แม้ว่าตามการรับรู้ของชาวต่างชาตินั้นชาวญี่ปุ่นจะมีภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนจะอนุรักษ์นิยมและไม่ค่อยยืดหยุ่นก็ตาม แต่ที่จริงแล้วชาวญี่ปุ่นคือนักยืดหยุ่นและนักผสมผสานอารยธรรมตัวยงเลยทีเดียว
ถ้าใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ของวัฒนธรรมญี่ปุ่น จะสังเกตเห็นได้ว่า ญี่ปุ่นมีความยืดหยุ่นในวัฒนธรรมของตัวเองสูงมากมานับแต่โบราณ แม้ว่าตามการรับรู้ของชาวต่างชาตินั้นชาวญี่ปุ่นจะมีภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนจะอนุรักษ์นิยมและไม่ค่อยยืดหยุ่นก็ตาม แต่ที่จริงแล้วชาวญี่ปุ่นคือนักยืดหยุ่นและนักผสมผสานอารยธรรมตัวยงเลยทีเดียว
มีคำเรียกลักษณะนี้ของญี่ปุ่นว่า “อี้โทะโกะโดะริ (好いとこ取り)” ซึ่งหมายถึง ญี่ปุ่นจะพยายามมองหาสิ่งดีๆ ของหลายๆ ชาติที่ตัวเองติดต่ออยู่ แล้วเลือกเฟ้นเฉพาะสิ่งดีๆ เหล่านั้นมาพัฒนาต่อยอดตามแบบฉบับของญี่ปุ่นเอง จนในที่สุดสิ่งเหล่านั้นที่เคยเป็นของชาติอื่นก็จะกลายเป็นของญี่ปุ่นเองไปในที่สุด และญี่ปุ่นอาจมีการส่งออกสินค้าทางวัฒนธรรมหรือแนวคิดนั้นๆ หลังจากทำการอี้โทะโกะโดะริเรียบร้อยแล้วอีกด้วย และส่งออกในฐานะเป็น “ของญี่ปุ่น” ทั้งที่ต้นฉบับไม่ได้เป็นของญี่ปุ่นสักหน่อย เป็นการพัฒนาอัตลักษณ์ทางอารยธรรมและวัฒนธรรมของตัวเองโดยการนำของชาติอื่นมาพัฒนาปรับปรุงเพื่อต่อยอดให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มตั้งแต่ยุคโบราณกาล ที่ญี่ปุ่นรับภาษาและอารยธรรมจีนเข้ามา รวมทั้งรับพุทธศาสนาเข้ามาด้วย และอย่างที่ทุกคนทราบ ญี่ปุ่นนำอักษรจีนมาประยุกต์ใช้กลายเป็นอักษรคันจิ (漢字) แล้วก็ใช้เป็นฐานในการคิดอักษรของตัวเองอีก 2 ประเภทคืออักษรฮิระงะนะ (平仮名) และ อักษรคะตะกะนะ (片仮名) อีกด้วย ส่วนพุทธศาสนาเองก็มีการพัฒนาจนกลายเป็นแนวคิดพุทธศาสนาแบบญี่ปุ่นและส่งออกไปสู่ต่างประเทศอีกครั้ง (พุทธแบบญี่ปุ่นที่เด่นมากในระดับโลกคือพุทธศาสนานิกาย Zen นั่นเอง)
Cr. Photo: https://amebu.wordpress.com/2010/07/31/random-lesson-1-japanese-alphabets/
ในด้านศิลปะการต่อสู้ ก็มีการพัฒนาศิลปะการป้องกันตัวแบบญี่ปุ่นเองผสมผสานเข้ากับวิทยายุทธจากจีนและเกาหลี รวมทั้งมวยสากลจากตะวันตก แม้แต่มวยไทยก็ถูกผนวกเข้ากับศิลปะการต่อสู้แบบญี่ปุ่นเช่นกัน จนเกิดเป็นศิลปะการต่อสู้แบบญี่ปุ่นหลายรูปแบบ เช่น เคนโด้, ไอกิโด้, คาราเต้, มวยโชรินจิ (少林寺拳法: หมายถึงมวยเส้าหลินที่ญี่ปุ่นเอามาพัฒนาต่อจากมวยเส้าหลินต้นฉบับของจีนจนวิทยายุทธกลายเป็นคนละแขนงไปแม้จะยังใช้ชื่อเส้าหลินร่วมกันอยู่), Kickboxing (ซึ่งรับจากมวยไทยไปพัฒนารวมกับวิทยายุทธญี่ปุ่นแขนงอื่น) ฯลฯ
Cr. Photo: https://www.bookmartialarts.com/aikido-kobayashi-dojo/1-month-live-in-aikido-training-in-tokyo-japan
แม้แต่ของที่ดูเป็นจีนมากๆ ชนิดที่คนจำนวนมากก็ทราบดีว่าต้นกำเนิดคือประเทศจีน แต่กลายเป็นว่า ญี่ปุ่นกลับเป็นผู้ทรงอิทธิพลในการเผยแพร่อารยธรรมจีนหลายอย่าง เช่น หมากล้อม ซึ่งหมากล้อมที่ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกกลับเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า “โกะ (碁)” แทนที่ทั่วโลกจะรู้จักหมากชนิดนี้ด้วยภาษาจีนว่า “เหวยฉี (围棋)” หรืออาหารอย่างราเม็ง (ラーメン) ที่ญี่ปุ่นนิยมเขียนด้วยอักษรคะตะกะนะเพื่อประกาศให้โลกรู้ด้วยว่าไม่ใช่ของญี่ปุ่นนะ แต่อาหารประเภทเส้นที่ฮิตไปทั่วโลกก็เป็นคำว่า Ramen ในภาษาญี่ปุ่น แทนที่จะเป็นคำว่า เมี่ยนเถียว (面条) ที่แปลว่าอาหารประเภทเส้นในภาษาจีน
