ดิฉันคิดว่าดิฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากค่ะ เดือนที่แล้ว ดิฉันต้องไปทำงานต่างประเทศถึงสองประเทศ คือ ญี่ปุ่นและเดนมาร์ก เลยได้มีโอกาสได้ไปโฮมสเตย์บ้านเพื่อนๆ ด้วย ที่บอกว่าโชคดี เพราะคนของสองประเทศนี้มักไม่ค่อยเชิญคนที่ไม่สนิทจริงๆ มาทานข้าวหรือพักที่บ้าน
ดิฉันคิดว่าดิฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีมาก…
อยากเก็บประโยคบนไว้ใช้ในงานแต่งงานของตัวเองจังเลยค่ะ แต่ไม่มั่นใจว่าจะได้มีวันนั้นหรือเปล่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เอาประโยคนี้มาใช้ในบทความตัวเองก่อนก่อนละกัน
ดิฉันคิดว่าดิฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากค่ะ เดือนที่แล้ว ดิฉันต้องไปทำงานต่างประเทศถึงสองประเทศ คือ ญี่ปุ่นและเดนมาร์ก เลยได้มีโอกาสได้ไปโฮมสเตย์บ้านเพื่อนๆ ด้วย ที่บอกว่าโชคดี เพราะคนของสองประเทศนี้มักไม่ค่อยเชิญคนที่ไม่สนิทจริงๆ มาทานข้าวหรือพักที่บ้าน ดิฉันเองก็ไม่แน่ใจว่า เพื่อนคนญี่ปุ่นและคนเดนมาร์กจัดระดับความสัมพันธ์กับดิฉันไว้ในขั้นไหน แต่อย่างน้อยก็ดีใจที่เขาให้เกตุวดีไปนอนบ้าน พาเราเที่ยว และทำกับข้าวให้ทานค่ะ
การไปอยู่กับเขา 2 – 3 คืน ก็ทำให้เราได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างระหว่างไทย ญี่ปุ่น และเดนมาร์กอย่างยวดยิ่ง เอาง่ายๆ แค่เรื่องใส่รองเท้าเข้าบ้าน บ้านเดนมาร์ก เราสามารถใส่รองเท้าเดินทั่วบ้านได้ เวลาเข้าบ้าน เขาไม่มีสลิปเปอร์เตรียมไว้ให้ อยากถอดรองเท้าก็ถอด อยากใส่ก็ใส่ ดิฉันเองเป็นคนขี้หนาว แต่ไม่ชอบใส่รองเท้าที่เดินข้างนอกมาเดินย่ำๆในบ้าน ดิฉันเลยเอาสลิปเปอร์ขนฟูนิ่มที่ตัวเองมีมาใส่เดินในบ้านเขา ถ้าทำแบบนี้ที่ญี่ปุ่น ถือว่าเป็นการเสียมารยาทต่อเจ้าบ้านมาก เพราะถือว่าเจ้าบ้านดูแลไม่ดีจนแขกต้องเอารองเท้าตัวเองมาใส่ แต่เหมือนคนเดนมาร์กไม่ได้ว่าอะไรค่ะ แขกอยากทำอะไรก็ทำไป อิสระมาก
ในขณะที่บ้านคนญี่ปุ่น เราต้องถอดรองเท้าอย่างเป็นระเบียบ เขาจะมีสลิปเปอร์สำหรับแขกเตรียมไว้โดยเฉพาะ แถมแบ่งเป็นสลิปเปอร์แบบฤดูร้อนซึ่งจะบางๆ หน่อย กับแบบฤดูหนาว ซึ่งจะมีขนๆ อุ่นๆ หน่อย ส่วนเจ้าบ้าน ก็จะมีสลิปเปอร์ของเขากันเอง แบ่งเป็นของพ่อ ของแม่ และของลูก ไม่เอามาใช้ปะปนกับของแขกค่ะ
สิ่งที่ดิฉันรู้สึกว่าแตกต่างและอะเมซซิ่งที่สุดคือ วัฒนธรรมการกินของสองประเทศนี้ ขอเริ่มเล่าจากมื้อค่ำก่อนนะคะ เพื่อนคนเดนมาร์กดิฉันบอกว่า จะทำหมูย่างหนังกรอบ ซึ่งเป็นอาหารเดนมาร์กตำรับดั้งเดิมที่ทานกันเฉพาะช่วงคริสต์มาสเท่านั้น หาทานยากช่วงนี้ แต่จะทำให้เกตุวดีลองชิมดู

