คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (19) อภิปรายท้ายเรื่อง
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ในตอนที่สิบเก้านี้ จะเป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ส์ “บูชิโด” แล้วนะครับ ในตอนนี้ จะเป็นการอภิปรายข้อคิดเห็นต่างๆ ที่มีต่อหนังสือ “บูชิโด” ของ นิโตเบะ อินาโซ ที่ผมได้หยิบยกมาเล่าเป็นตอนๆ จนจบไปแล้วในตอนที่แล้วนะครับ
เรื่องที่ผมอยากจะอภิปรายมีดังนี้
ประการที่หนึ่ง เรื่องที่มีผู้แย้งว่า คำว่า “บูชิโด” นั้น เป็นสิ่งที่ท่านผู้เขียน “เมค” ขึ้นมาใหม่ คือเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นใหม่โดยที่สมัยโบราณไม่ได้มีคำว่า “บูชิโด” ที่หมายถึงชุดของศีลธรรมของซามูไรเลย
คำตอบของผมคือ เป็นเช่นนั้นจริงครับ หากจะเปรียบไป การอินเวนต์คำว่า “บูชิโด” เพื่อใช้เป็นชื่อเรียกรวมของชุดศีลธรรมนั้น อาจเทียบได้กับการสร้างวัฒนธรรมใหม่ “ขันโตกดินเนอร์” ขึ้นมาเพื่อขายนักท่องเที่ยวครับ ถามว่าขันโตกมีมาแต่เดิมไหม มีจริง แต่ไม่ใช่ขันโตกกินแกล้มดูระบำรำฟ้อนแน่ แต่เดิมเขามีไว้เป็นสำรับสำหรับงานแต่ง งานทำบุญขึ้นบ้าน บลาๆ แต่เมื่อเอาองค์ประกอบ (element) ของวัฒนธรรมพื้นบ้านมา “ขาย” ก็ต้องเอาสิ่งที่คิดว่านักท่องเที่ยวมาชอบ เช่นการรำแบบพื้นเมือง ฯลฯ มา “ยำ” รวมกันแล้วทำเป็นแพกเกจออกขาย…
“บูชิโด” ก็เช่นกัน ซึ่งผู้เขียนก็มิได้ปิดปัง โดยกล่าวถึงที่มาที่ไปของศีลข้อนี้ๆ ว่ามาจากไหน จากชินโต ขงจื้อ เม่งจื้อ หรือพุทธศาสนา แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ แล้ว คำสอนที่มีต่อชนชั้นซามูไรนั้น ฐานของมันจริงๆ คือลัทธิขงจื้อครับ โดยเฉพาะในเรื่องความสัมพันธ์แบบมีชนชั้น (พ่อกับลูก นายกับบ่าว เจ้า (นาย) กับข้า (รับใช้)) แล้วจึงเอาองค์ประกอบอื่นๆ จากชินโต จากเม่งจื๊อ จากพุทธศาสนา ใส่เสริมเข้าไป
ทำไมต้องอินเวนต์ชื่อขึ้นมาใหม่?
ความมุ่งหมายของท่านผู้เขียน ก็คือการดีเฟนต์ การสร้างภาพลักษณ์ให้ฝรั่งรับรู้ในเชิงว่า ญี่ปุ่นก็เป็น “ชาติอารยะ” เหมือนกับฝรั่งนะ การเป็นชาติอารยะต้องโชว์ว่า ๑ มีอะไรเหมือนที่ฝรั่งมี และ ๒ ถ้าจะให้ดีต้องใส่ความ “ออริจินัล” เข้าไปด้วย จึงจะดูเจ๋ง ท่านผู้เขียนเลยแก้โจทย์ด้วยการ ๑ สร้างชื่อ “บูชิโด” ขึ้นมาเพื่อจะบอกว่า นี่แหละคือ “ลัทธิอัศวิน” เวอร์ชั่นญี่ปุ่น ๒ และมันเป็น “เวอร์ชั่นญี่ปุ่น” ที่มีเอกลักษณ์ของตัวเองด้วย ถึงจะเอาองค์ประกอบมาจากที่อื่น อย่างขงจื้อ เม่งจื้อ และพุทธศาสนาก็เถอะ แต่ก็เอามาประกอบ ปรุงใหม่ จนกลายเป็น “เอกลักษณ์ของญี่ปุ่น” โดยเฉพาะ (เปรียบเหมือนแกงมัสมั่นซึ่งถึงจะมาจากอาหารแขก แต่ก็ผ่านการปรุงใหม่จนกลายเป็น “อาหารไทย” ไม่ต้องไปนับถึง “ผัดไทย” เลย)
ประการที่สอง “บูชิโด” ยังมีอยู่ไหม?
