คั่นรายการ โดย Lordofwar Nick
บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (1) เมื่อ “คนญี่ปุ่น” เอาวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเขียนขาย “ฝรั่ง”
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลังจากที่เจอ “คั่นรายการ” กันไปตลอดเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว ในที่สุด ก็ขอนำพาท่านผู้อ่านเข้าสู่ซีรี่ส์ใหม่นะครับ ซึ่งคัดข้อความบางตอนมาจากหนังสือ Bushido:The Soul of Japan ซึ่งจัดว่าเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่คน “ญี่ปุ่น” เอา “วัฒนธรรมญี่ปุ่น” มาเขียนขายเป็นหนังสือให้ “ฝรั่ง” อ่าน
ต้องยอมรับจริงๆ ว่า “อำนาจละมุน” ของญี่ปุ่นนั้นของเขาแรงจริงๆ เรียกว่าตั้งแต่ญี่ปุ่นเปิดประเทศจนเข้าสู่การปฏิรูปเมจินี่ จากประเทศที่เคย “ปิดตัวเอง” มาตลอด พอ “เปิด” ทีก็เล่นใหญ่ ส่งอิทธิพลสะเทือนไปทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน จะขอกล่าวนำถึงประวัติของหนังสือเล่มนี้คร่าวๆ นะครับ
Bushido:The Soul of Japan เป็นหนังสือ “ภาษาอังกฤษ” ที่เขียนโดย Nitobe Inazō (เกิด 1 กันยายน พ.ศ. 2405 ถึงแก่กรรม 15 ตุลาคม พ.ศ. 2476) ท่านผู้นี้เป็นทั้งนักการศึกษา นักการทูต นักการเมืองระดับรัฐบุรุษของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ท่านเคยไปร่ำเรียนศึกษาถึงที่อเมริกาและก็เยอรมนี และก็เคยทำงานเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่วิทยาลัยเกษตรซัปโปโรจนถึงปี พ.ศ. 2440 แล้วก็ได้ลาออก
ช่วงหลังจากที่ลาออกจากวิทยาลัย มีช่วงที่ท่านไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย และได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นจนได้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2442 (คือเมื่อ 124 ปีก่อน) และแน่นอน มันกลายเป็นหนังสือดัง ถูกตีพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ อย่างภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซียก็มี (ทีฮาคือ มีการ “แปล” เป็น “ภาษาญี่ปุ่น” ด้วย คนญี่ปุ่นเขียนภาษาฝรั่งแล้วมีคนญี่ปุ่นคนอื่นแปลภาษาฝรั่งเป็นญี่ปุ่นอีกทีเนี่ยนะ?) ว่ากันว่า หนังสือเล่มนี้เป็นอะไรที่บุคคลสำคัญ (ที่เป็น “ฝรั่ง”) อ่านกันหลายคนเลยทีเดียว ทั้งอดีตประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลต์ (คนนี้ไม่แปลกใจ ก็ขนาดยูโดยังเรียนเลย) โรเบิร์ต บาเดน-พาวเวลล์ ผู้ก่อตั้งลูกเสือ ก็อ่าน แม้แต่ JFK ก็ยังอ่าน! มันคงจะมีอะไรที่ทำให้ท่านๆ เหล่านี้ เกิดสงสัยสนใจว่า “บูชิโด” ซึ่งฝรั่งเข้าใจว่ามันคือ Chivalry (ลัทธิอัศวิน) เวอร์ชั่นญี่ปุ่นนี่มันเป็นยังไง?
อืม มันเป็นยังไงนะ?
อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงก็ มาอ่านกันเลยไหมครับ?
