ในงานมีคนประมาณ 100 กว่าคน ไม่ต้องมีบอดี้กาดร์เฝ้าหน้าประตู ไม่ต้องมีบัตรเชิญ เวทีไม่ต้อง มีแค่เครื่องเสียง 1 ชุดพร้อมลำโพง RCA ทองหล่อ ถนนข้าวสารบ้านเราชิดซ้าย เป็นคนไทยก็เดินเข้ามาเลยครับ ไม่ต้องตรวจบัตร มีการจ่ายให้กับยากูซ่าที่ดูแลบริเวณนี้เรียบร้อย
ภาพโดย : อ.วิโรจน์ สายดนตรี
ก่อนอื่นต้องขอโทษเรื่องอายุของอาเทียร ที่เขียนไปว่าอายุมากกว่าไดน่า 3-4 ปี ผมเขียนผิดครับ ช่วงนั้นไดน่าอยุประมาณ 17 ส่วนอาเทียร ประมาณ 27 แต่เธอทั้งสองคนดูด้วยตาเหมือนอายุใกล้เคียงกัน ส่วนผมช่วงนั้นประมาณ 31 ปี
นอกเรื่องอีกนิดเจ้าของเว็บไซค์คงไม่ว่าอะไร ผมอยากแนะนำร้านอาหารหนึ่งในเขตกรุงเทพ เป็นของเพื่อนผมเองครับ รู้จักกันมา 3 ปีกว่า แต่มันมีอะไรมากกว่าเวลา 3 ปี เจ้าของร้านมี 2-3 คน คนหนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนผมชื่อ ม.ม้านำหน้า ช่วยเหลืออะไรหลายๆ อย่างกับผม ทั้งๆ ที่ผมได้สร้างปัญหาหลายๆ อย่างให้กับเขา แปลกดีนะครับ ว่างๆ ชวนเพื่อนๆ ไปทานกันนะครับ ร้านนี้ทานแรกๆ ยังไม่อร่อยเท่าไรล่าสุดผมไปทานมา อร่อยครับลองไปพิสูจน์ดู อย่างน้อยผู้อ่านอาจจะได้เจอกับเจ้าของร้านที่ผมพูดถึง ร้านชื่อส้มตำเมืองทอง พัฒนาการ 53
เอาเรื่องของเรากันต่อ พากันไปถึงพักกันเลยครับ ก็เป็นที่พักรวมๆ สำหรับผู้ใช้แรงงานของหลายบริษัทที่ให้คนงานมาพักรวมกัน นอนกันในตู้คอนเทนเนอร์ หนึ่งตู้ก็ประมาณ 3 คน มีห้องน้ำในตัว ติดแอร์ด้วยครับ ถือว่าสวัสดิการดีมาก ดูจากน้ำดื่ม มีตู้น้ำดื่มให้กับคนงานที่พัก ห้องน้ำก็เป็นสัดส่วน คนงานก็มีหลายสัญชาติ ไทย กัมพูชา ลาว เป็นหลัก
ผมไปถึงที่พักแห่งนั้นช่วงเช้า พี่ๆ ที่พาผมไปก็นอนกันทันที ปล่อยผมนั่งเล่นอยู่กับไดน่าถึงบ่าย พวกเขาก็ทำกับข้าวกินกันเป็นการเลี้ยงเพื่อนใหม่ไปในตัว แบบไทยๆ มีเหล้ากินด้วยคล้ายยาดองบ้านเรา นั่งฟังเรื่องเล่าและประสบการณ์หลายอย่าง ฟังไปฟังมาก็ตื่นเต้น ส่วนใหญ่เส้นทางมาก็จะเหมือนๆ กัน หางานผ่านกระทรวงแรงงาน ผ่านสำนักจัดหางานบ้าง ผ่านการทดสอบฝีมือ หมดเวลาก็ต้องเดินทางกลับ ถ้าผ่านหน่วยงานของรัฐแล้ว ถึงเวลากลับต้องกลับบิดพริ้วยาก แต่ถ้าผ่านสำนักจัดหางานเอกชน มีโอกาสหนีอยู่ทำงานต่อสูง เพราะว่าช่วงเวลาทำทางญี่ปุ่นกำหนดให้ทำงานได้มันจะไม่พอกับการตั้งตัว