนวรักกันก็คงจะเน้นแต่กุ๊กกิ๊กๆ ไม่มีสาระ ซึ่งละครที่คนไทยเราได้เห็นในสมัยนั้น เป็นละครคนละแนวกับในสมัยนี้แล้วค่ะ
พอถึงช่วงยุคฟองสบู่แตก ละครญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนไป เข้าสู่แนว “Trendy Drama” ที่ เน้นความสมจริง อิงกับชีวิตประจำวันมากขึ้น และให้ข้อคิดหรืออะไรบางอย่างกับสังคมเพื่อให้คนดูนำไปประยุกต์ใช้ต่อ และขับเคลื่อนสังคมไปในจุดที่ดีกว่าเดิมได้
ที่สำคัญในวงการละคร ญี่ปุ่นเขาฟาดฟันเรื่อง “เรตติ้ง” กันมาก เป็นสิ่งที่บอกเราได้ว่า ละครญี่ปุ่นแต่ละเรื่องจะ “เดิมๆ” ไม่ได้เด็ดขาด เพื่อที่จะแข่งขันกับคนอื่นให้ได้ เพื่อที่จะได้ “สปอนเซอร์” มาสนับสนุน ละครต้องสร้างความแปลกใหม่ ดึงดูดความสนใจจากคนดูให้ได้มากที่สุด

ด้วยการเปิดเรื่องด้วยความยาว 2 ชม. ชนิดที่คนดูไม่อยากลุกหนีออกไปจากหน้าจอ
และด้วยเนื้อเรื่องอันเข้มข้น ทำให้เป็นละครที่มีเรตติ้งในแต่ละตอนพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง
4. พระเอกญี่ปุ่นไม่หล่อ!
ประเด็นฮอตฮิตที่ใครๆ (ที่เป็นคนไทย) มองว่าละครญี่ปุ่นมันไม่น่าดู เพราะ “พระเอกไม่หล่อ!” หน้าตาแบบนี้มาเล่นละครได้ยังไงกัน ดูแล้วไม่ฟินเอาซะเลย! หรือบางคนที่ยังไม่เคยดูละครญี่ปุ่นก็จะคิดว่า “เขาว่าพระเอกญี่ปุ่นไม่หล่อ” งั้นเราอย่าดูเลยดีกว่าเนอะ อาจทำให้ไม่อินก็เป็นได้
ความจริงก็คือ ไม่ใช่พระเอกญี่ปุ่นทุกคนที่ไม่หล่อ ก่อนอื่นเลย เราคงต้องรู้บรรทัดฐานความหล่อของคนไทยค่ะ (ซึ่งบรรทัดฐานของชามะนาวมักจะต่างกับคนไทยทั่วไป เพราะชอบหน้าแบบพระเอกละครญี่ปุ่น ฮา…) ถ้าให้นึกถึงความหล่อแบบคนไทยต้องกรี๊ด ก็น่าจะเป็นหน้าตาแบบพระเอกละครเกาหลี หรือหล่อแบบพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ใช่ไหมล่ะคะ พระเอกที่หน้าตาแนวๆ แบบนั้นก็มีค่ะ เช่น….

หน้าเรียวยาว ผิวขาว จมูกโด่ง หุ่นก็เป๊ะ

เขาว่ากันว่าบางมุมก็หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์
แล้วคำถามที่ว่าทำไมพระเอกละครญี่ปุ่นที่ (คนไทยบอกว่า) ไม่หล่อถึงมาเล่นละครญี่ปุ่นได้ คำตอบก็คือ
(1.) เขาคัดจากความหล่อตามรสนิยมแบบคนญี่ปุ่น

(2.) หน้าของพระเอกละครญี่ปุ่นต้องไม่ใช่หล่อเป๊ะ
เพราะบทของละครญี่ปุ่น มักจะพูดถึงคนทั่วไปที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน พระเอกก็เลยต้องมีหน้าตาที่ธรรมดานิดนึง ถ้ามาแบบเทพบุตรคนดูจะเชื่อไหมว่าเป็นคนธรรมดา?
(3.) หลักการคัดเลือกนักแสดงญี่ปุ่นไม่ได้เน้นที่ว่าหล่อมาก แต่ต้องมีเสน่ห์ และดูดีไปเรื่อยๆ จนแก่
ซึ่งจากคุณสมบัติข้อนี้ ทำให้เวลาดูละครญี่ปุ่น เราจะสามารถแยกแยะหน้าตาของนักแสดงญี่ปุ่นได้ค่ะ จะไม่มีแบบว่าจมูกโด่งเป็นสันเขื่อนมาเหมือนๆ กัน หรือเหล่าคาง บีบหน้าเรียวในองศาเดียวกันแบบเป๊ะๆ แต่ว่าแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน มีเสน่ห์ไปคนละแนว ทำให้แยกแยะใบหน้าได้ง่าย และดูไม่น่าเบื่อด้วยค่ะ

มีเรื่อง I’m Home ละครล่าสุดใน Season นี้แหละค่ะ ที่ได้รับบทเป็นพ่อสักที!
(4.) หน้าตาดีไม่พอ ต้องเล่นดีด้วย!
วงการการแสดงละครญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ค่ะ เล่นดีที่ว่าไม่ใช่ว่าเล่นใหญ่หรืออะไรนะคะ แต่ต้องเล่นให้เหมาะกับบทๆ นั้น ต้องเล่นให้คนดูเชื่อว่าเป็นตัวละครในนั้นจริงๆ และต้องทำให้เกิดความรู้สึกประมาณว่า บทแบบนี้จะเป็นใครเล่นไม่ได้ ต้องเป็นคนนี้เท่านั้น!

“Shota Matsuda” พระเอกญี่ปุ่นที่เขาว่าไม่หล่อ แต่ถ้าเรื่องฝีมือการแสดงแล้วต้องยกนิ้วให้เลยค่ะ ละครที่สร้างชื่อเสียงทำให้คนไทยสัมผัสได้ว่า “หล่อเพราะการแสดง” ก็คือเรื่อง “Liar Game” เป็นนักแสดงที่ขึ้นชื่อว่า ไม่ว่าจะเล่นบทอะไรก็ตีแตกทุกบทบาท เล่นได้ตั้งแต่บทเก๊กหล่อเขร่งขรึ้มไปจนถึงฮารั่ว
และนี่ก็เป็นสิ่งที่คนไทยบางคนอาจหลงเข้าใจผิดไป จริงๆ แล้วละครญี่ปุ่นสนุก และให้ประโยชน์กว่าที่คิด (แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวด้วย) หวังว่าสักวันหนึ่ง “ละครญี่ปุ่น” จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จะเข้าไปอยู่ในใจของชาวไทยที่หลงใหลในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ด้วยนะคะ ^^
ตามติดบทความ ของ ChaMaNow ทั้งหมด คลิ๊ก >>> Sakura Dramas
ทักทายพูดคุยกับ ChaMaNow ได้ที่ >>> Facebook Sakura Dramas