คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (15) ผู้หญิงกับบูชิโด
สวัสดีครับ เข้าใกล้ช่วงท้ายๆ ของหนังสือ “บูชิโด” กันแล้วครับ มาว่ากันด้วยเรื่องของ “ผู้หญิงกับบูชิโด” กันดีกว่าครับ ไปเล้ย
ผู้หญิงครึ่งหนึ่งของสายพันธุ์ของเราบางครั้งถูกเรียกว่าตัวอย่างชั้นดีของความขัดแย้งกันเอง เนื่องจากการทำงานของจิตใจของผู้หญิงโดยสัญชาตญาณนั้นอยู่นอกเหนือ “ความเข้าใจเชิงเลขคณิต” ของผู้ชาย ตัวอักษรจีนคำว่า “ลี้ลับ” “ไม่อาจรู้ได้” (ตัวอักษร 妙 เมียว) ประกอบด้วยสองส่วน ส่วนหนึ่งหมายถึง “เยาว์วัย” (少 โช) และอีกส่วนหนึ่งหมายถึง “ผู้หญิง” (女 โจะ) เพราะเสน่ห์ทางกายและความคิดอันละเอียดอ่อนของสตรีเพศนั้น อยู่เหนือความสามารถทางจิตที่หยาบกระด้างของเพศเรา (คือเพศชาย) ที่จะอธิบาย
อย่างไรก็ตาม ในอุดมคติของผู้หญิงตามบูชิโด มีความลึกลับเพียงเล็กน้อยและมีเพียงความขัดแย้งกันเองที่ดูเหมือนจะมีเท่านั้น ข้าพเจ้าเคยกล่าวว่ามันเป็นลักษณะอย่างชาวอเมซอน แต่นั่นเป็นเพียงความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ตามอุดมคติแล้ว ชาวจีนแทนตัว (คำว่า) ภรรยา (婦 ฟุ) ด้วย (รูปอักษร) ผู้หญิง (女 โจะ) ถือไม้กวาด (帚 โซ) แน่นอนว่าไม่ได้จะกวัดแกว่งมันเพื่อรุกรานหรือป้องกันตัวต่อคู่ครองของหล่อน ไม่ใช่เพื่อร่ายเวทมนตร์อย่างแม่มด แต่เพื่อการใช้งานที่ไม่เป็นอันตรายซึ่งไม้ไม้กวาดถูกประดิษฐ์ขึ้นในตอนแรก แนวคิดที่เกี่ยวข้องจึงไม่ได้บ้านๆ น้อยไปกว่ารากศัพท์ของคำว่าภรรยา (wife) ในภาษาอังกฤษ (weaver “คนทอผ้า”) กับคำว่าลูกสาว (daugther) (duhitar หญิงรีดนมวัว) โดยไม่ได้จำกัดขอบเขตกิจกรรมของผู้หญิงไว้ที่ Küche (ครัว) Kirche (โบสถ์) Kinder (เด็กๆ) อยางที่พระเจ้าไกเซอร์ของเยอรมันองค์ปัจจุบันทำ อุดมคติของบูชิโดในเรื่องความเป็นผู้หญิงนั้นดีเด่นในด้านการบ้านการเรือน ความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะมีเหล่านี้ คือความเป็นแม่เรือนกับความเป็นชาวอะเมซอนนั้น ไม่สอดคล้องกับศีลของอัศวินดังที่เราจะได้เห็นกัน
บูชิโดเป็นคำสอนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพศชายเป็นหลัก คุณธรรมที่ได้รับการให้ราคาในผู้หญิงนั้น โดยธรรมชาติแล้ว ห่างไกลจากความเป็นหญิงอย่างชัดเจน วิงเคิลมันน์ (Johann Joachim Winckelmann นักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวเยอรมัน) ตั้งข้อสังเกตว่า “ความงดงามสูงสุดของศิลปะกรีกนั้นค่อนข้างเป็นชายมากกว่าเป็นหญิง” และเลคคี (William Edward Hartpole Lecky นักประวัติศาสตร์ชาวไอร์แลนด์) เสริมว่านี่เป็นเรื่องจริงในแนวความคิดทางศีลธรรมของชาวกรีกเช่นเดียวกับในงานศิลปะของพวกเขา บูชิโดนั้นในทำนองเดียวกันยกย่องหญิงเหล่านั้น “ผู้ซึ่งปลดปล่อยตัวเองจากความแบบบางของเพศตนและแสดงความทรหดอดทนเยี่ยงวีรชน อันมีค่าคู่ควรกับชายที่แข็งแกร่งที่สุดและกล้าหาญที่สุด”