ถ้าในฐานะ “ซอฟท์พาวเวอร์” ล่ะก็ มีแน่นอนครับ ทั้งในระดับประเทศญี่ปุ่นเอง และในระดับโลก และยังอยู่ยั้งยืนยงมาได้ถึงศตวรรษที่ 21 นี่ซะด้วย
ภาพของ “ซามูไร” นักรบผู้ใช้ “ดาบซามูไร” กลายเป็นภาพจำอย่างหนึ่งของ “วัฒนธรรมญี่ปุ่น” ไปแล้ว และภาพจำอันนี้ ถูกผลิตซ้ำเรื่อยๆ ผ่านภาพยนตร์ ละคร มังงะ อนิเมะ มาจนถึงทุกวันนี้ มากมายเกินคณานับ เหลือที่จะบรรยายได้หมด (ขนาดหุ่นยนต์ในขบวนการห้าสี เวลาจะเผด็จศึก ต้องใช้ “ดาบ” นะ) แม้แต่ทีมฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่น ก็ยังต้องเรียกว่า “ซามูไรบลู” เลยครับ
ดีไซน์ กล่องเสื้อทีมชาติญี่ปุ่น รุ่น KACHIRO ARMOR LIMITED PACK กล่องเสื้อสามารถแปลงร่างเป็นหมวกเกราะซามูไรได้ นี่แหละครับ “ซอฟท์พาวเวอร์” ที่แท้จริง (คือมี “พาวเวอร์” ปลุกใจคนได้ ไม่ใช่ซอฟท์พาวเวอร์โง่ๆ ที่พวกนักการเมืองที่ไม่ได้รู้อะไรเลยได้แต่จำขี้ปากเขามาพูดว่าซอฟท์พาวเวอร์ๆ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร?) (ที่มา marketeeronline)
ทำไมต้อง “ซามูไร”?
เพราะมันเท่ครับ (กินไม่ได้แต่เท่) ความเป็นชายที่มากับความแข็งแกร่ง การใช้อำนาจพลังรุนแรง เมื่อบวกกับคุณธรรมลูกผู้ชายอันอุดมคติแบบ “ฮีโร่” ปราบคนพาล อภิบาลคนดี ซื่อสัตย์ ยึดมั่นในสัจจะ ไม่ท้อถอย กล้าหาญกล้าสู้แม้กับคนที่ตัวใหญ่กว่า แล้ว โอ้โฮ เลยครับ อุดมคติใน “บูชิโด” น่ะ มันก็คือพระเอกในการ์ตูนโชเน็นนี่แหละครับ ไม่ใช่แค่เปลือกของ “ซามูไร” และ “ดาบซามูไร” หรอกครับที่สร้างภาพจำ แต่ “อุดมคติ” ของบูชิโด (การต้องทำตามแบบอย่างศีลธรรมคุณธรรมนั้น) ก็ยังถูกแฝงฝังไปอยู่ในบุคลิกภาพ นิสัย ความคิดอ่านและพฤติการณ์ของ “พระเอก” ในการ์ตูนโชเน็นนั่นแหละ
แต่จริงๆ แล้ว อย่างที่กล่าวไปแล้ว กระบวนการปลูกฝังความคิด ให้เด็กๆ รับรู้ถึง “อุดมคติ” อย่างว่า มันมีมาแต่โบราณแล้วครับ ผ่านนิทาน (อย่างโมโมทาโร่ หรือ อิซซุนโบชิ (เจ้าหนูหนึ่งนิ้ว ตัวแค่นั้นแต่กล้าเอาดาบเข็มไปสู้กับยักษ์)) เรื่องเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ การต่อสู้ของขุนศึกหรือนักดาบ (เช่นเรื่องราวของโนบุนางะ เรื่องมูซาชิประลองกับโคจิโร่) ถูกผลิตผ่านสื่อต่างๆ เรื่องเล่าด้วยปาก ภาพวาด ละคร เรื่อยมา ก่อนจะมีหนังสือ ภาพยนตร์ มังงะ และอนิเมะเสียอีก เพียงแต่สื่อในชั้นหลังนี้ ไม่ได้มีไว้แค่สำหรับคนญี่ปุ่นเท่านั้น แต่มันถูกเผยแผ่ออกไปในระดับโลก! เพราะฉะนั้น ก็ต้องบอกว่า หนังสือ “บูชิโด” นี่แหละ คือ ซอฟท์พาวเวอร์ ยุคบุกเบิก ที่เปิดตลาดให้ฝรั่งรู้จักซามูไรว่าคือ “อัศวินญี่ปุ่น” เป็นการเชิดชูภาพลักษณ์ให้กับประเทศชาติแต่นั้นมา
เรื่อง อิซซุนโบชิ (一寸法師) สู้และขับไล่ยักษ์ไปได้ เป็นเครื่องสอนใจให้เรา “พยายามให้เต็มที่” ณ “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” (ที่มา tokozenji.net)