คำนำ
เมื่อราวสิบปีก่อน ขณะใช้เวลาสองสามวันอยู่ใต้ชายคาที่เปี่ยมอัธยาศัยไมตรีของนักกฎหมายชาวเบลเยียมผู้มีชื่อเสียง M. de Laveleye ผู้เป็นที่อาลัย บทสนทนาของเราเปลี่ยนไปสู่เรื่องของศาสนาในระหว่างที่เราเดินเล่นครั้งหนึ่ง “คุณหมายความว่าอย่างนั้นหรือ” ศาสตราจารย์ที่เคารพถามว่า “คุณไม่มีการสอนเรื่องศาสนาในโรงเรียนของ (ประเทศของ) คุณเหรอ?” เมื่อข้าพเจ้าตอบในเชิงปฏิเสธ เขาก็นิ่งไปด้วยความประหลาดใจ และด้วยน้ำเสียงที่ข้าพเจ้าไม่อาจลืมได้ง่ายๆ เขาย้ำว่า “ไม่มีศาสนา! แล้วจะให้การศึกษาเรื่องศีลธรรมได้อย่างไร” คำถามนี้ทำให้ข้าพเจ้าตะลึงในตอนนั้น ข้าพเจ้าตอบไม่ได้ เพราะศีลธรรมที่ข้าพเจ้าเรียนสมัยเด็กๆ ไม่ได้มีสอนไว้ในโรงเรียน และจนกระทั่งข้าพเจ้าเริ่มวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ ที่ก่อให้เกิดแนวคิดเรื่องสิ่งใดถูกและผิด ข้าพเจ้าพบว่าเป็นบูชิโดที่สูดสิ่งเหล่านั้นเข้าไปรูจมูกของข้าพเจ้า
การเริ่มต้นโดยตรงของหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้เกิดจากการที่ภรรยาของข้าพเจ้าถามคำถามบ่อยครั้งเกี่ยวกับเหตุผลว่า ทำไมแนวคิดและประเพณีดังกล่าวจึงแพร่หลายในญี่ปุ่น
อื้อหือ…
ครับ นี่แหละเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ท่านจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ว่าคนส่วนใหญ่ในโลกยุคนี้ (ต่อให้เป็นยุคนี้ก็เหอะ) มักจะคิดว่า ศาสนา=ศีลธรรม ซึ่งทำให้คิดต่อไปว่า ไม่มีศาสนา=ไม่มีศีลธรรม ไม่แปลกที่นักกฎหมายชาวเบลเยียมท่านนี้จะตกใจ
แต่เมื่อ Nitobe Inazō จะเขียนหนังสือเพื่อจะสื่อเรื่อง “บูชิโด” ให้ฝรั่งอ่าน แล้วทำไงจะทำให้ฝรั่งเข้าใจ หรือนึกภาพตามได้ง่ายๆ? ท่านก็เลยใช้วิธียกเอา “บูชิโด” ไปเปรียบกับ Chivalry (ลัทธิอัศวิน) ทำนองเดี่ยวกับการเอา “ซามูไร” ของญี่ปุ่น ไปเปรียบกับ “อัศวิน” ของพวกฝรั่งยุโรปนั่นเทียว อย่างไรก็ดี ท่านก็พยายามจะบอกว่า มันไม่ได้เหมือนกันหรือใช้แปลแทนความหมายกันได้สนิทขนาดนั้น เพราะถ้อยคำนั้นบางทีมันก็มีความหมายที่จำเพาะตามชนชาติ จึงควรทับศัพท์ดีกว่า
คำภาษาญี่ปุ่น (ว่า “บูชิโด”) ที่ข้าพเจ้าใช้แปลเทียบคำว่า Chivalry อย่างคร่าวๆ นั้น ในต้นฉบับนี้ มีความหมายมากกว่าการขี่ม้า (จริงๆ คำญี่ปุ่นปัจจุบันแปลคำว่าอัศวิน knight ว่า “คิชิ” 騎士 หมายถึงนักรบขี่ม้า) บู-ชิ-โด (武士道) หมายถึง วิถีนักรบ-อัศวิน วิถีที่ซึ่งเหล่าขุนนางนักสู้ควรสังเกตในชีวิตประจำวันและในอาชีพของพวกเขา เรียกอีกอย่างว่า “ศีลแห่งอัศวิน” อันเป็นหน้าที่อันสูงส่งของชนชั้นนักรบ เมื่อได้ให้ความหมายตามตัวอักษรแล้ว ข้าพเจ้าอาจได้รับอนุญาตให้ใช้คำนี้ในต้นฉบับได้ตั้งแต่นี้ไป ด้วยเหตุผลนี้จึงแนะนำให้ใช้คำดั้งเดิม (คือทับศัพท์ว่า “บูชิโด”) ด้วย นั่นคือ คำสอนที่จำกัดขอบเขตและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งก่อให้เกิดทัศนคติและอุปนิสัยที่แปลกประหลาด ที่จำเพาะท้องถิ่นนั้น จะต้องติดตราแสดงความเป็นเอกเทศไว้บนใบหน้า อีกอย่าง คำบางคำก็มีสุ้มเสียงประจำชาติที่สำแดงลักษณะทางเชื้อชาติถึงขนาดที่ (แม้) นักแปลที่ดีที่สุดสามารถแปลได้แค่เพียงแทบไม่มีความถูกต้อง มิพักต้องกล่าวถึงความไม่ถูกต้องและความข้องใจที่ย่อมต้องมีแน่ ใครสามารถปรับปรุงการแปลความหมายของคำว่า ” Gemüth ” ในภาษาเยอรมันได้ หรือใครบ้างที่ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างคำสองคำนี้ที่มีใกล้ชิดกันในทางคำศัพท์มากเท่ากับคำวา gentleman ในภาษาอังกฤษ กับคำว่า gentilhomme ในภาษาฝรั่งเศส?
