วิถีคนญี่ปุ่น…รายงานสถิติล่าสุด พบว่าประเทศญี่ปุ่น มีอายุเฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ 82.07 ปี ซึ่งถือว่านานที่สุดในโลก และถ้าศึกษาเรื่องนี้เข้าไปให้ลึกขึ้น จะมีข้อมูลบอกกับเราว่า คนญี่ปุ่นใส่ใจเรื่องการเลือกอาหารมานานแล้ว และคนญี่ปุ่น ก็เป็นชาติที่อายุยืนมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน
เมื่อพูดถึงประเทศญี่ปุ่น นอกจากเรื่องของการ์ตูน ไอดอล กีฬา หรือสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือเรื่องของ “อาหาร”
เพราะอาหารญี่ปุ่นนั้น ได้ชื่อว่าเป็น “มากกว่าอาหาร” หรือบางคนก็เรียกว่าเป็น “งานศิลปะที่กินได้” และที่สำคัญที่สุด อาหารของประเทศญี่ปุ่น ได้ชื่อว่ามุ่งเน้นเรื่องการให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งก็เห็นผลได้อย่างชัดเจน เพราะคนญี่ปุ่น ได้ชื่อว่ามีอายุยืนที่สุดในโลก ดังนั้นคอลัมน์ในวันนี้ จะพาทุกคนไปสัมผัสเรื่องราวเกี่ยวกับ “การกิน” ของคนญี่ปุ่นครับ

จากรายงานสถิติล่าสุด พบว่าประเทศญี่ปุ่น มีอายุเฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ 82.07 ปี ซึ่งถือว่านานที่สุดในโลก และถ้าศึกษาเรื่องนี้เข้าไปให้ลึกขึ้น จะมีข้อมูลบอกกับเราว่า คนญี่ปุ่นใส่ใจเรื่องการเลือกอาหารมานานแล้ว และคนญี่ปุ่น ก็เป็นชาติที่อายุยืนมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อน ตามที่มีการบันทึกไว้ในจดหมายเหตุของประเทศจีน ที่กล่าวถึงหมู่เกาะยามาไต (ยามาไตโกคุ) หรืออาณาจักรญี่ปุ่นโบราณ เอาไว้ว่า
“เราเห็นผู้คนในอาณาจักรแห่งนี้ พุ่งไปจับปลาในน้ำ ปลูกข้าวและลูกเดือยไว้เป็นอาหาร…พวกเขายังนิยมกินผักสด และมีความสุขกับการดื่มสุราเป็นประจำ… พวกเขาอายุยืนมาก… เราเห็นคนอายุ 80 – 90 ปีนับไม่ถ้วน… และได้ยินมาว่าบางคนอยู่ได้เกินร้อยปีด้วยซ้ำ”
ตรงจุดนี้เองได้มีนักวิเคราะห์สังเกตว่า ตามประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้ แสดงให้เห็นว่า “คนญี่ปุ่น โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนกินน้อย” เนื่องจากบันทึกระบุว่า คนญี่ปุ่นไม่กินเนื้ออื่นเลยนอกจากเนื้อปลา และนิยมกินเพียงข้าวหรือข้าวบาร์เล่ย์เป็นหลัก ในอัตราส่วน ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำ 10 ส่วน ซึ่งจากการวิจัยแล้วพบว่าการกินแบบนี้ มีปริมาณแคลลอรี่ เพียง 1,200 – 1,400 ต่อวันเท่านั้น แต่สามารถทำให้คนญี่ปุ่นแข็งแรงและอายุยืนมาก หากเทียบกับประเทศอื่นในยุคสมัยนั้น
เรื่อยมาจนปัจจุบัน อาหารญี่ปุ่นได้พัฒนามาไกลจนมีคนประยุกต์เป็นอาหารฟิวชั่น ผสมผสานกับเมนูตะวันตก กลายเป็นรูปแบบใหม่ๆขึ้นมา แต่ถึงกระนั้น ความเป็นอาหารญี่ปุ่นก็ยังคงอยู่เสมอ อย่างที่ผมได้กล่าวไปในข้างต้นว่า “อาหารญี่ปุ่นคือศิลปะ” และ “คนญี่ปุ่นใส่ใจในการดูแลสุขภาพอยู่เสมอ” ดังนั้น ทุกเมนูที่เกิดขึ้น จึงวางอยู่บนรากฐานและกุศโลบายที่สำคัญที่สุดคือ…

