รีวิว “มหาวิทยาลัยนานาชาติ” ของญี่ปุ่นเทียบกับของไทย
ในประเทศญี่ปุ่นนั้น แนวคิดเรื่อง “มหาวิทยาลัยนานาชาติ” ที่เรียกว่า “โคะกุไซ ไดงะกุ (国際大学)” นั้น ต่างจากแนวคิดมหาวิทยาลัยอินเตอร์ของเมืองไทยอยู่มาก คือถ้าเป็นเมืองไทยแล้วเราได้ยินภาษาพูดว่า “มหาลัยอินเตอร์” หรือต่อให้เป็นมหาวิทยาลัยปกติแต่เป็น “หลักสูตรอินเตอร์” เราก็มักจะมั่นใจว่า การเรียนการสอนทั้งหลักสูตรต้องใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมดอย่างแน่นอน
แต่สถานการณ์ในญี่ปุ่นนั้นต่างออกไป เนื่องจากนับแต่สมัยก่อนหลายทศวรรษที่แล้ว มหาวิทยาลัยญี่ปุ่นที่มีคำว่า “โคะกุไซ (International)” แปะอยู่ ไม่ได้แปลว่าการเรียนการสอนจะเป็นภาษาอังกฤษเสมอไป แต่หมายถึงการเน้นนโยบายเปิดกว้างรับนักศึกษาต่างชาติในสัดส่วนที่มากกว่ามหาวิทยาลัยที่ไม่มีคำว่า “โคะกุไซ” แต่อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยอินเตอร์แบบญี่ปุ่นส่วนใหญ่นั้น แม้รับนักศึกษาต่างชาติเข้ามามาก แต่ก็นิยมใช้การเรียนการสอนเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนอยู่ดี มีสัดส่วนการเรียนการสอนด้วยภาษาอังกฤษต่ำมาก คือเรียกว่าเป็น Internal Internationalization (内なる国際化) คือการโกอินเตอร์โดยการเปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติเข้ามาเรียนในประเทศญี่ปุ่นโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด (โกอินเตอร์สไตล์ญี่ปุ่นเขาล่ะ) เนื่องจากยุคสมัยที่ผ่านมา การเก่งภาษาอังกฤษไม่ได้เป็น 1 ในปัจจัยที่ช่วยให้หางานได้สำหรับสังคมญี่ปุ่น (ต่างจากสังคมไทยที่เก่งอังกฤษแล้วชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในญี่ปุ่น จึงทำให้มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นมีท่าทีอ่อนลง จึงยอมเปิดหลักสูตรอินเตอร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษจริง ๆ กันมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีหลักสูตรอินเตอร์แบบไม่ใช้ภาษาอังกฤษลดน้อยลง ๆ
ในปัจจุบันแม้ว่าจะมีหลายมหาวิทยาลัยทั้งในญี่ปุ่นและในไทยที่เป็น “มหาวิทยาลัยปกติ (ไม่อินเตอร์)” จะเปิดหลักสูตรอินเตอร์กันมากขึ้น ๆ แต่ก็ยังมีจุดต่างที่สำคัญคือ มหาวิทยาลัยปกติที่เปิดหลักสูตรอินเตอร์นั้น ยังคงมีแนวโน้มจะมีสัดส่วนของนักศึกษาที่เป็นเจ้าของประเทศอยู่มาก (ที่ญี่ปุ่นก็คือสัดส่วนนักศึกษาญี่ปุ่นมาก ที่ไทยก็คือสัดส่วนนักศึกษาไทยมาก) คือเป็นหลักสูตรปกติที่แปลงเป็นการเรียนการสอนด้วยภาษาอังกฤษกันหลายแห่ง แต่หากเป็นมหาวิทยาลัยอินเตอร์ทั้งระบบ คือไม่ใช่เพียงหลักสูตรปกติแล้วสอนด้วยภาษาอังกฤษ แต่เป็นความพยายามที่จะเป็นอินเตอร์ทั้งระบบของมหาวิทยาลัย โดยมักจะมีสัดส่วนนักศึกษาหลากหลายชาติมากกว่า และหลักสูตรก็มีแนวโน้มจะถูกวางด้วยมุมมองของสากลมากกว่า (ดีหรือไม่ดีก็เป็นอีกเรื่อง แต่หลักสูตรมักถูกกำหนดโดยมุมของ Global มากกว่าการมองจากมุมของหลักสูตรภาคปก คือวิชาเรียนหลายวิชามักถูกสะท้อนให้เห็นบริบทของชาวโลก มากกว่าบริบทในประเทศตัวเอง)
