อย่าทิ้งของกินญี่ปุ่นที่หมดอายุแล้วในทันที…สำหรับที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว ไม่ได้มีแต่ “วันหมดอายุ” เท่านั้น อาหารหรือขนมจำนวนไม่น้อยที่จะมี “วันหมดอายุที่อาหารอร่อย” ด้วยนะ อย่างหลังนี้เราเรียกง่ายๆ ว่า “วันหมดความอร่อย”
เวลาที่เราซื้ออาหารหรือขนม ไม่ว่าจะซื้อกินเองหรือซื้อเผื่อแผ่ฝากผู้อื่น เราก็มักจะต้องดูวันหมดอายุกันใช่มั้ยล่ะ (ถ้าใครไม่ดู … อันนี้ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงนะจ้ะ)
แต่สำหรับที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว ไม่ได้มีแต่ “วันหมดอายุ” เท่านั้นนะสิ อาหารหรือขนมจำนวนไม่น้อยที่จะมี “วันหมดอายุที่อาหารอร่อย” ด้วยนะ อย่างหลังนี้เราเรียกง่ายๆ ว่า “วันหมดความอร่อย”
![อย่าทิ้งของกินญี่ปุ่นที่หมดอายุแล้วในทันที](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Tip/Expiry%20Date/ExpiryDate1.jpg)
ในภาษาญี่ปุ่นจะเรียก “วันหมดอายุ” ว่า 消費期限 (โช-ฮิ-คิ-เก็ง) ส่วนคำว่า “วันหมดอายุความอร่อย” นั้นจะเรียกว่า 賞味期限 (โช-มิ-คิ-เก็ง)
วันหมดอายุ (โช-ฮิ-คิ-เก็ง, shohi kigen) คือ วันที่อาหารหรือขนมนั้นจะเสีย กินไม่ได้แล้ว ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่อนข้างเซ้นสิทีฟเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและ สาธารณสุขของประชาชนมาก ดังนั้นวันหมดอายุมักกำหนดล่วงหน้าก่อนวันหมดอายุจริงประมาณ 2 – 3 วัน เพราะฉะนั้น เต้าหู้เอย นมสดเอย แม้จะหมดอายุแล้ว คุณก็ยังสามารถทานต่อได้อีกประมาณ 3 – 4 วันอย่างสบายๆ
สำหรับ shohi kigen นี้มักจะใช้กับอาหารที่เน่าเสียง่าย เช่น ข้าวปั้นสามเหลี่ยม ข้าวกล่องเบนโตะ แซนวิช หรือเค้กที่มีวิปครีมสด เป็นต้น
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Tip/Expiry%20Date/ExpiryDate2.jpg)
ส่วน วันหมดอายุความอร่อย (โช-มิ-คิ-เก็ง, shomi kigen) คือ วันสุดท้ายที่อาหารหรือขนมจะคงสภาพความสดและอร่อยอยู่ เช่น ถ้าห่อขนมติดว่า โช-มิ-คิ-เก็ง คือวันที่ 1 พฤษภาคม แปลว่า ขนมนั้นจะรสชาติดีจนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม ถ้าเลยจากนั้นไป คุณก็จะยังทานได้ แต่เตือนไว้ก่อนว่าจะไม่อร่อยเท่าเดิมแล้วนะ เพราะฉะนั้น สินค้าแบบนี้ แม้จะเลยวันหมดอายุความอร่อยไปแล้ว แต่เรายังกินต่อได้อีกเป็นอาทิตย์
Shomi kigen มักจะถูกระบุในอาหารหรือขนมประเภท มันฝรั่งทอด (potato chip) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และอาหารกระป๋อง เป็นต้น
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Tip/Expiry%20Date/ExpiryDate3.jpg)
ที่น่าสนใจ (และควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง) ก็คือ…อาหารที่เน่าเสียง่ายบางชนิดกลับระบุวัน Shomi kigen (วันหมดความอร่อย) แทนที่จะเป็น shogi kigen (วันหมดอายุ) ซะงั้น เช่น นม ไข่ แฮม และเต้าหู้ เป็นต้น
ดังนั้นหากพบว่าบนฉลากอาหารหรือขนมของญี่ปุ่นมันระบุว่าหมดอายุแล้ว ก็พึงระลึกไว้ให้ดีว่า อย่าเพิ่งทิ้งของกินญี่ปุ่นที่หมดอายุแล้วในทันที…เพราะมันยังกินได้อีกหลายวัน!
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Tip/Expiry%20Date/ExpiryDate4.jpg)
แต่ที่ควรระลึกไว้ให้ดีกว่าก็คือ…เขาอุตส่าห์เป็นห่วงสุขภาพผู้บริโภคอย่าง ที่สุด อุตส่าห์กำหนดทั้ง “วันหมดอายุ” และ “วันหมดอายุความอร่อย” ไว้ให้อย่างระมัดระวังแล้ว ในฐานะผู้บริโภคที่ดีก็ควรใช้วิจารณญาณในการบริโภค ใช้ทั้งทักษะการดู (สี) การดม (กลิ่น) การชิม (รส) ก่อนตัดสินใจกินอย่างจริงๆ จังๆ ก็แล้วกัน ยังไงก็ควรบริโภคก่อนวันหมดอายุนั่นแหล่ะดีที่สุด เพื่อประโยชน์แก่ตัวท่านนะจ้ะ 😉
อ้อ! เรื่อง “วันหมดอายุ” กับ “วันหมดอายุความอร่อย” นี้ จากการวิจัยของ Consumer Affairs Agency ที่โตเกียว …แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ยังงงๆ สับสนอยู่เหมือนกัน ฮะ ฮะ
แต่ก่อน..จนกระทั่งปี 1995 ที่บริษัทอาหารหรือขนมต่างๆ จะต้องระบุ “วันผลิต” แต่ปัจจุบันก็ปรับมาใช้มาตรฐานสากลคือระบุ “วันหมดอายุ” แทน แล้วก็พยายามพัฒนาวิธีการระบุเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคให้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อลดปริมาณการทิ้งอาหาร (shokuhin rosu) ของประเทศด้วยนั่นเอง
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Tip/Expiry%20Date/ExpiryDate5.jpg)
เรื่องที่น่าปวดหัวเป็นที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องการลำดับวันที่หมดอายุน่ะสิ ^^”
ที่ญี่ปุ่นจะยึดหน่วยใหญ่เป็นหลัก จึงมักจะลำดับแบบนี้ ปี-เดือน-วัน แต่ที่ชวนเวียนหัวที่สุดก็คือบางทีก็ใช้เป็นปีญี่ปุ่น บางทีก็ใช้ปีฝรั่ง เพราะจะมีทั้งแบบ 2014.04.09 (อันนี้ง่ายๆ ปีฝรั่งชัดๆ ตามด้วยเดือน และวัน) แต่ถ้าเป็น 26.1.15 ล่ะ หึ หึ ถ้าเป็นแบบนี้ (อันนี้ชาวต่างชาติส่วนใหญ่ก็ต้องงงกันมั่งแหล่ะ แต่เพราะเค้านิยมใช้ปีขึ้นหน้า ก็ต้องเป็นปี 26 ไง (ปีญี่ปุ่น เฮเซที่ 26 = ปี 2014 นั่นแหล่ะ) ถ้าใครไม่รู้..มีมึนแน่ๆ