“จงกินด้วยสายตา” อาหารญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องการห่อ การตกแต่งจานอยู่แล้ว ในจุดนี้นักวิจัยมองว่า
“การจัดจานที่สวยงาม ทำให้ผู้กินได้ประโยชน์สูงสุด เพราะจะอิ่มทั้งกาย อิ่มทั้งใจ ที่สำคัญ แต่ละเมนูยังสามารถแฝงคุณประโยชน์เอาไว้ใด้ตามที่ต้องการ เพราะการจัดจานที่ดี จะเป็นจิตวิทยาให้ผู้กิน ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ หรือเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวอาหาร เพราะเห็นว่ามันสวยงามดีอยู่แล้ว”
(อันนี้ยกตัวอย่างให้ เห็นง่ายๆ อย่างเช่นตัวผู้เขียนตอนเด็กๆ เป็นคนไม่ชอบกินไข่ แต่ดันป่วยอะไรสักอย่างแล้วคุณหมอแนะนำให้กินไข่เยอะๆ คุณแม่เลยทำไข่เจียวแล้วเอาซอสมะเขือเทศมาวาดรูปการ์ตูนบนไข่ แล้วก็หลอกเราได้สำเร็จ)
นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญอีกอย่างในการทำอาหารแต่ละเมนู ก็คือการ “แยกอาหารเป็นส่วนๆ” เพราะคนญี่ปุ่นมักจะแบ่งอาหารเป็นจานหลัก เครื่องเครียง ซุบมิโซะ สลัด วางไว้บนถาดเดียวกัน ซึ่งมันก็จะกลายเป็นจิตวิทยาว่า “โอเค เรามีหลายจานแล้ว เราพอแค่นี้นะ” ทั้งนี้ นักวิชาการยังกล่าวว่า วิธีการนี้ เมื่อรวมกับ “อาหารที่มีคุณภาพ” ได้ช่วยให้คนญี่ปุ่นมีสุขภาพดีขึ้นมาก และยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคอ้วนอีกด้วย เพราะมีการวิจัยมาว่า ถ้าเราปล่อยให้อาหารถูกแจกจ่ายมาตามปกติ คนทั่วไปจะสามารถกินอาหารได้เรื่อยๆ หากมีการเสิร์ฟมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสถิติสูงสุดกล่าวว่า เราสามารถกินได้มากกว่าที่ร่างกายต้องการถึง 45% ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมากเลยครับ

และสุดท้ายนี้ ผมได้นำแนวทางของคุณ “นาโอมิ โมริยามะ” ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการลดความอ้วนตามแบบญี่ปุ่น ในชื่อว่า “JAPANESE WOMEN DON\’T GET OLD OR FAT” ซึ่งได้แนะนำอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเอาไว้ดังนี้
– ปลา โดยเฉพาะปลาแซลม่อน หรือปลาแมคเคอร์เรล
– ผัก โดยเฉพาะหัวไชเท้า หรือสาหร่ายทะเล
– ข้าวที่ยังไม่ผ่านการฟอกสี (ข้าวกล้อง)
– นมถั่วเหลือง
– อาหารจำพวกเส้นต่างๆ
– แอปเปิ้ล ส้มจีน ลูกพลับ
– ชาเขียว
และได้แบ่งเมนูในแต่ละช่วงวัน เพื่อการมีสุขภาพที่ดี เอาไว้ดังนี้
ตอนเช้า
ซุบมิโซะ, ข้าว 1 ถ้วย, สาหร่ายทะเลแห้ง, ชาเขียว
ตอนกลางวัน
ปลาย่าง, ข้าว, ผัดผัก, ชาเขียว, แอปเปิ้ล
ตอนเย็น
เนื้อไก่, ข้าว, ซุบมิโซะ, ผัดผักและเต้าหู้, ส้มจีน
ถ้าหากผู้อ่านท่านไหนทดลองกินตามแผนนี้ ก็มาบอกให้ผู้เขียนทราบผลบ้างนะครับ และพบกันใหม่สัปดาห์หน้า หรือติดต่อผู้เขียนโดยตรงได้ทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