ดังนั้น เด็กผู้หญิงจึงได้รับการฝึกฝนให้ข่มกลั้นความรู้สึกของตน ทำประสาทของตนให้ด้าน ให้จับต้องอาวุธ โดยเฉพาะดาบด้ามยาวที่เรียกว่านากินาตะ (薙刀 “ง้าว”) เพื่อให้สามารถถืออาวุธของตนเองต่อกรกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิดได้ แต่แรงจูงใจหลักในการฝึกฝนคุณลักษณะการต่อสู้นี้ ไม่ได้มีไว้สำหรับใช้ในสนามรบ มันมีสองชั้น คือส่วนตัวและบ้านเรือน ผู้หญิงที่ไม่มีนายเหนือหัวของตัวเอง ได้ก่อตั้งคนคุ้มกันของหล่อนขึ้นมาเอง ด้วยอาวุธของหล่อน หล่อนปกป้องความสะอาดบริสุทธิ์ส่วนตัวของหล่อนด้วยความกระตือรือร้นพอๆ กับที่สามีของหล่อนทำต่อเจ้านายของเขา ประโยชน์ในบ้านเรือนการฝึกทำสงครามของหล่อน อยู่ที่การศึกษาของบรรดาลูกชายของหล่อน ดังที่เราจะได้เห็นในภายหลัง
เกิดเป็นคนในบ้านซามูไร แม้แต่ผู้หญิงก็ต้อง สตรอง นะ
ภาพวาด “อิชิโจ” เมียของ โอโบชิ โยชิโอะ หนึ่งใน 47 โรนิน(ที่มา wikipedia)
การฟันดาบและการออกกำลังกายที่คล้ายกัน หากไม่ค่อยได้นำไปใช้จริง จะช่วยถ่วงดุลนิสัยการนั่งๆ นอนๆ อยู่กับที่ของผู้หญิงได้อย่างดี แต่การออกกำลังกายเหล่านี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อสุขอนามัยเท่านั้น มันอาจนำมาใช้ได้ในเวลาที่ต้องการ เด็กผู้หญิง เมื่อเข้าสู่วัยสาว จะได้รับมอบกริช (懐剣 ไคเค็น แปลตรงตัวคือ “ดาบในอกเสื้อ”) ซึ่งอาจจะพุ่งตรงไปยังอกของผู้ทำร้าย หรือหากสมควร ก็ไปที่อกของหล่อนเอง อย่างหลังนี้มักเป็นเช่นนั้นบ่อย แต่กระนั้นข้าพเจ้าจะไม่ตัดสินพวกหล่อนอย่างรุนแรง แม้แต่มโนธรรมของคริสเตียนซึ่งสยองต่อการดิ่งพสุธาพลีชีพตน ก็ยังมิได้เกรี้ยวกราดกับพวกหล่อนเมื่อเห็น Pelagia (Saint Pelagia of Antioch โดดลงมาจากบนบ้านตกลงมาตายในยุคจักรพรรดิดิออเกลติอานุสของโรมัน) และ Domnina (Saint Domnina กับลูกสาวสองคน Berenice และ Prosdoce โดดลงน้ำตายด้วยกันเพื่อให้พ้นจากการโดนทหารโรมันข่มขืน)
การฆ่าตัวตายทั้งสอง ได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญสำหรับความบริสุทธิ์และความศรัทธาแก่กล้า เมื่อสาวพรหมจรรย์ชาวญี่ปุ่นเห็นว่าพรหมจรรย์ของหล่อนถูกคุกคาม หล่อนจึงไม่รอมีดสั้นของพ่อหล่อน อาวุธของหล่อนเองวางอยู่ในอกของหล่อนเสมอ เป็นเรื่องน่าอับอายสำหรับหล่อนที่ไม่ทราบวิธีที่เหมาะสมที่หล่อนต้องทำลายตนเอง ตัวอย่างเช่น แม้หล่อนได้รับการสอนวิชากายวิภาคศาสตร์เพียงเล็กน้อย