วิธีทำ คือ เขาบากเนื้อหมูเป็นร่องๆ เอาเกลืออิตาลีเม็ดใหญ่โรยตามร่องที่บากๆ ไว้ แล้วเอาพวกสมุนไพรหอมๆ ปักๆระหว่างร่องหมู จากนั้นเอาเข้าตู้อบเลย ไม่ต้องหมักทิ้งไว้กี่นาทีเหมือนบ้านเรา

ระหว่างอบหมู เพื่อนก็ทำน้ำเกรวี่ โดยใส่ไวน์แดง ผักพวกแครอท ใบโรสแมรี่ ต่างๆ นานาลงไปในหม้อ เคี่ยวไฟอ่อนเรื่อยๆ ประมาณชั่วโมงนึง

จนถึงเวลาอาหารเย็น….ดิฉันพบว่า อาหารค่ำคืนนี้มันมีแค่หมูย่าง…แค่หมูย่างจานนี้จริงๆ!!! เพื่อนเอากระปุกผักดองมาวาง พร้อมมันฝรั่งต้ม แล้วพวกเราก็ผลัดกันเวียนจานหมู จานผักดอง ถ้วยซอสเกรวี่ ไม่มีสลัด ไม่มีกับข้าวอย่างอื่น ไม่มีอาหารเคียง! นี่เป็นสิ่งที่ช็อคมากสำหรับคนที่อยู่ญี่ปุ่นมานานสำหรับดิฉัน






เด็กๆ ที่นี่ก็ต้องเอากล่องข้าวไปโรงเรียนเพื่อไปทานตอนกลางวันด้วย ดิฉันเลยดูวิธีการที่เพื่อนสาวทำเบนโตะให้ลูกทาน วิธีทำก็ง่ายมาก เอามายองเนสรสต่างๆ ทาขนมปัง ใส่มันฝรั่งต้มเข้าไป หย่อนองุ่นไป 1 พวง แอ๊ปเปิ้ล 1 ซีก เสร็จ! ส่วนของคุณพ่อ คุณพ่อทำเอง เอาขนมปังมา อยากทาอะไรก็ทาๆ แล้วก็ห่อกระดาษฟรอย แค่นี้ เสร็จ



อันนี้เกตุวดีซื้อกินเอง ตอนแรกมองไม่เห็นว่าอะไรอยู่ใต้สตรอเบอร์รี่ พอลองใช้ส้อมกับมีดหั่น ปรากฏมันคือครีมเบาๆ หอมหวาน เข้ากับสตรอเบอร์รี่ลูกโตหวานอมเปรี้ยว ทาร์ตเคลือบช็อคโกแล็ตกรอบหอมที่อยู่ด้านใต้ เพิ่มความอร่อยด้วยถั่วแมคคาดีเมียอันกรุบกรอบ อื้มมมม… (โปรดสังเกตว่า กินทั้งๆ ที่วางในกล่อง อยากกินมากจนรู้สึกว่าการเอาเค้กมาใส่จานและกินแบบผู้ดีเป็นเรื่องเสียเวลา เด็กดีโปรดอย่าเลียนแบบ)

เค้กสองก้อนนี้ เพื่อนซื้อมา และเราก็กินหมดภายในวันเดียว ฮ่าๆๆ (แบ่งกับคนอื่นนะยะ ไม่ใช่ชั้นกินคนเดียว)
ด้านซ้าย เนื้อเค้กผสมถั่วอัลมอนด์และถั่วนานาชนิด เข้ากับครีมสตรอเบอร์รี่หวานจางๆ อมเปรี้ยว และผลไม้ด้านบน ด้านขวา เป็นเค้กวานิลลากับช้อคโกแล็ต ดิฉันมัวแต่กิน จนลืมถ่ายเค้กตอนที่ตัดวางบนจานตัวเอง มัวแต่ลิ้มรสความอร่อยของเค้กจนขาดสติ ขอโทษจากใจค่ะ
เค้กญี่ปุ่น
ไปอยู่บ้านนี้มา 4 คืน ก็ได้ทานเค้กทุกคืน…ก็ไม่รู้สินะ (โฮะๆๆ)


ตัดใจไม่เขียนคำบรรยาย เพราะอาจมีคุณผู้อ่านหลายคนอยากกระโดดถีบบีบคอดิฉัน
เกตุวดีช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีจริงๆ ค่ะ 🙂
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> Japan Gossip by เกตุวดี Marumura