“เหยื่อระเบิดปรมาณู ชีวิตที่ไม่ตายก็เหมือนตาย มรดกฝันร้ายส่งต่อถึงลูกหลาน”
ในวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา ทางเว็บไซต์ kyodonews ได้นำเสนอสกู๊ปข่าวเรื่องการวิเคราะห์ DNA เพื่อพิสูจน์ว่าผลกระทบด้านสุขภาพของเหยื่อในเหตุการณ์การทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิในปีค.ศ. 1945 โดยสหรัฐอเมริกา นั้นสามารถส่งต่อสู่รุ่นลูกรุ่นหลานผ่านทางพันธุกรรมได้หรือไม่ โดยงานวิจัยดังกล่าวจัดทำขึ้นโดย Radiation Effects Research Foundation หรือ RERF ซึ่งเป็นองค์กรที่ถือกำเนิดขึ้นในฮิโรชิม่าจากความร่วมมือของประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์คือวิจัยผลกระทบที่เกิดกับร่างกายมนุษย์ภายหลังการได้รับรังสีจากระเบิดปรมาณู
ก่อนหน้านี้ในเดือนกรกฎาคม ทางเว็บไซต์ sciencemag.org ได้ให้ข้อมูลว่า ในปี 2018 และ 2019 นักวิทยาศาสตร์ของ RERF พบว่าหากผู้หญิงได้รับรังสีในช่วงอายุที่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (Puberty) หรือช่วงที่เริ่มมีประจำเดือนครั้งแรกนั้นมีความเสี่ยงสูงที่ผู้ได้รับรังสีจะเกิดโรคมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งมดลูกมากกว่าการได้รับรังสีในช่วงที่ยังเป็นเด็กหรือเลยวัยเจริญพันธ์ไปแล้ว เพราะการขยายตัวของเนื้อเยื่อในร่างกายในช่วงวัยเจริญพันธุ์นั้นมีความเสี่ยงสูงที่ดีเอ็นเอจะถูกทำลายจากรังสี
RERF มีการติดตามผลการตรวจสุขภาพของครอบครัวที่อยู่ในเหตุการณ์ระเบิดกว่า 23,000 ครอบครัวทุกๆ 2 ปี โดยเก็บตัวอย่างเลือดและปัสสาวะไปตรวจ และยังมีการแช่แข็งเก็บรักษาตัวอย่างเซลล์ของครอบครัวกว่า 500 ครอบครัวที่อย่างน้อยมีพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งได้รับรังสีโดยตรง โดยทางนักวิจัยกำลังติดตามว่า ลูกๆ ของเหยื่อที่ได้รับรังสีนั้นมีโอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์ (Mutation) ของพันธุกรรมในรังไข่หรืออัณฑะสูงกว่าหรือไม่โดยเปรียบเทียบกับครอบครัวที่ไม่มีประวัติได้รับรังสี
หลังจากติดตามผลการตรวจสุขภาพของรุ่นลูกของเหยื่อปรมาณูจำนวนกว่า 77,000 คน ทาง RERF ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า รุ่นลูกของเหยื่อรังสีนั้นได้รับผลกระทบทางสุขภาพโดยตรงจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ผ่านทางพันธุกรรมหรือไม่ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไว้วางใจไม่ได้เพราะทาง RERF ยอมรับว่าการที่หาข้อสรุปไม่ได้นั้นอาจเป็นเพราะข้อมูลทางสถิติที่เก็บมายังไม่เพียงพอ
แต่ประเด็นสำคัญคือ ในเมื่อไม่มีข้อมูลชัดเจนมารองรับ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจึงปฏิเสธที่จะให้บริการการตรวจคัดกรองโรคสำหรับรุ่นลูกของเหยื่อรังสี ทำให้ลูกของเหยื่อรังสีต้องทนอยู่กับความไม่แน่ใจไปตลอดชีวิตว่าสุขภาพของตัวเองยังดีอยู่หรือเปล่า ผู้เป็นพ่อแม่ก็รู้สึกผิดไปด้วย
ตัวอย่างเช่น มีครอบครัวที่รุ่นลูกป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวและจากไปในวัยเพียง 30 ปี โดยที่ผู้เป็นแม่เป็นเหยื่อรังสีเฝ้าตั้งคำถามกับตัวเองว่า ใช่ความผิดของเธอหรือเปล่าที่ทำให้ลูกต้องมาเป็นแบบนี้เพราะร่างกายของเธอไม่แข็งแรง นอกจากนี้ ลูกของเหยื่อรังสีหลายคนยังโดนตั้งแง่รังเกียจจากสังคม โดนปฏิเสธการแต่งงาน เพราะคนญี่ปุ่นหลายคนยังคงมีความเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากรังสีนั้นสามารถส่งต่อได้ทางพันธุกรรม
RERF ยังคงต้องเก็บสถิติเพื่อวิจัยต่อไป โดยคงไม่มีคำตอบจะให้กับเหยื่อรังสีได้ภายในหนึ่งชั่วอายุคน ญี่ปุ่นมีบทเรียนให้เห็นแล้วว่า การที่คนเราขาดความเมตตาต่อกันนั้นส่งผลเช่นไร และเมื่อสงครามจบ ความเจ็บปวดไม่ได้จบง่ายดาย แต่ลูกหลานยังต้องมารับมรดกกรรมต่อไปอีกนานแสนนาน
ทักทายพูดคุยกับ คอลัมน์นิจ ได้ที่ >>> Facebook คอลัมน์นิจคิดandไรท์
เรื่องแนะนำ :
– ฟ้าดินแยกเราเท่าไรไม่ขาด โควิดห้ามเราไปเที่ยวไม่ได้ ทัศนศึกษาออนไลน์คือของที่ญี่ปุ่นต้องมี
– เป็นเกย์ในญี่ปุ่นต้องเจอกับอะไร เปิดใจคุยกับเจ้าของตำแหน่ง Mr Gay Japan
– Body Positivism ไม่อ้วนเอาเท่าไร น่าดีใจที่สาวพลัสไซส์ไม่ถูกเมินในสังคมญี่ปุ่น
– เมื่อเหล่าผู้นำทางการเมืองในญี่ปุ่นกลายเป็นแฟชั่นไอคอนตัวแม่ นำกระแสการใส่หน้ากากอนามัยเท่ๆ (เพื่อสื่อสารสิ่งที่อยู่ในใจ?)
– สถานการณ์โควิด-19 ในญี่ปุ่นสุดหวั่นใจ คนญี่ปุ่นชิลล์ไม่กลัวภัยจริงดิ? มาดูสติ๊กเกอร์ไลน์แล้วจะรู้
อ้างอิงจาก
– https://english.kyodonews.net
– https://www.sciencemag.org
– https://www.tandfonline.com
#เหยื่อระเบิดปรมาณู ชีวิตที่ไม่ตายก็เหมือนตาย มรดกฝันร้ายส่งต่อถึงลูกหลาน