หล่อนต้องรู้จุดที่แน่นอนที่จะเชือดคอ หล่อนต้องรู้วิธีผูกแขนขาท่อนล่างด้วยเข็มขัด เพื่อว่าแม้ความตายของหล่อนจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม ศพของหล่อนจะต้องถูกพบในสภาพเรียบร้อยที่สุด มีแขนขาที่วางอยู่อย่างเรียบร้อย คำเตือนเช่นนี้ไม่คู่ควรกับ Christian Perpetua (Vibia Perpetua มรณสักขีผู้ถูกประหารโดยให้วัวขวิดในสนามตามธรรมเนียมโรมัน) หรือ Vestal Cornelia (นาง Cornelia หญิงพรหมจรรย์แห่งวิหารเทพีเวสต้า ผู้ถูกฝังทั้งเป็นเพราะถูกตัดสินว่าละเมิดคำสาบานว่าจะรักษาพรหมจรรย์) หรือ?
ข้าพเจ้าจะไม่ซักถามอย่างกะทันหันเช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะความเข้าใจผิดๆ เนื่องมาจากธรรมเนียมการอาบน้ำของเราและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ว่า พรหมจรรย์ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่พวกเรา ตรงกันข้าม พรหมจรรย์เป็นคุณธรรมอันเหนืออื่นใดของหญิงซามูไร อยู่เหนือกว่าชีวิต หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งถูกจับเข้ากุมคุมขัง และเห็นว่าตัวเองตกอยู่ในอันตรายจากความรุนแรงด้วยน้ำมือของกลุ่มทหารที่หยาบช้า กล่าวว่าหล่อนจะยอมตามความสุขของพวกเขา หากหล่อนได้รับอนุญาตให้เขียนข้อความถึงพี่สาวน้องสาวของหล่อน ซึ่งสงครามได้พัดพาไปทุกทิศทุกทาง เสียก่อน เมื่อจดหมายฉบับนี้เขียนเสร็จ หล่อนก็วิ่งไปยังบ่อน้ำที่ใกล้ที่สุดและรักษาเกียรติยศของหล่อนด้วยการโดดน้ำตาย
ภาพมรณสักขี Perpetua, Felicitas, Revocatus, Saturninus และ Secundulus (ที่มา wikipedia)
เกิดเป็นหญิง ซามูไร ใจต้องเด็ด
ไคเค็น (懐剣) นั้น ทุกวันนี้ก็ยังเป็นหนึ่งในเครื่องประดับที่มีไว้ในชุดกิโมโนวันแต่งงานของสตรีญี่ปุ่น ถ้าใครสนใจอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ ครับ (ช่วย บก. ปั่นยอดวิวหน่อย 555)
มันไม่ยุติธรรมเลยที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเพียงความเป็นชายเท่านั้น ที่เป็นอุดมคติสูงสุดสำหรับผู้หญิง ห่างไกลจากนั้นมาก! ความสำเร็จและความนิ่มนวลสุภาพของชีวิตเป็นสิ่งที่พวกหล่อนต้องมี ดนตรี การเต้นรำ และวรรณกรรมไม่ถูกละเลย บทกลอนที่ดีที่สุดในวรรณกรรมของเราเป็นการแสดงออกถึงอารมณ์อ่อนไหวอย่างผู้หญิง ที่จริงแล้ว ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของวรรณวิจิตร (belles-lettres) ของญี่ปุ่น มีการสอนการเต้นรำ (ฉันกำลังพูดถึงหญิงซามูไร ไม่ใช่เกอิชา) เพียงเพื่อทำให้เหลี่ยมมุมของการเคลื่อนไหวของพวกหล่อนราบรื่นขึ้น ดนตรีเป็นการให้ความเพลินเพลินซึ่งชั่วโมงอันเหนื่อยล้าของบิดาและสามี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เพื่อเทคนิค หรือศิลปะ ที่เรียนดนตรี เพราะเป้าหมายสูงสุดคือการชำระจิตใจให้สะอาด เนื่องจากว่ากันว่าความกลมกลืนของเสียงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากหัวใจของผู้เล่นไม่กลมกลืนกับตนเอง