ถึง “บูชิโด” จะเป็นชื่อที่อินเวนต์ขึ้นมาขายฝรั่ง แต่เนื้อหาข้างใน มันก็คือหลักศีลธรรม คุณธรรม ที่เป็นอุดมคติที่บอกต่อๆ สอนๆ กันมาในสังคมญี่ปุ่นแต่โบราณจริง (แต่การที่ใครจะทำตามอุดมคติได้จริงไหม ได้แค่ไหน ก็อีกเรื่อง)
อิทธิพลของ “บูชิโด” ที่มีต่อวัฒนธรรมร่วมสมัยนั้น เอิ่ม มันมีไปถึงชื่อร้านอาหารเลยนะครับ 555 เพราะฉะนั้น วันนี้ไปนั่งกินข้าวที่ ร้าน Bushido 69 ดีกว่าครับ กรั่กๆๆ
อ่ะ ปักหมุดไว้ก่อน
โอเค เมื่อตอนวันพุธที่ผ่านมาผมก็ได้ลองไปแบบไม่สนฝนหรือฝุ่นพีเอ็มอะไรทั้งนั้น (ฮา) ตอนเย็นๆ ร้านก็มีคนมานั่งกินเรื่อยๆ มีป้าญี่ปุ่นสองคนนั่งกินข้าวกินเบียร์ด้วย แสดงว่าร้านนี้เป็นอะไรที่คนญี่ปุ่นก็ชอบ บรรยากาศร้านก็จัดว่าได้เลย แสงไฟสลัวๆ อารมณ์ย้อนยุคนิดๆ อ่ะ มาดูรูปกัน
ผมนี่โคตรชอบโลโก้ร้านเลยนะงับๆ แหม่ มันเข้ากับซีรีส์นี้จริงๆ นักรบซามูไรใส่เกราะ นี่แหละ “วิถีนักรบ” ล่ะ 555
มีตุ๊กตาซามูไรน้อย อ่ะถ่ายรูปหน่อย
บรรยากาศในร้านดูแล้วได้อารมณ์ดี
มาดูอาหารกันดีกว่า
ได้มาอย่างแรก ข้าวปั้นแซลมอนซอสชีส ฉ่ำๆ (ทำไมสมัยนี้เขาต้องชอบพูดคำว่า ฉ่ำๆ ด้วยวะ 555)
จานที่สองเป็นข้าวปั้นแซลมอนราดซอสเม็นไทโกะ อ่า ไม่ได้กินเม็นไทโกะ มานานแล้วอ้า ก็ดีนะ แต่เค็ม 555 เห็นแบบนี้แล้ว อยากกินสปาเก็ตตี้เม็นไทโกะเลยอ่า ทั้งซอสชีส ซอนเม็นไทโกะ อร่อยจนอยากจะเลียจาน (เฮ้ย)
อันนี้ บีฟโรล ครับ เริ่มมีความเป็นฝรั่งแล้ว กินเนื้อวัว 555 แต่แม้แต่หนังสือ “บูชิโด” เองก็เป็นการนำเสนอความเป็นญี่ปุ่นแก่ฝรั่ง ดังนั้น มันจะมีอะไรที่ผสมผสานกันได้เพื่อความเป็นสากล ก็โอเคหมดแหละครับ
จานสุดท้ายนี้ดีใจมาก ไม่ได้กินนานแล้วทั้งๆ ที่ก็เป็นเมนูที่ทำง๊ายง่ายแต่ในเมืองไทยทำไมคนไม่ค่อยทำขาย “คุชิคัตสึ” (เสียบไม้ชุบแป้งทอด) ครับ ตบท้ายอันนี้เป็นผักชุบแป้งทอด (มีเห็ด หอมใหญ่ มะมื่น เอ๊ย กระเจี๊ยบเขียว แล้วก็อะไรอีกนะ ลืม) มีน้ำจิ้มสองแบบคือน้ำจิ้มมายองเนสกับน้ำจิ้มทงคัตสึ พอเห็นจานนี้ ภาพในอดีตสมัยที่ไปนั่งร้านคุชิคัตสึกับ อาจารย์ชิมาโมโต้แอนด์เดอะแก๊ง (ใครอยากอ่านเรื่องดูรูปคลิกลิงค์เอานะ) ที่ย่านชินเซไค ก็ลอยขึ้นมาในหัวเลย (น้ำตาจิไหล) ร้านนี้ อาหารราคาดีครับทุกจาน 69 บาท ราคานี้เน็ตจริงๆ ไม่มีบวกภาษีหรืออะไรต่างหากนาจา
เครื่องดื่มวันนี้เป็นเบียร์ขวดเล็กหนึ่ง ไวน์แดงหนึ่งแก้ว ดื่มแบบเบาๆ ก่อนกลับบ้าน ครับ
โอเค หลังจากที่ผมกินอิ่มเรียบร้อยไปแล้ว สุดท้าย ก่อนที่ผมจะขอปิดจบซีรี่ส์ “บูชิโด จิตวิญญาณของญี่ปุ่น” นี้ สิ่งที่ผมอยากฝากไว้แก่ท่านผู้อ่านก็คือ
ในเมื่อเราได้เห็นตัวอย่างดีๆ ของการสร้าง “ค่านิยม” ให้ชาวโลกรับรู้ และให้คนในชาติได้ภูมิใจ จากคนญี่ปุ่นแล้ว ทำไม เราคนไทย ไม่ลอง “อินเวนต์” สิ่งนี้ขึ้นมาบ้าง?