Cr. Photo: https://www.kcpinternational.com/2011/07/go-game-go/
สิ่งที่เด่นมากจริงๆ ของตัวอย่างการอี้โทะโกะโดะริของญี่ปุ่น เห็นจะเป็นเรื่องอาหารการกิน แม้แต่อาหารที่ดูเป็นญี่ปุ่นสุดขีดอย่าง “สุกี้ยากี้ (すき焼き)” จริงๆ ก็รับมาจากตะวันตก เพราะญี่ปุ่นโบราณนั้นไม่กินเนื้อวัว เพิ่งมาหัดกินเนื้อวัวตามชาวตะวันตกเมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง จนกลายเป็นเมนูสุกี้ยากี้ที่กลายเป็นอาหารประจำชาติไปได้ (และยังเป็นชื่อเพลงดังอีกด้วย ตามที่ผู้เขียนเคยเขียนไปแล้วใน >> https://entertainment.marumura.com/sukiyaki-jl123/
อาหารญี่ปุ่นอย่าง “ซูชิ (寿司)” ก็มีเค้าโครงทางประวัติศาสตร์ว่าได้รับวิธีถนอมอาหารชนิดนี้มาจากอาหารประเภท “ปลาส้ม” ทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไม่รู้ว่าจากประเทศไหน เพราะมันเก่ามากจนน่าจะเป็นช่วงก่อนยุคกรุงสุโขทัย คือยังไม่เกิดประเทศไทยขึ้นมาเลย) โดยโบราณยังไม่มีตู้เย็นจึงถนอมอาหารโดยเอาข้าวและปลามาหมักรวมกันจนเกิดรสเปรี้ยวเพื่อให้เก็บทั้งปลาและข้าวไว้กินได้นานขึ้น จนกระทั่งยุคต่อมาที่ญี่ปุ่นสามารถผลิตน้ำส้มสายชูได้เองจึงวิวัฒนาการกลายเป็นหุงข้าวผสมน้ำส้มสายชูไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาเอาข้าวมาหมักกับปลาให้เกิดรสเปรี้ยวอีก และแน่นอน ซูชิที่แพร่ไปทั่วโลกก็อยู่ภายใต้ “ความเป็นญี่ปุ่น” ไปเรียบร้อย
อย่างเหล้าญี่ปุ่นประเภทโชจู (焼酎) ก็เช่นกัน ผู้เขียนก็เคยเขียนไปแล้วใน >> https://www.marumura.com/awamori ว่าญี่ปุ่นรับวิธีผลิตโชจูไปจากกรุงศรีอยุธยา โดยกรุงศรีอยุธยาติดต่อค้าขายกับ “ราชอาณาจักรริวกิว (琉球王国)” และได้ถ่ายทอดวิธีหมักเหล้าขาวของอยุธยาไปที่ริวกิวจนเกิดเป็นเหล้า “อะวะโมะริ (泡盛)” ขึ้น จากนั้นเมื่อญี่ปุ่นเข้าผนวกริวกิวเข้าเป็นดินแดนของญี่ปุ่น ก็มีการค่อยๆ วิวัฒนาการจากอะวะโมะริไปเป็นโชจูของญี่ปุ่นในที่สุด และแน่นอน ทั้งโชจูและอะวะโมะริในปัจจุบันก็เป็นสินค้า “ของญี่ปุ่น” เช่นกัน (แม้ว่าต้นฉบับจะ made in Ayutthaya ก็เถอะ)
ตัวอย่างสุดท้ายที่อยากจะเล่าคือ โยโชะคุ (洋食) หรืออาหารตะวันตกสไตล์ญี่ปุ่นประเภท ข้าวแกงกะหรี่, คัตสึ, สปาเก็ตตี้ หรือเบเกอรี่ญี่ปุ่น ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมากของการอี้โทะโกะโดะริ
จึงกล่าวได้ว่า ญี่ปุ่นไม่ได้ชาตินิยมหรืออนุรักษ์นิยมแต่อย่างใด แต่เปิดกว้างให้กับอารยธรรมทั่วโลกอย่างมากๆ และได้รวมเอาจุดเด่นของสิ่งต่างๆ จากทั่วโลกไปพัฒนาต่อยอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเกิดอัตลักษณ์ใหม่เป็นของญี่ปุ่น แล้วส่งออกไปประเทศต่างๆ ทั่วโลก สร้างรายได้มหาศาลและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศญี่ปุ่นในสายตาชาวโลกมาจนทุกวันนี้
เรื่องแนะนำ :
– วะคง-โยไซ (和魂洋才): การผสมผสานจิตวิญญาณญี่ปุ่นและวิทยาการแบบตะวันตก
– ญี่ปุ่นมีมหาวิทยาลัยเฉพาะทางที่เรียกว่า “มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศ” ด้วยนะ
– ที่มาของเสียงอ่านคันจิอันหลากหลายในภาษาญี่ปุ่น
– ทำไมพระโพธิสัตว์กวนอิมในประเทศญี่ปุ่นถึงมีทั้งปางบุรุษและปางสตรี?
– คาราเต้: ความเป็นมาก่อนจะกลายเป็น 1 ในกีฬาโอลิมปิก 2020
ที่มาและรูปภาพ :
https://amebu.wordpress.com/
https://www.bookmartialarts.com/aikido-kobayashi-dojo/
https://www.kcpinternational.com/
#อี้โทะโกะโดะริ (好いとこ取り): การเอาสิ่งที่ดีของชาติอื่นมาพัฒนาต่อจนกลายเป็นของญี่ปุ่น