ศาลเจ้าอิเสะ Ise Jingu 「伊勢神宮」ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับศาลเจ้าแห่งนี้มาก ถึงขนาดที่ว่า เรียกแค่ Jingu 「神宮」ซึ่งแปลว่าศาลเจ้า ก็รู้กันแล้วว่าหมายถึงศาลเจ้าอิเสะ และบางครั้งก็เรียกกันง่ายๆ ว่า O Ise San
มิเอะ จังหวัดที่หลายๆ คนมองผ่าน…
แต่เชื่อหรือไม่…ที่นี่มีสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเปรียบได้กับ “เมกกะ” ของชาวญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ชีวิตนึงต้องไปให้ได้สักครั้ง
ศาลเจ้าอิเสะ Ise Jingu 「伊勢神宮」ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับศาลเจ้าแห่งนี้มาก ถึงขนาดที่ว่า เรียกแค่ Jingu 「神宮」ซึ่งแปลว่าศาลเจ้า ก็รู้กันแล้วว่าหมายถึงศาลเจ้าอิเสะ และบางครั้งก็เรียกกันง่ายๆ ว่า O Ise San

คงจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่า ชาวญี่ปุ่นนั้นเป็นลูกพระอาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อที่ว่าราชวงศ์อิมพีเรียลแห่งญี่ปุ่นนั้นเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากเทพีแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเหตุผลประการสำคัญที่ทำให้ศาลเจ้าอิเสะ สถานที่สถิตย์ของเทพีสูงสุด หรือเทพีแห่งดวงอาทิตย์ Amaterasu Omikami 「天照大御神」 ได้รับความเคารพและแรงศรัทธาจากชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมากมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และทำให้มีผู้มาสักการะที่ศาลเจ้าแห่งนี้ปีละมากกว่า เจ็ดล้านคน!!!
และแม้จะเรียกว่าศาลเจ้าอิเสะ แต่อันที่จริงแล้วประกอบด้วยศาลเจ้าหลักๆ 2 แห่ง คือศาลเจ้าส่วนใน Inner Shrine (Naiku) และศาลเจ้าส่วนนอก Outer Shrine (Geku) แล้วก็ยังมีศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์อีก 14 แห่ง รวมถึงข้าวของเครื่องใช้อันศักดิ์สิทธิ์ประกอบอีกกว่า 109 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้นอยู่ในบริเวณโดยรอบเมืองอิเสะ Ise 「伊勢」นั่นเอง

Naiku
ศาลเจ้าส่วนใน หรือ Naiku 「内宮」 นั้น มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Katai Jingu ถูกสร้างขึ้นราว 2,000 ปีมาแล้ว (บ้างก็ว่าถูกสร้างขึ้น ตั้งแต่ประมาณ 4 ปีก่อนคริสตกาล) เพื่อเป็นที่สถิตย์ของเทพีสูงสุดAmaterasu Omikami 「天照大御神」 ผู้เป็นบรรพบุรุษ และผู้ปกปักษ์รักษาชาวญี่ปุ่นให้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข หลังจากการตั้งศาลเจ้าจึงเริ่มมีผู้คนเข้าอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

Isuzugawa
จุดเด่นของศาลเจ้าส่วนในประการหนึ่งก็คือสะพาน Ujibashi ความยาวประมาณ 100 เมตร สำหรับข้ามแม่น้ำ Isuzu (Isuzugawa) ถือเป็นสะพานสำคัญ เพราะเชื่อกันว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงกับสะพาน Ujibashi ก็มีถนน Oharai Dori ซึ่งนำเราไปสู่ย่านOkage Yokocho ที่ตลอดสองข้างทางจะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขนม ร้านของฝาก เรียงรายอยู่มากมาย สามารถแวะไปเที่ยวชมบรรยากาศแบบเอโดะบวกเมจิกันได้ คงน่าเสียดายมากถ้ามาถึงศาลเจ้าอิเสะแล้วไม่ได้แวะไปที่นี่ด้วย

