Eriko Horiki ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านศิลปะและการธุรกิจ กลายเป็นศิลปินผู้ออกแบบและพลิกโฉมวงการกระดาษทำมือของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า “วาชิ” ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
เอริโกะ โฮริกิ คือผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เธอไม่มีความรู้ด้านศิลปะ ไม่มีความรู้ใด ๆ ในการทำธุรกิจ และไม่มีเงินทุนที่จะเปิดบริษัทได้
แต่เธอคนนี้นี่เองที่กลายเป็นศิลปินผู้ออกแบบและพลิกโฉมวงการกระดาษทำมือของญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า “วาชิ” ในการใช้ตกแต่งสถานที่ต่าง ๆ ด้วยวาชิที่อาจมีความยาวถึง 10 เมตร ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
โฮริกิเล่าว่าพอเรียนจบมัธยมปลายก็เข้าทำงานด้านบัญชีที่ธนาคารแห่งหนึ่ง เธอก็ทำไปใช้ชีวิตสนุกไปวัน ๆ
แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันเมื่อมีคนชวนเธอไปทำงานด้านบัญชีที่บริษัทผลิตผลิตภัณฑ์จากวาชิที่จังหวัดฟุกุย ในตอนนั้นเองที่เธอได้สัมผัสถึงการทำวาชิซึ่งถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่สำคัญสืบทอดมาเป็นเวลานานถึง 1500 ปี เธอพบว่ากระบวนการทำวาชินั้นเต็มไปด้วยความซับซ้อนในการดึงเส้นใยจากพืชชนิดพิเศษ และต้องอาศัยความอดทนอย่างมากกว่าจะได้มาซึ่งกระดาษที่มีลวดลายสวยงาม อย่างไรก็ตามเธอได้ทำงานบัญชีอยู่ในบริษัทนั้นเพียงสองปี บริษัทก็ถูกปิดลงเนื่องจากไม่สามารถสู้ราคาที่ถูกกว่าของกระดาษที่ทำจากเครื่องจักรได้
หลังจากที่บริษัทถูกปิดลง เธอก็ตัดสินใจที่จะตั้งบริษัทวาชิด้วยตัวเอง เพราะเธอเห็นว่าหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ในอนาคตอันใกล้วาชิคงจะต้องหายสาบสูญไปจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งก็หมายถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งจะสูญหายไปด้วย เธอจึงตัดสินใจที่จะทำทุกวิถีทางในการรักษาสิ่งมีค่านี้ไว้ เธอได้ไปขอเงินทุนจากบริษัทผู้สนับสนุนและได้ตั้งกลุ่มผลิตวาชิขึ้น โดยในตอนนั้นเธอไม่มีความรู้ใด ๆ ในการทำวาชิเลย และก็ไม่เคยเรียนด้านการออกแบบหรือศิลปะมาจากสถาบันใด ทั้งไม่มีความรู้ด้านธุรกิจ แต่สิ่งเดียวที่เธอมีและมีอย่างมากมายก็คือ “ความปรารถนาอย่างแรงกล้า”
แต่ดั้งเดิมวาชิจะหมายถึงกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่นำมาเป็นเครื่องเขียน กระดาษห่อของ หรือหนังสือ แต่วาชิแผ่นเล็ก ๆ เหล่านั้นสามารถทดแทนได้ง่าย ๆ ด้วยกระดาษที่ผลิตจากเครื่องจักร เธอบอกว่าเธอต้องหาวิธีที่จะทำให้วาชิมีเอกลักษณ์ สามารถตอบโจทย์ในเรื่องการใช้สอยของคนยุคใหม่และเพื่อให้คนคิดว่าสมราคาที่จะต้องจ่าย เธอเริ่มคิดที่จะผลิตวาชิที่มีขนาดใหญ่ ๆ ขึ้นและคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ไม่ว่าจะใช้ประดับตกแต่งผนัง ทางเดิน โคมไฟ ฯลฯ
เธอยังผสมผสานวาชิกับสิ่งของต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมในการใช้งาน เช่น การประกบกระจกกับแผ่นวาชิเพื่อทำทางเดินเพราะการใช้กระจกทำให้วาชิแข็งแรงไม่ขาดและยังคงสามารถเห็นลวดลายของวาชิได้ หลังจากที่ใช้เวลาหลายปีในการเรียนรู้การทำวาชิด้วยตัวเอง เธอยังได้ออกแบบลวดลายใหม่ ๆ โดยเทคนิคพิเศษเฉพาะเช่นการสะบัดน้ำลงบนวาชิทำให้พื้นผิวกระดาษปริออกเป็นวง ๆ ทำให้เกิดลายทางศิลปะที่งดงาม