อีกครั้งที่เราเห็นแนวคิดเดียวกันนี้ซึ่งเราสังเกตเห็นในการอบรมเยาวชน ที่ว่าความสำเร็จเป็นไปเพื่อรับใช้คุณค่าทางศีลธรรม ดนตรีและการเต้นรำนั้น เอาที่เพียงพอจะเพิ่มความนิ่มนวลและความสดใสให้กับชีวิต แต่ไม่เคยส่งเสริมความไร้สาระและความฟุ่มเฟือย ข้าพเจ้าเห็นใจเจ้าชายเปอร์เซีย ซึ่งเมื่อถูกพาเข้าไปในห้องเต้นรำในลอนดอนและขอให้ร่วมสนุกสนานรื่นเริง ทรงตรัสออกความเห็นอย่างขวานผ่าซากว่า ในประเทศของพระองค์ พวกเขาจัดหาเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมาทำกิจอย่างนั้นให้พวกเขา
ความสำเร็จของผู้หญิงของพวกเราไม่ได้มาจากการแสดงหรือการขึ้นมามีหน้าตาในสังคม พวกหล่อนเป็นนันทนาการในบ้าน และหากพวกหล่อนเฉิดฉายในงานสังคม นั่นเป็นลักษณะของเจ้าภาพหญิง หรืออีกนัยหนึ่งคือ เป็นส่วนหนึ่งของอุบายในครัวเรือนเพื่อต้อนรับขับสู้ ความอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนชี้นำการศึกษาของพวกหล่อน อาจกล่าวได้ว่าความสำเร็จของสตรีในญี่ปุ่นยุคเก่า ไม่ว่าจะเป็นด้านการต่อสู้หรือด้านรักสงบ ล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อบ้านเป็นหลัก และไม่ว่าพวกหล่อนจะเดินไปไกลแค่ไหน พวกหล่อนก็ไม่เคยละสายตาจากเตาที่เป็นศูนย์กลาง เพื่อรักษาเกียรติและบูรณภาพของบ้าน ที่พวกเขายอมรับใช้ ทำงานหนักและมอบชีวิตให้ ทั้งกลางวันและกลางคืน พวกหล่อนร้องเพลงให้รังน้อยของพวกหล่อนฟัง ด้วยเสียงที่หนักแน่นและอ่อนโยน กล้าหาญและโศกเศร้า ในฐานะลูกสาว ผู้หญิงเสียสละตัวเองเพื่อพ่อ ในฐานะภรรยาเพื่อสามี และในฐานะแม่เพื่อลูกชาย
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่เยาว์วัยหล่อนจึงถูกสอนให้ปฏิเสธตัวเอง ชีวิตของหล่อนไม่ใช่ชีวิตอิสระ แต่เป็นการรับใช้พึ่งพา เป็นผู้ช่วยของผู้ชาย หากการปรากฏตัวของหล่อนเป็นประโยชน์ หล่อนก็จะอยู่บนเวทีกับเขา ถ้ามันขัดขวางงานของเขา หล่อนก็ออกมาอยู่หลังม่าน บ่อยครั้งที่คนหนุ่มจะหลงใหลในหญิงสาวที่ตอบแทนความรักของเขาด้วยความเร่าร้อนเท่าๆ กัน แต่เมื่อหล่อนรู้ว่าการที่เขาสนใจหล่อนทำให้เขาลืมหน้าที่ของตน หล่อนก็ทำให้ตัวหล่อนเสียโฉมเพื่อที่ความหลงใหลในตัวหล่อนจะได้สิ้นสุดลง อัดซูมะ ภรรยาในอุดมคติของหญิงซามูไร พบว่าตัวเองเป็นที่รักของผู้ชายที่คิดร้ายต่อสามีของหล่อน เพื่อที่จะได้รับความรักจากหล่อน เมื่อแสร้งทำเป็นว่าเข้าร่วมในแผนการที่มีความผิด หล่อนจัดการเข้ามาแทนที่สามีของหล่อนในความมืด และดาบของนักฆ่าชู้รักก็ลงมาบนศีรษะที่อุทิศตนของหล่อนเอง