อย่างไรก็ดี ถึงผู้เขียนท่านจะออกตัวแบบนั้น ก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่ายังไงในหัวของ “ฝรั่ง” ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ก็ย่อมเกิดมโนภาพที่ว่า บูชิโด=Chivalry “เวอร์ชั่นญี่ปุ่น” อยู่ดี 555
อนึ่งในญี่ปุ่น เช่นเดียวกับในยุโรป เมื่อระบบศักดินาได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการ ชนชั้นนักรบอาชีพก็โดดเด่นขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ หมู่คนเหล่านี้รู้จักกันในชื่อซามูไร ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรเช่นเดียวกับคำในภาษาอังกฤษโบราณว่า cniht (knecht, knight) (คือ) ยามหรือบริวาร (คำว่า ซามูไร 侍 มาจากคำว่า ซาบุราอุ さぶらう “รับใช้” ส่วนคำว่า knight ก็มาจากคำว่า cniht “คนรับใช้”) …พวกเขาเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ และเดิมทีต้องเป็นสายพันธุ์หยาบเถื่อนที่ยึดการต่อสู้เป็นอาชีพของตน ชนชั้นนี้ถูกสรรหาโดยธรรมชาติ ในช่วงเวลาแห่งสงครามอันยาวนาน จากผู้ที่กล้าหาญที่สุดและชอบผจญภัยที่สุด และกระบวนการกำจัดทิ้งยังดำเนินต่อไป ผู้ที่ขี้ขลาดและอ่อนแอก็ถูกคัดออก มีเพียง “เผ่าพันธุ์ที่หยาบคาย มีความเป็นชาย ผู้มีพลังอันโหดเหี้ยม” ดังวลีของเอเมอร์สัน (Ralph Waldo Emerson กวีชาวอเมริกัน) เท่านั้น ที่รอดมาเพื่อสร้างวงศ์ตระกูลและยศซามูไร เมื่อได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่และอภิสิทธิ์อันยิ่งใหญ่ และความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงขึ้นมาตามส่วน ในไม่ช้าพวกเขาก็รู้สึกถึงความจำเป็นต้องมีมาตรฐานพฤติกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาอยู่บนฐานที่สู้รบอยู่เสมอและอยู่ในเผ่าพงศ์ที่ต่างกัน แพทย์จำกัดการแข่งขันกันเองด้วยมารยาททางวิชาชีพ เช่นเดียวกับที่ทนายความนั่งอยู่ในศาลที่มีเกียรติในกรณีที่มีการละเมิดจรรยาฉันใด นักรบก็ต้องมีที่พึ่งในการตัดสินขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับอาญาของพวกตนฉันนั้น
เรื่องของ “ธรรมชาติการก่อเกิดของชนชั้นนักรบ” นี่ ผมอ่านแล้ว ซาบซึ้งมาก
ใครอยากซาบซึ้งเหมือนผม ให้มาลองลงเบาะบีเจเจ โดนฝรั่งทับแถมรัดคอสักสองสามที แล้วจะซึ้งในรสพระธรรม 555
ในโลกของการต่อสู้ ใช่ครับ ติ๋มๆ ไม่รอด ไม่เถื่อนจริงอยู่ไม่ได้ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง หากไม่มีศีลธรรมมากำกับเลย เถื่อนเกินไป อาจถึงจุดที่ฆ่ากันเองจนฉิบหายหมด จึงต้องตั้ง”ชุดของศีลธรรม” ขึ้นมากำกับว่า ควรจะเก็บความเถื่อนเอาไว้ใช้เฉพาะกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ และก็ แค่ไหน ด้วย