ขอผมคิดเล่นๆ นะ สมมุติว่า เราจะสร้างชุดศีลธรรมของไทย อย่างที่ท่านนิโตเบะ อินเวนต์ชื่อ “บูชิโด” ขึ้นมา
ขอตั้งชื่อง่ายๆ เรียกว่า “ความเป็นไทย” (Thainess) ละกัน อันมีคุณธรรมเจ็ดประการ (ไม่แพ้บูชิโด)
- ความมีน้ำใจ (Generousness)
- ความมีใจกว้าง (Broad-mindedness)
- ความเป็นมิตร (Friendliness)
- ความร่วมมือร่วมใจ (Cooperation)
- ความเคารพ (Respect)
- ความกตัญญู (Gratefulness)
- ความรักชาติ (Patriotism)
คุณธรรมทั้งเจ็ดประการนี้ มิได้ตั้งขึ้นมาลอยๆ แยกกัน แต่ล้วนหนุนเนื่องสัมพันธ์กันในแบบสิ่งหนึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งหนุนเนื่องกันไป ดังนี้
เรื่องของความมีน้ำใจนั้นคงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะคนไทย “มีน้ำใจ” ช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ใครมาดีไม่ได้มาร้าย มาจากไหนก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปตามกำลัง ถือพรหมวิหาร ๔ เป็นที่ตั้ง นี่คือ “น้ำใจไทย” น้ำใจของคนไทย ที่คนไทยมีน้ำใจได้ก็เพราะเป็นคน “มีใจกว้าง” คือไม่เอาความแตกต่างของเชื้อชาติเผ่าพันธุ์มาเป็นตัวตั้งในการเลือกปฏิบัติ แม้บางสิ่งเราอาจจะไม่ชอบใจ หรือไม่ได้เห็นดีด้วย แต่ก็มิได้ไปกีดกันทำร้ายให้มันรุนแรงไป (ไม่เหมือนบางสังคม ถ้าไม่ชอบใจนักเพราะมันเป็นนั่นเป็นนี่ที่ขัดกับหลักการที่ตนนับถือ ถึงกับต้องลุกขึ้นมาฆ่าแกงกันเลย) เพราะคนเราถ้าไม่มาร้าย มารังแกรังเกียจกัน เราก็ “เป็นมิตร” กันได้ เรียกเหมือนนับญาติเป็นพี่เป็นน้องกันได้ ให้ความเป็นกันเองไม่มีต้องมาปั้นหน้า รักษาระยะห่างห้ามเข้าใกล้ (เหมือนอย่างในบางสังคมวัฒนธรรม) และบนพื้นฐาน “ความเป็นมิตร” “ความมีน้ำใจ” นี่แหละที่ทำให้คนไทย “ร่วมมือร่วมใจ” เวลามีเหตุการณ์ใดที่คนได้รับความเดือดร้อน ก็จะช่วยเหลือกันคนละเล็กละน้อย คนละไม้ละมือ เท่าที่กำลังตนมี คนไทยให้ “ความเคารพ” ต่อสิ่งที่ให้คุณค่าว่าอยู่สูงกว่าตนเอง พ่อแม่ที่เลี้ยงดู ครูอาจารย์ที่ให้ความคิดความรู้ เรื่อยไปจนถึงสถาบันอังสูงสุดของชาติ เนื่องเพราะมี “ความกตัญญู” รู้คุณ รู้สำนึกขอบคุณในสิ่งที่ดีๆ ที่ได้รับมา และสิ่งที่อยู่สูงสุด ที่สุดของความเคารพและความกตัญญูคือ “ความรักชาติ” รู้คุณค่าของการเป็นชนชาติที่มีประเทศเอกราชเป็นของตนเอง มีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง มีความหวงแหน ไม่ยอมให้ผู้ใดมาลบหลู่ดูหมิ่น เหยียบย่ำทำลาย ซึ่งผืนแผ่นดิน วัฒนธรรมอันดี จนถึงสถาบันทั้งหลายอันเป็นที่รักที่เคารพ ต่อสู้เพื่อให้รู้ไว้ ว่า จะมาลบหลู่ดูหมิ่น เหยียบย่ำทำลายกันไม่ได้
ผมรู้ มันคืออุดมคติ แม้ว่าบางอย่างจะเป็นสิ่งที่คนไทยเรามีกันเป็นกันอยู่แล้วตามธรรมชาติ
แต่การพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้เข้าใกล้อุดมคติ คือสิ่งที่เราควรทำในฐานะมนุษย์ “ผู้มีใจสูง” มิใช่หรือ?