เกิดเป็นหญิง ซามูไร ใจต้องเด็ด…จริงๆ นะครับ แต่ข้อเรียกร้องต่างๆ นี้ มันเป็นเพราะ “ชนชั้น” ความที่เกิดมาในตระกูลซามูไร นี่แหละครับ ที่ทำให้ต้องมี บทบาทหน้าที่อย่างนั้น
เอาจริงๆ พอผมอ่านและเขียนมาถึงตรงนี้ บอกตรงๆ ถ้าพวกเฟมินิสต์ เฟมทวิต มาอ่าน ก็คงไม่พ้นถูกหยิบจับมาเป็นประเด็นให้วิจารณ์ ด่าทอ ภายใต้วาทกรรม “ชายเป็นใหญ่” ที่แฝงนัยยะของความชิงชังและคิดแต่จะทำทาย ล้มล้าง คนพวกนี้ ในสายตาของผมแล้วนับว่าสกปรกและขี้ขลาดมาก พวกเขาอยากทำลาย อยากล้างแค้นเอาคืน (retaliate) เพศชาย (ตามประสาของคนที่คิดว่า “ตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ” แล้วจะทำอะไรก็ได้?) แต่พยายามใส่หน้ากากพูดว่า ที่ทำไปก็เพื่อต้องการ “ความเท่าเทียม” ทั้งยังพยายามใช้วาทกรรม “หาแนวร่วม” จำพวกว่า “ลัทธิชายเป็นใหญ่ไม่ได้กดทับแต่ผู้หญิงนะ แต่กดทับผู้ชายด้วยเหมือนกัน” บลาๆ เพื่อหาพวกมาสนับสนุน (ใครที่ไม่รู้เท่าทันก็เชื่อตามไป กลายเป็นมือตีนให้ขบวนการพวกนี้ไป) ถ้าอยากจะเป็นศัตรูนัก ทำไมไม่มีความกล้าให้มากกว่านี้? นั่นก็เพราะรู้ตัวว่า หากลุกขึ้นมาเล่นกันตรงๆ แล้วจะต้องเผชิญกับการโต้ตอบอย่างหนักใช่ไหม? จึงต้องคอยแซะ บั่นทอนไปเรื่อยๆ ผ่านการพยายามเผยแพร่แนวคิด เอาจริงๆ ไอ้ขบวนการพวกนี้ มันไม่ได้เพิ่งมี มันมีมาได้นานพอใช้แล้วในหมู่ฝรั่งอเมริกัน อย่างน้อยก็ในสมัยที่ท่านผู้เขียนได้เขียนหนังสือนี้ ซึ่งท่านผู้เขียนก็ได้ตอบโต้ดังนี้
ผู้อ่านของข้าพเจ้าคงจะไม่กล่าวโทษข้าพเจ้าว่ามีอคติเกินควรในการสนับสนุนการยอมจำนนอย่างทาสอันเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง ข้าพเจ้ายอมรับในขอบเขตกว้างทัศนะที่ก้าวหน้าด้วยการเรียนรู้อย่างกว้างและได้รับการป้องกันด้วยความคิดอันลึกซึ้งโดยเฮเกล ว่าประวัติศาสตร์คือการคลี่คลายและการทำให้เป็นจริงซึ่งอิสรภาพ ประเด็นที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะกล่าวถึงก็คือ คำสอนทั้งมวลของบูชิโดนั้นเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละตนเองอย่างถ้วนทั่ว ถึงขนาดที่ไม่เพียงแต่เรียกร้องจากผู้หญิงเท่านั้น แต่จากผู้ชายด้วย ดังนั้น จนกว่าอิทธิพลของศีลเหล่านี้จะหมดสิ้นไป สังคมของเราจะไม่ทำให้เป็นจริงซึ่งมุมมองที่แสดงออกมาอย่างหุนหันพลันแล่นโดยผู้สนับสนุนสิทธิสตรีชาวอเมริกันผู้หนึ่ง ซึ่งร้องตะโกนว่า “ขอให้ธิดาของญี่ปุ่นทุกคนลุกฮือต่อต้านประเพณีโบราณ!”