ด้วยความที่เธอไม่มีประสบการณ์ทั้งในด้านศิลปะและทางธุรกิจ ทำให้เธอต้องต่อสู้อย่างมากมาย และในปีแรกที่ตั้งกลุ่มวาชิขึ้น บริษัทขาดทุนถึง 30 ล้านเยน จนบริษัทที่ให้เงินสนับสนุนเธอเกือบจะบังคับให้เธอล้มเลิกกิจการ แต่เธอก็ยังยืดหยัดเดินหน้าต่อไป เธอเคยรู้สึกท้อแท้และเกือบหมดหวังเพราะคนรอบตัวทุกคนบอกว่าเธอไม่มีทางที่จะเอาดีด้านนี้ได้เพราะเธอไม่เคยเรียนศิลปะ แต่แล้วเธอกลับฮึดสู้อีกครั้งเพราะได้บังเอิญไปเห็นรูปปั้นดินเผารูปหนึ่งที่รูปทรงสวยงามมีอายุกว่า 3,000 ปี รูปปั้นนั้นถูกปั้นโดยคนธรรมดา ๆ ที่ทำงานในไร่น่า เธอจึงเกิดความเชื่อมั่นว่าคนที่ทำงานศิลปะไม่จำเป็นต้องจบจากสถาบันศิลปะไหน แต่ทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองและสามารถสร้างงานศิลปะได้เช่นกัน เธอบอกว่า
ฉันเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ ฉันจึงเดินหน้าต่อไปเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ถึงแม้ว่าจะต้องต่อสู้มากสักเพียงใด แต่ฉันไม่เคยคิดจะยอมแพ้
วาชินั้นทำด้วยมือและมีลวดลายที่สวยงามไม่ซ้ำแบบ วาชิที่ใช้ประดับตกแต่งแผ่นหนึ่งนั้นอาจจะเกิดจากการซ้อนวาชิหลาย ๆ ชั้นที่มีลวดลายไม่ซ้ำกัน เวลาโดนแสงแดดหรือแสงจากหลอดไฟก็จะเห็นลวดลายด้านในที่ไม่เหมือนกันซึ่งจะช่วยเปลี่ยนบรรยากาศให้กับห้องที่ประดับตกแต่งด้วยวาชิ โฮริกิย้ำว่า ศิลปะก็คือธรรมชาติ ซึ่งก็คือการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล อารมณ์ความรู้สึก และความสัมพันธ์ของชีวิต เธอจึงเลือกที่จะออกแบบวาชิให้มีความเป็นธรรมชาติมากกว่าการตั้งใจทำให้สวยงาม เธอบอกว่าการทำวาชิแผ่นใหญ่แผ่นหนึ่ง (โดยปกติจะขนาดถึง 2700 มม x 2100 มม) จะต้องอาศัยคนทำถึงราว 10 คนซึ่งแน่นอนว่ามีปัจจัยมากมายที่ควบคุมไม่ได้เช่น อุณหภูมิ จังหวะการทำลวดลาย ฯลฯ เธอเชื่อว่าการควบคุมได้เพียง 70% ถือเป็นสิ่งที่ดีเพราะอีก 30% ที่เหลือก็คือความมีชีวิตชีวาของศิลปะในรูปแบบเฉพาะของตัวมันเอง
หลาย ๆ คนเคยวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของเธอที่นำวาชิไปใช้กับวัตถุอื่น ๆ เช่น โคมไฟ กระจก อลูมิเนียม ฯลฯ ว่ามันดูไม่ใช่วาชิอีกต่อไป
แต่เธอบอกว่าสำหรับเธอวัฒนธรรมคือสิ่งที่เหมาะสมกับความจำเป็นในการใช้สอยในทุก ๆ วัน นวัตกรรมใหม่ ๆ กับสิ่งดั้งเดิมก็ไม่ใช่ว่าจะต้องสวนทางกันเสมอไป การปรับตัวและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับสิ่งดั้งเดิม (ในที่นี้หมายถึงวาชิ) ต่างหากจึงจะทำให้สิ่งนั้นดำรงอยู่ได้ไปจนถึงอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก : NHK World TV – Booked for Japan Horiki Eriko – Washi Jan 25 2014
ติดตามอ่านเทคนิคการประสบความสำเร็จในหนังสือ “กัมบัตเตะเนะ เพราะความสำเร็จไม่มีทางลัด” ได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำและพูดคุยกับผู้เขียนผ่านเพจ FB: Life Inspired by พิชชารัศมิ์
ทักทายพูดคุยกับพิชชารัศมิ์ ได้ที่ >>> Life Inspired by พิชชารัศมิ์
เรื่องแนะนำ :
– A-Dot Company ปรุงวัตถุดิบที่ไม่สมบูรณ์ให้เป็นอาหารแสนอร่อย
– เรียนรู้ทักษะการทำงานจากซีรีย์ญี่ปุ่น
– การตายของพนักงานบริษัทเดนสึที่เกิดจากการทำงานหนักเกินไป
– ผลิตอะไรให้สิ่งนั้นตอบแทนสังคม
– เทคนิคการปรับความคิดพิชิตสำเร็จตามแนวทางนักปรัชญาญี่ปุ่น Nakamura Tempu
– ธนาคารอาหารญี่ปุ่น เก็บของเหลือเพื่อคนยาก
#eriko horiki