วันนี้ผู้เขียนจึงอยากแนะนำ “มหาลัยอินเตอร์” ของญี่ปุ่น 3 แห่ง และของไทย 2 แห่ง
แห่งแรกในญี่ปุ่นคือ International Christian University (ICU) อยู่ชานเมืองโตเกียว ซึ่งผู้เขียนบังเอิญเคยไปเรียนมา ที่นี่มีเพียงคณะเดียวคือคณะศิลปศาสตร์ แต่เป็นศิลปศาสตร์แบบอเมริกันคือเป็น Liberal Arts ที่เรียนผสมทุกศาสตร์ปนกันหมดตามแต่ใจผู้เรียน มีวิชาเอก 31 วิชาเอกให้นักศึกษาผสมสัดส่วนออกแบบชีวิตตัวเองได้ การเรียนการสอนเป็นระบบ 2 ภาษาคือในทุกวิชาจะเปิดเรียนอย่างน้อย 2 sections คือเป็น Sec สอนด้วยภาษาอังกฤษ และ Sec สอนด้วยภาษาญี่ปุ่น ส่วนระดับปริญญาโทและปริญญาเอกก็แล้วแต่นักศึกษาจะเลือกเรียนต่อสาขาวิชาใด (ไม่ได้มี 31 สาขาแล้วนะสำหรับโท-เอก) แต่เดิม ICU ไม่ค่อยมีคนในสังคมญี่ปุ่นรู้จักเพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างปิดตัวไม่ยุ่งกับสังคมญี่ปุ่นเพราะสนใจแต่สังคม Global แต่พอองค์หญิงมะโกะ และ องค์หญิงคะโกะ ตัดสินพระทัยศึกษาต่อที่ ICU จึงทำให้ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น
แห่งต่อมาในญี่ปุ่นคือ International University of Japan (IUJ) ตั้งอยู่ในจังหวัดนีงะตะ ดินแดนแห่งหิมะ มีลักษณะพิเศษคือเป็นมหาวิทยาลัยบัณฑิตวิทยาลัยเท่านั้น คือมีเพียงหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอก เหมือน NIDA ของไทย คิดง่าย ๆ คือ IUJ เป็น NIDA แบบอินเตอร์ คือที่นี่ไม่มีการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นเกิดขึ้นเลย เป็นอินเตอร์ทั้งระบบโดยแท้จริง และมีนักศึกษาต่างชาติเป็นผู้ใหญ่ทั้งหมด ไม่มี “เด็กมหาลัย” เพราะไม่มีหลักสูตรปริญญาตรีนั่นเอง
อีกแห่งคือ Ritsumeikan Asia Pacific University (APU) ตั้งอยู่ที่จังหวัดโออิตะ ดินแดนแห่งท้องทะเลและน้ำพุร้อน เป็นมหาลัยอินเตอร์ยอดฮิตของชาวไทยที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่น เปิดครบทั้งปริญญาตรี-โท-เอก สัดส่วนนักศึกษาไทยปีละหลายร้อยคน การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษล้วนทั้งระบบ ผู้เขียนเคยมีโอกาสไปติดต่องานที่ APU และพบว่าแม้แต่บุคลากรระดับปฏิบัติการอย่างเจ้าหน้าที่ห้องสมุด หรือเจ้าหน้าที่ธุรการ ไปจนกระทั่งคนขายข้าวในโรงอาหาร ก็ยังใช้ภาษาอังกฤษคล่องมาก ทำให้นักศึกษาต่างชาติไม่ต้องรู้ภาษาญี่ปุ่นเลยก็สามารถเรียนจบได้ ส่วนใครจะเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเพื่อให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขมากขึ้นหรือไม่ก็แล้วแต่นักศึกษาแต่ละคนจะตัดสินใจ