Geku
ศาลเจ้าส่วนนอก หรือ Geku 「外宮」นั้น มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Toyoukedai Jingu หรือ Toyouke Grand Shrine ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 478 เพื่อเป็นที่สถิตย์ของเทพี Toyouke Omikami 「豊受大御神」หรือเทพีแห่งการเพาะปลูก ผู้มีหน้าทีดูแลและถวายอาหารศักดิ์สิทธิ์แด่เทพี Amaterasu Omikami
ทั้งศาลเจ้าส่วนในและศาลเจ้าส่วนนอก รวมถึงอาคารประกอบทั้งหลาย ถูกก่อสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแบบเก่าแก่และดั้งเดิม ซึ่งหาชมได้ยากและทำให้รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่โดยรอบศาลเจ้าอิเสะอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ที่สำคัญศาลเจ้าแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นศาลเจ้าแห่งพิธีกรรม เนื่องจากแต่ละปีจะมีศาสนพิธีเกิดขึ้นมากมาย นับกันแทบไม่ถ้วน แต่มีงานหนึ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากนั่นคืองานเทศกาล Sengu ซึ่งเป็นเทศกาลที่จัดร่วมกับศาสนพิธีที่เรียกว่า Shikinen Sengu หรือพิธีอัญเชิญเทพเจ้าให้ไปสถิตย์ยังศาลเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นใหม่

Ujibashi
ทุก 20 ปีศาลเจ้าอิเสะจะมีการก่อสร้างตัวศาลเจ้าหลักแห่งใหม่ขึ้น (ทั้งศาลเจ้าส่วนในและส่วนนอก รวมทั้งอาคารประกอบบางส่วน) ในบริเวณใกล้เคียงกับจุดเดิม ซึ่งเป็นงานที่เรียกว่าละเอียดอ่อนมาก ตลอดระยะเวลา 20 ปีนั้น ก็จะมีพิธีกรรมย่อยที่เกี่ยวเนื่องกับ Shikinen Sengu เกิดขึ้นอยู่เนืองๆ เรียกได้ว่ากว่าจะมาเป็นงานนี้ได้ เจ้าหน้าที่และบรรดานักบวชทั้งหลายคงยุ่งกันน่าดู Shikinen Sengu ครั้งล่าสุด เป็นครั้งที่ 61 จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1993 โดยสะพาน Ujibashi ซึ่งก็ต้องสร้างขึ้นใหม่ทุก 20 ปีเหมือนกันนั้น ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อรองรับงาน Shikinen Sengu ในปี 2013 (โดยปกติ Ujibashi จะถูกสร้างใหม่ล่วงหน้างาน Shikinen Sengu ราว 4 ปี)

การแสดงความเคารพศาลเจ้าส่วนใน (ทำได้แค่ประตูด้านหน้า)
การสักการะศาลเจ้าอิเสะ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สำคัญมากในช่วงราวศตวรรษที่ 17 – 19 (สมัยเอโดะ) ชาวญี่ปุ่นควรกระทำสักครั้งหนึ่งในชีวิต เรียกธรรมเนียมนี้ว่า O Ise Mairi ซึ่งมีแบบแผนในการปฏิบัติที่ค่อนข้างชัดเจน ประการหนึ่งก็คือควรจะตัองไปสักการะศาลเจ้าส่วนนอกก่อนที่จะไปสักการะศาลเจ้าส่วนใน
สำหรับการเดินทางสู่ศาลเจ้าอิเสะนั้น หากเดินทางมาจากนาโงย่า ที่สถานี Kintetsu Nagoya โดยรถไฟสาย Kintetsu Line (Limited Express) ก็จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที ถึง สถานี Iseshi
เดินจากสถานี JR/Kintetsu Iseshi ประมาณ 7 นาทีก็จะถึงศาลเจ้าส่วนนอก แต่ถ้ามาจากสถานี Kintetsu Ujiyamada ก็ใช้เวลาในการเดินประมาณ 10 นาที