การก่อจลาจลเช่นนี้จะสำเร็จได้หรือ? จะทำให้สถานะผู้หญิงดีขึ้นได้หรือ? สิทธิทั้งหลายที่พวกเขาจะได้รับจากกระบวนการรวบรัดเยี่ยงนี้ จะชดใช้การสูญเสียอุปนิสัยอันอ่อนหวาน มารยาทอันอ่อนโยน ซึ่งเป็นมรดกในปัจจุบันของพวกหล่อนได้หรือ? มิใช่การสูญเสียความอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนในส่วนของแม่บ้านชาวโรมัน ซึ่งตามมาด้วยความเสื่อมทรามทางศีลธรรมนั้น หยาบเกินกว่ากล่าวถึงหรอกหรือ? นักปฏิรูปชาวอเมริกันสามารถรับรองกับเราได้หรือไม่ ว่าการก่อกบฏของลูกสาวของเราเป็นหนทางที่แท้จริงสำหรับการพัฒนาประวัติศาสตร์ของพวกหล่อน? นี่เป็นคำถามที่เอาเป็นเอาตาย การเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้นและจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีการปฏิวัติ! ในระหว่างนี้ เรามาดูกันว่าสถานะของสตรีเพศภายใต้กฎเกณฑ์ของของบูชิโดนั้นเลวร้ายมากจนเป็นเหตุสมควรให้ต้องปฏิวัติได้หรือไม่
ผมอ่านถึงท่อนนี้อดขำไม่ได้เลยนะเนี่ย หนังสือเล่มนี้เขียนในตอนต้นศตวรรษที่ยี่สิบ ตอนนี้เราอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว แต่ “วิธีการ” และ “ท่าที” ของพวกเฟมินิสต์ เฟมทวิต พวกเรียกร้องสิทธิสตรี ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้เวลาจะผ่านไปร้อยปี! ไอ้ที่คิดว่า ต้องเรียกร้องด้วยกิริยาวาจาเกรี้ยวกราด กรีดร้อง (คิดว่าคนจะได้หันมาสนใจ หันมาฟัง) คนเราไม่มีวันสร้างความดีขึ้นจากความเลว ได้หรอกครับ จะทำสังคมให้มันดี ให้มันสงบสุข เท่าเทียม อย่างที่ฝันนักหนา ได้ยังไง ในเมื่อใจตนยังเต็มไปด้วยอคติ โดยเฉพาะโทสะ (ความโกรธ) กับโมหะ (ความหลง) ช่างน่าขบขันปนสมเพช ที่ทำตัวเองให้ดีขึ้นยังไม่ได้ (แค่ความสงบศานติในจิตตัวเองยังทำให้มีไม่ได้ เร่าร้อนๆ ไฟโทสะอยู่นี่) แต่อวดอ้างว่ากำลังกระทำเพื่อให้สังคมดี
แต่ผมคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากไปอีก เพราะท่านผู้เขียนกำลังจะพูดให้ผมแล้ว…
เมื่อเราคิดว่าคนเรามีความเท่าเทียมกันน้อยด้านเพียงใดในหมู่เดียวกัน เช่น ต่อหน้าศาลยุติธรรมหรือการเลือกตั้งลงคะแนน ดูเหมือนไม่ได้สร้างปัญหาให้พวกเรากับการอภิปรายเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศ เมื่อคำประกาศอิสรภาพแห่งสหรัฐ กล่าวว่าคนเราทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกัน ข้อนี้มิได้หมายถึงพรสวรรค์ทางจิตใจหรือทางกายภาพของพวกเขา แต่เป็นเพียงแค่การย้ำสิ่งที่ Ulpian (นักกฎหมายชาวโรมัน) ประกาศเมื่อนานมาแล้ว ว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันก่อนที่กฎหมายจะมีขึ้น สิทธิต่างๆ ทางกฎหมายในกรณีนี้คือมาตรวัดความเท่าเทียมกัน