ลองคิดว่าว่าถ้าคลาสบีเจเจเล่นกันแบบโคตรเถื่อนไร้กติกา จะเป็นไง มันก็ไม่เป็นการฝึกซ้อมสิครับ และมันก็จะแบบไม่มีคนมาเรียน โอเคใช่ ในด้านหนึ่งกีฬาต่อสู้มันก็คือพื้นที่ของการระบายความรุนแรงน่ะแหละเพียงแต่มันเป็นความรุนแรงที่ถูกกำกับตีกรอบด้วยกฎกติกามารยาท นี่จึงทำกีฬาให้ยังเป็นกีฬาอยู่ได้
ผมว่า ที่หนังสือเล่มนี้โดนใจฝรั่ง โดยเฉพาะฝรั่งระดับประธานาธิบดี ก็เพราะว่าธรรมชาติในกมลสันดานของพวกฝรังนั้นก็เป็นพวกเถื่อนอยู่แล้ว (ถึงได้ชอบล่าอาณานิคม) และก็เป็นพวกที่เชื่อในเรื่องของการที่ต้องมีมาตรฐาน มีกติกา เพื่อประกันว่าความรุนแรงจะถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม เมื่อได้มาอ่านเรื่องราวของญี่ปุ่นจากปลายปากกาของคนญี่ปุ่น ว่าญี่ปุ่นก็มีอะไรที่คล้ายๆ พวกเรา (ฝรั่ง) ด้วย มันก็ทำให้เกิดความทึ่ง รู้สึกนับถือปนสนใจใคร่รู้ว่า มันจะมีอะไรดีพิเศษแตกต่างไปจากอะไรๆ ของพวกตนด้วยหรือไม่ แล้วจะเอาอะไรๆ ที่ว่ามาทำประโยชน์ให้กับพวกตัวเองได้บ้าง โดยเฉพาะกับการเอาชนะผู้อื่น ดังคำในจดหมายของประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ ที่มีไปถึงบุตรชาย (ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2448) ว่าด้วยเรื่องของยูโดดังนี้ (ที่มา bjjee)
“……พ่อยังชกกับแกรนท์ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแชมป์นักมวยปล้ำรุ่นมิดเดิ้ลเวทของสหรัฐอเมริกาแล้ว บ่ายวานนี้ เรามีศาสตราจารย์ยามาชิตะอยู่ที่นี่ เพื่อต่อสู้กับแกรนท์ มันน่าสนใจมาก แต่แน่นอนว่ายิวยิตสูกับมวยปล้ำของเรานั้นห่างไกลกันมากจนยากที่จะเปรียบเทียบระหว่างกัน มวยปล้ำเป็นเพียงกีฬาที่มีกฎกติกาแทบจะเป็นแบบแผนประเพณีพอๆ กับเทนนิส ในขณะที่ยิวยิตสูนั้นมีจุดประสงค์เพื่อการฝึกฝนในการฆ่าหรือทำให้คู่ต่อสู้ของเราพิการ ผลก็คือแกรนท์ไม่รู้ว่าต้องทำอยางไรนอกจากเอายามาชิตะใส่ไว้บนหลัง และยามาชิตะก็พอใจที่จะได้อยู่บนหลังของแกรนท์ ภายในหนึ่งนาที ยามาชิตะก็รัดคอแกรนท์ และภายในสองนาทีต่อมา เขาก็โดนคว้าจับข้อศอกจนสามารถจะหักแขนเขาได้ เพื่อไม่ให้มีคำถามใดๆ นอกจากว่าเขาสามารถจะทำให้แกรนท์ยอมได้ สิ่งนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่านักยิวยิตสูสามารถรับมือกับนักมวยปล้ำธรรมดาได้ แต่แกรนท์ ซึ่งในการต่อสู้และการทุ่มจริงๆ นั้นทำได้ดีพอๆ กับชาวญี่ปุ่น และเขาแข็งแกร่งกว่ามากจนเห็นได้ชัดว่าเขาทำร้ายและทำให้ชาวญี่ปุ่นหมดแรงได้ ด้วยการฝึกฝนเพียงเล็กน้อยในศิลปะ พ่อมั่นใจว่านักมวยปล้ำหรือนักมวยตัวใหญ่ของเราสักคนหนึ่ง เพียงด้วยกำลังที่เหนือกว่ามาก จะสามารถสังหารชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นสักคน ซึ่งถึงแม้จะเก่งมากเมื่อเทียบกับส่วนสูงและน้ำหนักของพวกเขา ก็ยังเล็กเกินไปที่จะยืนหยัดต่อสู้กับคนตัวใหญ่ ทรงพลัง และรวดเร็วที่ได้รับการฝึกฝนมาดีเช่นกัน”
