ช่วงเวลาที่เหลือก่อนกลับเมืองไทย เป็นช่วงเส้นชีพจรลงเท้า เดินทางตลอด เพราะมีโจทย์เก่าๆ ตามค่อยเช็คบิลตลอด ทุกอย่างบีบให้ผมกลับเมืองไทย การกลับก็ไม่ง่ายเลย ที่นอนก็ย้ายไปย้ายมา ไม่ต่างกับตอนมาใหม่ๆ เลย
ภาพโดย : อ.วิโรจน์ สายดนตรี
ช่วงที่ผมหยุดเขียนต้นฉบับ เป็นเพราะต้องขอหยุดรักษาตัว เพราะไม่อยากใช้วิธีผ่าตัด อยากพักผ่อนเงียบๆ เพราะผมเชื่อว่ามันสามารถหายเองได้ และก็เป็นจริงครับ ผมพักอยู่ที่เงียบๆ อากาศดีๆ ปัจจุบันเกือบหายสนิทแล้ว เดินได้ตามปกติ อีกนิดคงจะวิ่งเตะบอลได้
ผมขอย้อนเรื่องเล่าถึง “พี่หงษ์” หน่อยนะครับ เธอเป็นจุดเริ่มต้นของผมในประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันเธอเสียชีวิตแล้วเมื่อประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว เธอพยายามจะกลับมารักษาตัวที่เมืองไทยแต่ทุกอย่างก็สายไป งานศพของเธอจัดที่จังหวัดอุทัยธานี ผมไม่ทราบว่าเธอมีลูกกี่คน แต่ที่เมืองไทย ผมรู้จักอยู่คนหนึ่ง ปัจจุบันเรียนหนังสืออยู่ใกล้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
เส้นทางของเธอถือว่าเป็นยอดนักสู้ เริ่มต้นการไปใช้ชีวิตที่ญิ่ปุ่นของเธอผมไม่รู้แน่ชัด อาชีพเธอถ้าเรียกให้ถูกก็แม่เล้านั่นแหละ ผมมองเธอในแง่ดีมาก เธอให้โอกาสคนเยอะมาก คนที่ต้องการมาเสี่ยงโชคที่ญี่ปุ่นแล้วเส้นทางชีวิตมาเจอเธอ ผมว่าโชคดีนะ เธอไม่ค่อยจะเอาเปรียบใครแม้จะสามารถทำได้โดยไม่มีใครรู้ บางทีเธอก็เคยโดนจับ เธอก็ยังใช้วิชามารต่างๆ หลบเลี่ยงได้ทุกครั้ง
รายได้เธอส่วนหนึ่งมาจากค่าใช้จ่ายต่างๆ สำหรับคนที่ต้องการเดินทางมาญี่ปุ่นแล้วไม่มีทุน เธอจะจัดการให้ทั้งหมด แล้วค่อยมาทำงานใช้หนี้ ซึ่งมีหลายครั้ง ที่หนี้ต้องสูญเพราะลูกน้องหนีบ้าง ตายบ้าง ถูกจับบ้าง เธอก็ไม่เคยกลุ้มใจกับเรื่องพวกนี้ เธอถือว่าให้แล้วให้เลยไม่คาดหวังกับสิ่งที่จะได้รับ
บางคนมาถึงทำงานได้เงินก็จะเบิกเงินส่งไปบ้านก่อน ก็เดือดร้อนเธออีกแต่เธอก็ให้ เธอเคยสอนผมว่า คิดจะให้อะไรกับใครอย่าคาดหวังจะได้กลับมา การคาดหวังเป็นทุกข์ที่แสนทรมาน ให้ถือว่าเป็นกรรมเวรที่คงเคยทำกันมาแต่ชาติปางก่อน ยังเล่าให้ฟังต่ออีกว่า งานที่เธอทำทุกวันนี้ก็บาปมากอยู่แล้ว ไม่อยากให้มันเพิ่มเติมขึ้นมาอีก
ใจนักเลง ………………. เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ผมได้ติดตัวมา ผู้อ่านคงจำได้ว่าผมได้รับโอกาสจากเธอ จากการที่ไม่รู้จักกันเลย ผมก่อเรื่องราวต่างๆ หลายครั้ง เธอลงมาแก้ไขให้ทุกครั้งถ้าผมเอ่ยปาก เธอโดนยากูซ่าและตำรวจญี่ปุ่นที่ใช้เธอเป็นตัวทำมาหากินเอาเปรียบตลอดระยะ เวลาที่ใช้ชีวิตที่นั่น แรกๆ เธอก็บอกว่าเกือบไปไม่รอดเหมือนกัน ใช้ความเป็นผู้หญิงนำพาเอาตัวรอดมา ต้องยอมเป็นเมียผู้มีอิทธิพลต่างๆ หลายต่อหลายคน ทาโร่พ่อของไดน่าก็เป็นหนึ่งในนั้น อย่างกรณีของอาเทียร พี่หงษ์เคยเตือนผมหลายครั้งไม่ให้อยู่ใกล้อาเทียรเพราะผมจะเดือดร้อน แต่เธอก็ไม่เคยจะพูดถึงอาเทียรว่าเพราะอะไร น้อยคนนะครับที่จะไม่นินทาคน……………………….. พี่หงษ์เป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะนินทาคนอื่น เรื่องนี้ผมชอบมาก
เคยมีเงินหายในร้านเยอะๆ เธอก็ไม่บ่นอะไรมาก ไม่มีการแจ้งตำรวจหรือเอานักเลงมาทำร้ายใคร เพราะเธอกลัวลูกน้องเธอเดือนร้อนเพราะต้องทำงานกันต่อ เวลามีความทุกข์ก็เก็บไว้ในใจเพียงแต่ผู้เดียว…… แต่เวลามีความสุข ก็เอามาแชร์ให้กับคนอื่น……..
หลังจากผมได้กลับมาเมืองไทย ผมก็ได้พบเจอกับญาติๆ ของเธอ ทุกคนมีความเป็นอยู่สบาย จากเงินทองที่เธอหาและส่งมาให้ งานศพของเธอจัดเงียบๆ ไม่มีพิธีอะไรมากมาย เวลาผมมีโอกาสทำบุญ ก็จะนึกถึงพี่เขาทุกครั้ง เรื่องประวัติแกยังไม่จบนะครับ ผมจะค่อยๆ เล่าแทรกๆ ไป เพราะมีข้อคิดดีๆ เยอะ
เรื่องที่ญี่ปุ่นของผมยังไม่จบ กลับมาคราวนี้ผมตั้งใจมาเขียนให้จบ พอดีที่ผมไปพักฟื้น ไม่มีอินเตอร์เน็ทใช้ เลยต้องหยุดไปก่อน
ช่วงเวลาที่เหลือก่อนกลับเมืองไทย เป็นช่วงเส้นชีพจรลงเท้าครับ เดินทางตลอด เพราะมีโจทย์เก่าๆ ตามค่อยเช็คบิลตลอด ทุกอย่างบีบให้ผมกลับเมืองไทย การกลับก็ไม่ง่ายเลย ที่นอนก็ย้ายไปย้ายมา ไม่ต่างกับตอนมาใหม่ๆ เลย
อ่านญี่ปุ่นในมุมมืดทั้งหมด คลิ๊ก >>> ญี่ปุ่นในมุมมืด