เพราะจะโดนหักค่านายหน้าเยอะ เจ้าตัวไม่เหลืออะไรกลับบ้าน จำเป็นที่จะต้องดิ้นรนอยู่ต่อ มันก็จะไปเข้าทางยากูซ่าบ้านเขาล่ะครับ อยู่ภายใต้ร่มเงาของยากูซ่า ทำงานต่อได้ เสียค่าหัวคิวนิดหน่อย ตอนจะกลับค่อยว่ากันอีกที ตายเอาดาบหน้า เพื่อลูกเพื่อเมีย อีสานบ้านเฮา ดีกว่ากลับไปรับค่าแรงขั้นต่ำของบ้านเรา อะไรประมาณนั้น
ฟังเรื่องราวเส้นทางของแต่ละคน ไม่มีใครเหมือนเราอยู่ดี ของผมนี่เรียกว่าตายเอาดาบหน้าจริงๆ วันนั้นจบด้วยเมานิดหน่อย ไดน่ามาส่งผมที่ทำงาน ส่วนไดน่าแยกทางกลับบ้านไป หลังจากนั้น ผมก็ไปหาพี่คนงานไทยที่แค้มป์เกือบทุกวันที่เลิกงาน อบอุ่นครับ ถึงแม้พี่ๆ ทุกคนจะมีการศึกษาต่ำกว่าผม แต่หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง เป็นครูผมได้อย่างดี ตำราเรียนไม่ได้อยู่ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเสมอไป
ผมตั้งใจอยากพาพี่ๆ คนงานของผมไปกินดื่มที่ร้านพี่หงษ์สักครั้ง แต่ไปไม่ถูกต้องรอไดน่าให้พาไป ระหว่างนั้นผมก็ได้พบกับปาร์ตี้เต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก มีการเช่าห้องประมาณ 3 ห้องแถวบ้านเรา แล้วบอกกันปากต้องปากว่าจะมีการกินเลี้ยงเฉพาะคนไทยที่มาขายแรงงาน ทั้งถูกกฎหมายและเลยกฎหมายไปแล้ว บรรยากาศเหมือนกับปาร์ตี้ไฮโซ แถว RCA บ้านเรา แต่เพลงจะเป็นเพลงหมอลำซะส่วนใหญ่ มีเหล้ายาอาหารเพียบ เต้นกันระเบิดเทิดเทิง เต้นกันลืมตายเลยล่ะครับ ไอ้ผมไม่ถนัดแนวนี้เลยแต่ก็สนุกไปกับทุกๆ คน
ในงานมีคนประมาณ 100 กว่าคน ไม่ต้องมีบอดี้กาดร์เฝ้าหน้าประตู ไม่ต้องมีบัตรเชิญ เวทีไม่ต้อง ห้องน้ำไม่จำเป็น มีแค่เครื่องเสียง 1 ชุดพร้อมลำโพง RCA ทองหล่อ ถนนข้าวสารบ้านเราชิดซ้าย เป็นคนไทยก็เดินเข้ามาเลยครับ ไม่ต้องตรวจบัตร รองเท้าไม่มีก็เข้าได้ มีการจ่ายเงินให้กับยากูซ่าที่ดูแลบริเวณนี้เรียบร้อย ไม่ต้องกังวลอะไร
งานเริ่มตั้งแต่ 1 ทุ่ม บางคนก็เต้นตั้งแต่ 1 ทุ่มเลย เก้าอี้ไม่ต้อง ท่าเต้นของแต่ละคนก็สุดยอด เลิกเกือบตีสาม ผมว่าคนจัดเก่งมากครับและคงเป็นคนไทยที่มีประสบการณ์ในประเทศญี่ปุ่นมานาน ถึงได้ประสานงานจนสามารถจัดได้ขนาดนี้ ไม่น่ามีกำไรอะไรกันมาก จุดประสงค์น่าจะเป็นการพบปะสังสรรค์กันตามมีตามเกิด แลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อการอยู่รอดและคอยช่วยเหลือกัน ใครใกล้จะได้กลับบ้านก็จะมีคนเดินเข้าไปพูดคุย หรือฝากจดหมายกลับเมืองไทยให้กับญาติพี่น้อง เป็นบรรยากาศที่สนุกปนคราบน้ำตาผมยังแอบน้ำตาไหลหลายครั้ง