หากกฎหมายเป็นเพียงมาตรวัดอันเดียวในการวัดสถานะของผู้หญิงในชุมชน มันก็ง่ายพอๆ กับการบอกว่าหล่อนยืนอยู่จุดไหนพอๆ กับการชั่งน้ำหนักเป็นปอนด์และออนซ์ แต่คำถามคือ มีมาตรฐานที่ถูกต้องในการเปรียบเทียบสถานะทางสังคมเขิงสัมพัทธ์ของเพศหรือไม่? มันถูกต้องแล้วหรือ เพียงพอแล้วหรือที่จะเปรียบเทียบสถานภาพของสตรีกับบุรุษ ราวกับค่าของเงินเทียบได้กับค่าของทองคำ แล้วให้อัตราส่วนเป็นตัวเลข? วิธีการคำนวณเยี่ยงนี้มิได้คำนึงถึงคุณค่าที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์ครอบครอง กล่าวคือ สิ่งที่อยู่ภายใน เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ต้องทำที่หลากหลายนานัปการในการทำให้แต่ละเพศยังให้สำเร็จซึ่งภารกิจทางโลก มาตรฐานที่จะนำมาใช้ในการวัดตำแหน่งสัมพัทธ์จะต้องมีลักษณะประกอบกัน หรือจะยืมคำจากภาษาเศรษฐศาสตร์ มันต้องมีมากกว่าหนึ่งมาตรฐาน
บูชิโดมีมาตรฐานของตัวเองและเป็นทวินาม มันพยายามจะวัดคุณค่าของผู้หญิงในสนามรบและข้างเตาไฟ ที่นั่นหล่อนนับค่าได้น้อยมาก ที่นี่สำหรับทุกคน การปฏิบัติต่อหล่อนสอดคล้องกับมาตรวัดสองอย่างนี้ ในฐานะหน่วยทางสังคมและการเมืองไม่ได้รับ (ความนับถือ) มากนัก ในขณะที่ในฐานะภรรยาและมารดา หล่อนได้รับความนับถือสูงสุดและความรักใคร่อย่างสุดซึ้ง ทำไมในหมู่ชาวโรมันที่เป็นชาติทหาร มารดาของพวกเขาจึงได้รับความเคารพอย่างสูง? ไม่ใช่เพราะพวกหล่อนเป็น แม่บ้าน เป็นแม่หรอกหรือ? ไม่ใช่ในฐานะนักสู้หรือผู้บัญญัติกฎหมาย แต่ในฐานะมารดา ที่ผู้ชายคำนับต่อหน้าพวกหล่อน
ดังนั้นกับพวกเรา ในขณะที่พ่อและสามีไม่อยู่บ้านไปสนามรบหรือเข้าค่าย การปกครองของครัวเรือนก็ตกอยู่ภายใต้มือของแม่และภรรยาโดยสิ้นเชิง พวกหล่อนได้รับความไว้วางใจให้การศึกษา แม้กระทั่งการปกป้อง แก่เยาวชน การฝึกหัดอย่างสงครามของผู้หญิงที่ข้าพเจ้าได้พูดถึงไปนั้น มีจุดประสงค์หลักเพื่อให้พวกหล่อนสามารถกำหนดทิศทางและติดตามการศึกษาของลูกๆ ของตนได้อย่างชาญฉลาด
คนเราทุกคน จะชายหรือหญิง ล้วนถูกแบ่งสรรหน้าที่ ตามแต่ว่าปัจจัยเอื้ออำนวยหรือไม่ ตั้งแต่โบราณกาลแล้วก่อนคนจะสร้างบ้านแปงเมืองเสียอีก ฉะนั้นคุณค่าของคนจะชายหรือหญิงอยู่ที่ว่า ได้ทำหน้าที่ของตน ดีแล้วหรือยัง? คนเราไม่มีใครเท่ากันหรอก “นิ้วมือมันยังไม่เท่ากันเลย” ขอเพียงทำหน้าที่ให้ดี แล้วยังจะ เอาอะไรอีก? ที่จริง ไอ้กระบวนการเรียกร้องสิทธิสตรีเนี่ย มันเป็นผลพวงจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ๑ สงครามโลก ๑ การปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เกิดอาชีพใหม่คืออาชีพคนงาน ทำให้เกิดการย้ายถิ่นฐาน คนไปกระจุกตัวในเมืองใหญ่ รูปแบบการผลิตเดิมๆ แบบเกษตรกรรมลดทอนความสำคัญไป ครอบครัวเปลี่ยนจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยว สงครามทำให้แรงงานชายขาดแคลน ก็ต้องเอาผู้หญิงมาเป็นแรงงาน