พูดง่ายๆ ก็คือลองถ้าฝรั่งมีวิชายูโดติดตัวเหมือนกัน ก็ฆ่าคนญี่ปุ่นได้เลย ว่าซั่น
ครับวันนี้ก็ต้องขอบพระคุณท่านผู้อ่านมากที่เข้ามาอ่าน สำหรับบางส่วนที่ผมยกข้อความจากหนังสือต้นฉบับมาแปลนั้น มาจากเว็บ gutenberg.org ครับ หนังสือเก่าเขาคัดลอกให้อ่านกันฟรีๆ แต่ใครอยากบริจาคช่วยเหลือก็ได้เช่นกัน ในตอนหน้า ผมจะมาพูดเรื่องที่ว่า “ชุดของศีลธรรม” ที่ถูกเรียกว่า “บูชิโด” นั้น จริงๆ มันมีรากเหง้าเค้ามูลอย่างไร ดีไม่ดีงานนี้เขียนขายได้ยาวหลายตอนอยู่นะเนี่ย 555 อย่าลืมติดตามนะครับ
และก็ ครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่า หนังสือ Bushido:The Soul of Japan นั้น เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นมาขายฝรั่ง เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าในภายหลังจะมีผู้แปลออกเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ตาม แต่กลับได้คำวิจารณ์ในทางค่อนข้างลบ (ซึ่งผมก็เชื่อว่า มันมาจากการที่พยายามเอาบูชิโดไปเทียบกับลัทธิอัศวินอย่างฝรั่ง เพื่อให้ฝรั่ง “เก็ท” ได้ง่ายๆ นี่หละครับ ลองคิดละกันครับว่า ถ้าคนไทยทำอาหารไทยแบบ “รสฝรั่งกิน” แล้วฝรั่งบอกว่า ดี ชอบ แต่คนไทยล่ะ จะว่ายังไง จะบอกว่ารสนี้มันใช่รส “อาหารไทย” จริงๆ ไหม ฉันใดก็ฉันนั้นครับ) แต่ด้วยความที่มันเป็นหนังสือดังระดับอินเตอร์ ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้ชนชาติญี่ปุ่นแก่ชาวโลก คนญี่ปุ่นเองก็ยอมรับหนังสือเล่มนี้ในจุดนี้
เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าภาพจำของ Nitobe Inazō ของคนญี่ปุ่นคืออย่างไร? ภาพจำของคนญี่ปุ่นก็คือ หน้าของท่านไปอยู่บนแบงค์ 5000 เยนเวอร์ชั่นปี 1984-1993 เท่านั้นแหละครับ
ที่มา Carousell Singapore
อย่าลืมมาอ่านตอนหน้ากันต่อนะครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– Siam Cup BJJ 2023 สักวันหนึ่ง ผมจะเป็น “ซาซากิ โคจิโร่” ให้ได้เลยนะ!!
– “ยอดยุทธ์วาตะ” การ์ตูนเชิดชูยูโดที่ดี แต่ไม่มีอะไรใหม่!?
– โคฮินาตะ มิโนรุ “คุณชายพันธุ์โชะ” กลับมาอ่านอีกที โคตรเกลียดเรื่องนี้เลยครับ!!– มาอ่าน ว่าด้วยเรื่องของ “มูซาชิ” ในการ์ตูนและเกม (เอาเท่าที่ผมรู้จัก)
– เกร็ดประวัติของ “มิยาโมโต้ มูซาชิ” แบบชีวิตจริงที่ไม่ใช่ฮีโร่ในนิยาย!?
#บูชิโด: จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (1) เมื่อ “คนญี่ปุ่น” เอาวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเขียนขาย “ฝรั่ง”