ค่ำคืนนั้นต้องรับหน้าที่แบกพี่หลายคนกลับ ส่วนผมส่งทุกคนแล้วก็กลับไปนอนที่บริษัทของนภา เพื่อตอนเช้าต้องทำงานต่อ พี่นภาไม่เคยจู่จี้กับผม แต่แกก็คอยระวัง คงกลัวกว่าผมจะโดนตำรวจจับหรือทำอะไรไม่เข้าท่า งานที่บริษัทของพี่นภาค่อนข้างเยอะ รายได้ของบริษัทแกน่าจะดี ผมสังเกตุจากงานที่มีตลอด
ผมได้โอกาสโทรศัพท์กลับเมืองไทยเป็นครั้ง แรกจากโทรศัพท์ของบริษัท ผมโทรเข้าไปที่บ้าน แม่ผมเป็นคนรับ แม่ถามว่าผมอยู่ที่ไหน ผมตอบไปว่าเชียงใหม่ จบการสนทนาผมร้องไห้ต่อหน้าพนักงานทุกคนในห้องนั้น ทุกคนตกใจส่วนผมได้แต่หันหน้าหลบแล้วขึ้นไปข้างบน จริงแล้วผมเป็นคนบ่อน้ำตาตื้น น้ำตาไหลง่าย แต่สร้างเกราะกำบังตัวเหมือนคนเข้มแข็ง ถึงปัจจุบับผมก็ยังเป็น การโทรกลับบ้านครั้งนั้น ทำให้ผมเริ่มคิดหาวิธีกลับบ้านอย่างจริงจัง เริ่มจากพี่คนงานที่แค้มป์
การกลับเมืองไทยสำหรับคนที่อยู่อย่าง ผิดกฎหมาย มีหลายวิธีอยู่ที่เราจะเชื่อใจใคร แต่ก่อนจะถึงวันนั้นผมก็อยากจะหาเงินให้ได้อีกสักก้อน ช่วงชีวิตที่ดำเนินไปในเวลานั้น ผมละเอียดและระวังตัวมากขึ้น ไม่ก่อเรื่องอะไรง่ายๆ จุดเดือดที่เคยระเบิดง่ายๆ ก็ระเบิดยากขึ้น ยังมีความสุขกับงานที่พี่นภาให้ทำถึงจะรายได้ไม่ดี และยังไม่พลาดกับธุรกิจบัตรพลาสติกเถื่อนต่างๆ ที่รายได้ค่อนข้างดี
ผู้อ่านหลายคนยังคงสงสัยว่าบทความนี้เป็นเรื่องจริง หรือเรื่องแต่งขึ้นมา ผมตอบอีกทีครับ ว่าเป็นรื่องจริง เล่าเรื่องตกหล่นไปบ้าง เหตุการณ์ผ่านไปค่อนข้างนานแล้ว อีกไม่กี่ตอนเรื่องนี้คงจบลง ผมยังอยากเขียนเรื่องประเภทนี้อยู่ถ้ายังมีลมหายใจ เรื่องที่ผมอยากจะเขียน คือเรื่องราวชีวิตก่อนไปญี่ปุ่น และหลังจากกลับจากญี่ปุ่น สลับซับซ้อนหักมุมไม่รู้กี่ที เลี้ยวลดคดเคี้ยวจนผมเองยังงงเอง
ถ้าผู้อ่านท่านใดอยากให้โอกาสผม ติดต่อเจ้าของเว็บมารุมุระนี้นะครับ ผมจะรอแล้วท่านผู้อ่านจะรู้ว่าเจ้าของส้มตำเมืองทองช่วยเหลืออะไรผมซึ่งมี ค่ากว่าเงินหลายล้าน
อ่านญี่ปุ่นในมุมมืดทั้งหมด คลิ๊ก >>> ญี่ปุ่นในมุมมืด