หากขึ้นรถไฟในเวลา Office Hour แล้วละก็ ขอบอกว่าคุณอาจจะต้องใช้ทักษะพิเศษในการทรงตัวในรถให้ได้ เพราะอาจไม่มีพื้นที่พอสำหรับคุณให้แม้แต่จะยืนเต็มสองขา บางทีแขนไปทาง ขาไปทาง กระเป๋าถือไปทาง ทางสถานีรถไฟและคนญี่ปุ่นก็นิยมเบียดขึ้นไปถึงแม้ว่าจะขึ้นจนเต็มแล้วก็ตาม
ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างเราจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนที่ญี่ปุ่นเท่าไร ตื่นเช้ามาต้องเบียดเสียดบนรถไฟไปทำงาน ต่างกันตรงที่รถบีทีเอสหรือรถไฟใต้ดินไทยนั้นยังดีกว่าญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ตามไปดูกันค่ะว่ารถไฟญี่ปุ่นนั้นต่างจากไทยยังไงบ้าง
เบียดเสียดยัดเยียด
หากขึ้นรถไฟในเวลา Office Hour แล้วละก็ ขอบอกว่าคุณอาจจะต้องใช้ทักษะพิเศษในการทรงตัวในรถให้ได้ เพราะอาจไม่มีพื้นที่พอสำหรับคุณให้แม้แต่จะยืนเต็มสองขา บางทีแขนไปทาง ขาไปทาง กระเป๋าถือไปทาง ทางสถานีรถไฟและคนญี่ปุ่นก็นิยมเบียดขึ้นไปถึงแม้ว่าจะขึ้นจนเต็มแล้วก็ตาม (ต่างจากคนไทยที่จะไม่ค่อยกล้าเบียด) ทางสถานีจะมีเจ้าหน้าที่อำนวยการดันผู้โดยสารให้เข้าไปสู่ตัวรถ ไม่งั้นจะปิดประตูไม่ได้ค่ะ อุณหภูมิบนรถไฟญี่ปุ่นก็จะสูงกว่าไทยมากคือประมาณ 28 องศา เรียกว่า อึดอัดหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
ความตรงต่อเวลา
รถไฟที่ญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องความตรงเวลามากๆ ถึงขนาดเป๊ะทุกนาทีเลยทีเดียว บนสถานีมีป้ายบอกเวลาที่รถแต่ละขบวนจะเข้าสู่สถานีชัดเจน ดิฉันเคยนั่งรถไฟธรรมดาไปอีกเมืองหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนรถถึงเจ็ดครั้ง โดยจะต้องเปลี่ยนรถให้ทันเวลาที่รถจะออก ปรากฏว่ารถเข้าออกตรงเวลามากไม่พลาดแม้แต่นาทีเดียว หากรถไฟมาช้าด้วยเหตุฉุกเฉินจริงๆ ทางสถานีจะวางกระดาษเล็กๆ ว่ารถไฟมาช้า ซึ่งผู้โดยสารสามารถหยิบไปเป็นหลักฐานให้หัวหน้างานได้ค่ะ
ตู้รถไฟสำหรับผู้หญิง
เนื่องจากความแน่นขนัดบนรถไฟชนิดแก้มแนบแก้ม ก้นชนก้น อกชิดอก ติดกันจนหายใจรดใส่หน้ากันได้ ในบางครั้งจึงมีผู้ชายหื่นๆ ฉวยโอกาสที่จะลวนลามผู้หญิงบนรถไฟ ดังนั้นจึงมีการทำตู้รถไฟสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะด้วยค่ะ ปรกติจะบริการเฉพาะช่วงเร่งด่วนเช้ากับเย็น
ต้องเงียบเสียง
รถไฟที่ญี่ปุ่นจะเสียงเงียบมาก เพราะถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งในการโดยสารรถไฟ คนญี่ปุ่นจะไม่คุยกันเลยหรือคุยกันเบามากๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่น และที่สำคัญจะไม่เปิดเสียงโทรศัพท์หรือคุยโทรศัพท์มือถือบนรถไฟค่ะ ทุกคนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือหรือเล่นมือถือของตัวเองไป หากนั่งใกล้ที่นั่งสำรองสำหรับสตรีมีครรภ์ คนชรา คนพิการ ยังมีป้ายแจ้งให้ปิดมือถือด้วย เพราะคลื่นจากสัญญาณมือถืออาจรบกวนคนป่วยได้ค่ะ ที่สังเกตเห็นอีกอย่างคือ คนญี่ปุ่นไม่ค่อยจะลุกให้เด็กหรือคนชรานั่งสักเท่าไร
รับประทานอาหารและเครื่องดื่มได้ในบางขบวน
รถไฟญี่ปุ่นไม่ได้ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นเหมือนรถไฟฟ้าที่ไทย อาจจะเป็นเพราะอาหารญี่ปุ่นไม่ค่อยมีกลิ่น หากจะนำน้ำดื่มขึ้นก็จะเป็นน้ำใส่ขวดหรือกระติก ไม่ใช่เป็นถุงกาแฟเย็นเหมือนบ้านเรา หากเป็นรถไฟที่วิ่งในเมืองระยะสั้นๆ ไม่เกินชั่วโมงจะไม่ค่อยเห็นคนทานอาหารบนรถไฟสักเท่าไร ต่อให้มีรับประทานก็จะเป็นข้าวปั้นแห้งๆ ไม่มีกลิ่นรบกวนหรือจิบน้ำชาจากขวด แต่หากเป็นรถไฟที่วิ่งข้ามจังหวัด คนนิยมรับประทานข้าวกล่องกันบนรถ โดยเฉพาะบนรถไฟชินกันเซ็น จะมีขายข้าวกล่องและเครื่องดื่มบนรถด้วย กินไปชมวิวไปเพลินดีค่ะ
มีคนแต่งหน้าแต่งตัวบนรถไฟ
ตอนไปญี่ปุ่นใหม่ๆ ดิฉันแปลกใจมาก เพราะจะเห็นสาวๆญี่ปุ่นแต่งหน้าเสริมสวยกันบนรถ บางคนขึ้นมาบนรถหน้าเหมือนเพิ่งตื่นนอน แล้วก็เริ่มลงรองพื้น ทาตา ปัดแก้ม ดัดขนตา พอถึงเวลาลงก็สวยเด้งทันเวลาพอดี ฮ่าๆๆ เรียกว่าใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ สาวๆ ญี่ปุ่นแต่งหน้ากันโดยไม่แคร์สายตาใคร ที่อื้งกว่านั้นคือ ดิฉันเคยเห็นเด็กมัธยมขึ้นรถมาเปลี่ยนจากกระโปรงนักเรียนเป็นกางเกงวอร์มบนรถไฟค่า!
เรื่องแนะนำ :
– ผ่อนคลายสบายใจ คนญี่ปุ่นทำอะไรหลังเลิกงาน
– ฟุดฟิดฟอไฟ ทำไมคนญี่ปุ่นไม่ค่อยพูดภาษาอังกฤษ
– เหนื่อยนักก็พักบ้าง
– ความกดดันทางจิตใจในที่ทำงาน
– ขอบคุณในความเหนื่อยยาก (Otsukaresama desu/ おつかれさまです)
#นั่งรถไฟไปทำงาน อุปสรรคที่พบพานทุกเช้าเย็น