และผมรู้ ที่ผ่านมา มีขบวนการ กลุ่มคน ที่คอยแซะ บ่อนทำลายคุณค่า ค่านิยมเหล่านี้ มาเป็นยี่สิบสามสิบปีแล้ว (ผมกล้าพูด เพราะผมเห็นอะไรพวกนี้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนยังเป็นนักศึกษา) ด้วยวาทกรรมต่างๆ เช่น
“ชนชาติไทยไม่มีจริง” (เพื่อจะได้ทำลายความภาคภูมิใจในชนชาติของตน บ่อนทำลายความรักชาติ ความหวงแหนแผ่นดิน รักถนอมวัฒนธรรมของตน)
“พลเมืองโลก” (เพื่อจะได้ชักจูงให้คนคิดว่า การมีประเทศชาติ สัญชาติ เป็นสิ่งไม่สำคัญ ไม่เห็นความสำคัญของการมีประเทศชาติที่มีเอกราชและอาณาเขตของตนเอง อีกหน่อยบ้านเมืองถูกยึดครองก็คงไม่ยี่หระ เพราะคิดว่าตัวเองจะหอบข้าวหอบของหนีไปอยู่ไหนก็ได้)
“ไม่ได้ขอพ่อแม่ให้มาเกิด” (เพื่อจะได้ไม่ต้องมีความสำนึกขอบคุณ คนเราเมื่อขาดจิตสำนึกขอบคุณต่อสิ่งต่างๆ แล้ว ก็จะกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่เห็นแก่ได้ คิดแต่จะเอาผลประโยชน์ใส่ตัวโดยไม่คิดตอบแทนอะไรให้ใครทั้งนั้น)
ผมขอยกตัวอย่างแต่เพียงเท่านี้ก่อน สิ่งพวกนี้ ผมขอเรียกมันว่า “การรุกรานทางความคิด” เมื่อทำคนให้ “ลดการ์ด” ขาดความคิดที่จะ “ปกป้อง รักษา” แล้ว การจะเข้า “ยึดครอง” ก็จะสำเร็จ สมใจผู้ก่อการ
แล้วจะทำเช่นไรกับการรุกราน จะยอมปล่อยไปตามยถากรรม หรือจะทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งมัน?
สิ่งนี้ผมขอให้ท่านผู้อ่าน ตอบตัวเองให้ได้ ให้แจ้งใจตนเองละกันครับ
จบบริบูรณ์
ขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกทานที่ติดตามกันมาตลอด เนื่องในวันสงกรานต์ วันปีใหม่ของ “ไทย” ผมก็ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ได้สนุกสนาน ผ่อนคลาย ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและคนที่รัก กันให้มากๆ นะครับ เดือนนี้ผมก็อาจจะเขียน “คั่นรายการ” อีกสักสองเรื่อง ก่อนที่จะขึ้น “ซีรี่ส์ใหม่” ต่อไป
ก็ขอลาไปก่อนแต่เพียงเท่านี้ ขอให้สนุกสุขสันต์ในวันสงกรานต์ครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (18) อนาคตของบูชิโด
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (17) บูชิโดไม่มีวันตาย
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (16) บูชิโดสร้างชาติ
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (15) ผู้หญิงกับบูชิโด
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (14) ดาบซามูไร จิตวิญญาณแห่งซามูไร
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (19) อภิปรายท้ายเรื่อง