ส่วนของไทยอยากพูดถึงแห่งแรกคือ Stamford International University (STIU) ซึ่งปัจจุบันผู้เขียนมีโอกาสได้มาร่วมงานกับที่นี่พักใหญ่ ๆ แล้ว มีวิทยาเขตที่หัวหิน, อโศก, และหัวหมาก-พระรามเก้า หลักสูตรปริญญาตรี-โทขึ้นกับวิชาที่เรียนว่าจะไปอยู่วิทยาเขตไหน เนื่องจากเป็นมหาลัยอินเตอร์แบบไทย จึงมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษล้วนทั้งระบบ มีสัดส่วนนักศึกษาต่างชาติเกินครึ่งเมื่อเทียบกับนักศึกษาไทย แม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนผู้ถือหุ้นจากกลุ่มทุนอเมริกันเป็นกลุ่มทุนจีน จึงมีสัดส่วนของนักศึกษาจีนเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ยังรักษา Diversity แบบนานาชาติเอาไว้ได้อยู่ ยังคงสืบทอดหลายสิ่งหลายอย่างจากความเป็นอเมริกันเอาไว้ได้
อีกแห่งหนึ่งของไทยคือ Mahidol University International College (MUIC) ซึ่งแม้จะชื่อว่ามหิดล แต่การบริหารจัดการ การเรียนการสอน คล้ายจะเป็นอีกมหาวิทยาลัยหนึ่งไปเลย เนื่องจากมีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษล้วนทั้งระบบและมีสัดส่วนนักศึกษาต่างชาติเป็นจำนวนมากเช่นกัน มีเปิดหลักสูตรปริญญาตรี-โท ชื่อทางการคือ “วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล” เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหิดลวิทยาเขตศาลายา แต่มีอาคารขนาดยักษ์ของตัวเองแยกออกมาจากส่วนอื่นของมหาวิทยาลัยมหิดล
ในปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยจำนวนมากทั้งในญี่ปุ่นและไทย ที่เปิดหลักสูตรอินเตอร์กันมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากกระแส Global มาแรงมาก คอลัมน์นี้จึงไม่ได้มีเจตนาจะเปรียบเทียบ Ranking ว่าที่ไหนดังกว่าที่ไหน หรือที่ไหนดีกว่าที่ไหน แต่มีจุดประสงค์เพื่อนำเสนอ “มหาวิทยาลัยทางเลือก” ที่เป็นอินเตอร์ทั้งระบบ ที่แตกต่างไปจากมหาวิทยาลัยที่โด่งดังในกระแสหลัก เนื่องจากเชื่อความ Diversity เป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นทั้งในวงวิชาการและในวงธุรกิจ
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– โฮ-เร็น-โซในยุคดิจิทัล: ตัวอย่างการประยุกต์ใช้จริงแบบง่าย ๆ
– เกิดเป็นเอเลี่ยนในญี่ปุ่นนั้นอยู่ยาก: เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังคงปฏิเสธไม่ให้ชาวต่างชาติเช่าที่พักn>
– CEFR คืออะไร แล้วทำไม JLPT ต้องใช้ CEFR ตั้งแต่ปี ค. ศ. 2025?
– Soft Power และกรุงโรม ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว: มาพิจารณาการพัฒนา Soft Power ของญี่ปุ่นกัน
– คุณค่าของมังงะและอนิเมะในฐานะเป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นดีสำหรับบทละครหรือบทภาพยนตร์
ขอบคุณรูปภาพจาก
https://www.icu.ac.jp/en/
https://experience-japan-online.jp/
https://admissions.apu.ac.jp/microsite/th/
https://www.stamford.edu/dual-campus/
https://muic.mahidol.ac.th/
#รีวิว “มหาวิทยาลัยนานาชาติ” ของญี่ปุ่นเทียบกับของไทย