Oharai Dori
จากศาลเจ้าส่วนนอก สามารถเดินทางโดยรถบัสจากสถานี Kintetsu Isuzugawa เพียงไม่นานก็จะถึงป้าย Naiku Mae ของศาลเจ้าส่วนใน ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 6 กิโลเมตร แต่เนื่องจากรถบัสที่ออกจากสถานี Kintetsu Isuzugawa มีจำนวนค่อนข้างน้อย จึงควรใช้บริการรถบัสจากสถานี JR//Kintetsu Iseshi หรือสถานี Kintetsu Ujiyamada ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็จะมาถึงป้าย Naiku Mae ได้เหมือนกัน จากนั้นก็ข้ามสะพาน Ujibashi เพื่อเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าส่วนในกันได้เลย
สำหรับใครที่มีเวลา รวมถึงมีกำลังขาดี แล้วอยากจะเที่ยวเยอะๆ ไปได้ครบๆ ทั่วทั้งเมืองอิเสะ ก็ควรหาที่พักกันในเมืองนี้ แล้วเช่าจักรยานปั่นเที่ยวกัน ถ้าเช่าทั้งวัน ราคาก็แค่ 1,030 เยนเท่านั้น แต่ก็ได้ทัวร์แบบเข้าถึงจริงๆ

ศาลเจ้าหลักทั้งสองส่วน เปิดให้เข้าไปสักการะกันได้ทุกวัน แม้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่เวลาทำการก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละเดือน ก่อนการเดินทางจึงควรตรวจสอบข้อมูลให้เรียบร้อยก่อน เพราะบางทีในวันที่เราไป อาจจะปิดเร็วก็ได้ และการเข้าชมศาลเจ้าอิเสะนั้นไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก็แอบเสียดายอยู่ไม่น้อย ที่เราจะเข้าไปสักการะศาลเจ้าอิเสะทั้งสองส่วนได้ใกล้ที่สุด ก็แค่ประตูด้านหน้าของตัวศาลเจ้าเท่านั้น ซึ่งแค่นี้คนญี่ปุ่นก็เป็นปลื้มกันแล้ว
ในบรรดาศาลเจ้าของศาสนาชินโตทั้งหมดแล้ว ศาลเจ้าอิเสะถือว่ามีความสำคัญที่สุด เพราะเทพีแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเทพีสูงสุดนั้น เชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์และของชาวญี่ปุ่นด้วย นอกจากนี้ดวงอาทิตย์ก็มีความสำคัญกับการเกษตร ประกอบกับศาลเจ้าอิเสะนั้นเป็นที่สถิตย์ของเทพีแห่งการเพาะปลูกอีกด้วย ดังนั้นจึงถือว่าเป็นศาลเจ้าที่ให้ทั้งชีวิตและดูแลชีวิตของชาวญี่ปุ่นเลยทีเดียว ชาวนาและเกษตรกรชาวญี่ปุ่นทั้งหลายจึงมุ่งมั่นที่จะต้องมาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ให้ได้…สักครั้งหนึ่งในชีวิต

เนื้อมัตสึซากะ
จังหวัดมิเอะ..ใครว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ แค่ศาลเจ้าอิเสะเพียงแห่งเดียว ถ้าไม่ได้ไป ก็ถือว่า “พลาด” แล้ว แล้วที่มิเอะก็ยังมีเนื้อวัววากิวชั้นเยี่ยมจากเมืองมัตสึซากะ (เนื้อมัตสึซากะ) ให้ได้ลิ้มลอง รวมถึงยังมีเกาะแห่งไข่มุก..มิกิโมโตะ (Mikimoto) ให้ผู้ที่หลงใหลไข่มุกทั้งหลายได้ไปเยี่ยมชมกันอีกด้วย

Mikimoto และการแสดงการงมหอยมุกแบบดั้งเดิม
แล้วอย่าลืมออกนอกเมืองใหญ่ ไปตะลุยเมืองที่น่าสนใจแบบนี้กันบ่อยๆ นะ ญี่ปุ่นยังมีอะไรให้เที่ยวกันอีกเยอะ…
ที่มา:
www.jnto.go.jp/eng/location/regional/mie/isejingu.html
http://ise-kanko.jp/english/html/see/index.html
http://www.isejingu.or.jp/shosai/english/shinto/shinto.htm