ฉะนั้น เมื่อบทบาทหน้าที่เปลี่ยนไป การจะต้องการได้รับค่าตอบแทนที่สมกับบทบาทหน้าที่ หรือสวัสดิการที่เหมาะสม ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุผลและเข้าใจได้ (คนเราทำงานก็ได้ค่าตอบแทน) แต่นั่นมันเป็นในฐานะ “แรงงาน” ซึ่งไม่ควรจะเอาเรื่อง “เพศชายเพศหญิง” มาชูเป็นประเด็นให้เกลียดชังกันไปเปล่าๆ เลย เพราะพอยกเอา “เพศชายเพศหญิง” มาเป็นประเด็น ขีดแบ่งแยกพวก ก็เริ่มเลอะเทอะ บอกว่าผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชายต้องทำทุกอย่างได้อย่างที่ผู้ชายทำ กินเหล้าดูดบุหรี่ พอมาถึงตอนนี้ยิ่งทุเรศหยาบคาย ผลิต hate speech จำพวก men are trash ชายเป็นใหญ่ ราวกับจะลุกขึ้นมาล้มล้างผู้ชายให้หมด “ให้มันมาอยู่ใต้ตีนผู้หญิงแทน” คิดว่าทำแบบนี้แล้ว มันจะได้อะไรขึ้นมา? แต่อย่างน้อยที่สุดคนที่เป็นต้นคิดในการแพร่ความคิดแบบนี้ ไม่ได้มีความปรารถนาดีต่อสังคมส่วนรวมและโลกแน่ๆ เพราะคนที่ปรารถนาดีต่อสังคมย่อมไม่เห็นดีกับการสร้างความขัดแย้งหรือเกลียดชังแบ่งแยกกันในสังคมแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คุณธรรมและคำสอนอันเป็นเอกลักษณ์ในศีลแห่งอัศวินไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้นทหารเท่านั้น ทำให้เราต้องรีบเร่งพิจารณาถึง อิทธิพลของบูชิโด ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม
เอาล่ะครับ ขอเปิดต่อไปสู่ หัวข้อถัดไป ในสัปดาห์หน้า แล้วนะครับ แบบนี้ ต้องตามต่อไปละ สำหรับวันนี้เนื้อหาก็อาจจะหนักๆ หน่อย และอาจมีอะไรบางท่านอ่านแล้วไม่ชอบใจ ก็ต้องกราบขออภัยด้วยนะครับ สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อนพบกันใหม่สัปดาห์หน้าสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (14) ดาบซามูไร จิตวิญญาณแห่งซามูไร
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (13) การล้างแค้นเพื่อคุณธรรม (คาตากิ-อุจิ 敵討ち)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (12) ประเพณีการคว้านท้อง (เซปปุกุ 切腹)
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (11) การควบคุมตนเอง
– บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (10) การศึกษาของซามูไร
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (15) ผู้หญิงกับบูชิโด