รีวิวทริปท่องเที่ยวในครั้งนี้ ขอเอาใจผู้ที่กำลังวางแผนเที่ยวแถบคันไซกันอยู่ แล้วเกิดอารมณ์มืดบอด แบบว่า..ไปเที่ยวไหนกันต่อดีเนี่ย นี่เลยจ้าคำตอบของเรา …จังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) มีเวลาแค่ 2 วันก็ได้ไฮไลท์ของจังหวัดไปแบบเต็มๆ
รีวิวทริปท่องเที่ยวในครั้งนี้ ขอเอาใจผู้ที่กำลังวางแผนเที่ยวแถบคันไซกันอยู่ แล้วเกิดอารมณ์มืดบอด แบบว่า..ไปเที่ยวไหนกันต่อดีเนี่ย นี่เลยจ้าคำตอบของเรา …จังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) มีเวลาแค่ 2 วันก็ได้ไฮไลท์ของจังหวัดไปแบบเต็มๆ
อ้อ! และถ้าเพื่อนๆ คนไหน ที่รู้สึกว่าไม่คุ้นชินกับชื่อจังหวัดนี้กันเสียเลย วันนี้ขอเสนอคำว่า…โกเบ (Kobe) ที่นำเสนอคำนี้ขึ้นมานั้น ก็เพราะว่าโกเบ เป็นเมืองท่าที่สำคัญของญี่ปุ่น แล้วยังเป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของจังหวัดเฮียวโงะอีกด้วยน่ะสิ ดังนั้นหมายเลข 8 เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินชื่อเมืองนี้ (ซึ่งคงจะทราบกันแล้วนะว่า “โกเบ” เป็นชื่อเมือง ..ไม่ใช่ชื่อจังหวัด ฮะ ฮะ) นอกจากนั้นจังหวัดเฮียวโงะ หรือ Hyogo Prefecture* ยังเป็นจังหวัดเพื่อนบ้านของโอซาก้าด้วย เป็นการการันตีกลายๆ ว่าเดินทางสะดวก แล้วก็รวดเร็วมาก จากสถานี Osaka นั่งรถไฟ JR มา 20 – 30 นาทีก็ถึงสถานี Sannomiya แล้ว ด้วยค่าเสียหายเพียง 400 เยนนิดๆ เอง
*ที่ญี่ปุ่นใช้คำเรียกจังหวัดว่า “Prefecture” จ้า ไม่ใช่ “Province”
เรามาเริ่มต้นกันที่สถานี Sannomiya กันดีกว่า สถานีนี้ถือเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟที่สำคัญสถานีหนึ่งของจังหวัดเฮียวโงะ แล้วยังเป็นสถานีซึ่งใช้เดินทางมายังจุดจัดงาน Kobe Luminarie หรืองานแสดงการประดับไฟ (Illumination) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของญี่ปุ่นด้วย งานนี้จัดกันทุกปีในช่วงเดือนธันวาคม ควรมาทัศนาเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นโปรดจำชื่อสถานีนี้ไว้ให้ดี เพราะนอกจากจะเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟหลักๆ แล้ว ถ้าเป็นเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องช้อป ในโกเบ ชื่อสถานี Sannomiya นี้ ต้องมา!
มาๆ มาเข้าเรื่องกัน
หากเพื่อนๆ เป็นสายชิล ก็ออกเดินทาง* จากโอซาก้ามากันสายๆ หน่อยก็ได้ แล้วมาหาของกินกันที่โกเบ ขอบอกเลยว่าใกล้ๆ สถานี Sannomiya ร้านอาหารเพียบ!! แต่ทริปนี้เราจะใช้เวลาอยู่ในโกเบกันแค่ 2 วัน ดังนั้นจึงขอจัดของเด่นดังประจำเมืองนี้ก่อนเลย ที่กำลังพูดถึงและเรียกน้ำลายสออยู่นี้ คือ “เนื้อโกเบ” เนื้อญี่ปุ่น** หรือ วากิว (Wagyu) ที่ได้จากวัวซึ่งได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีในโกเบ เพื่อคุณภาพเนื้อลายหินอ่อนชั้นเยี่ยม มีไขมันดีแทรกอยู่ทุกอณู จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
*ถ้าจะพักโกเบแค่คืนเดียว ก็ฝากกระเป๋าใหญ่ไว้ที่โรงแรมในโอซาก้าดีกว่า แล้วลากหรือถือกระเป๋าน้อยๆ มาก็พอ จะได้ไม่พะรุงพะรังจ้า แม้ที่สถานีจะมีล็อคเกอร์สำหรับกระเป๋าใหญ่ก็เหอะ
**ถ้ามาเมืองนี้กรุณาจัดงบประมาณไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพราะค่าเสียหายสำหรับเนื้อโกเบนั้น ไม่ใช่ธรรมดา (^^)”
ร้านที่เรามาลองชิมและอยากจะขอแนะนำในวันนี้ก็คือ Misono Premium Quality Wagyu แค่ชื่อร้าน ก็รู้สึกระทึกเบาๆ ถึงราคาที่ต้องจ่าย ฮะ ฮะ ทีนี้เราจะเดินออกจากสถานี Sannomiya โดยทาง West Exit (ของสาย Hankyu Railway) หรือ Exit 1 (ของสาย Kobe Subway) หรือจะเดินสวยๆ ออกจากสถานีทางประตูของสาย JR เลยก็ได้ แต่ถ้าเป็น JR มันก็ออกได้หลายประตู เอาเป็นว่าดูป้ายแล้วเลือกทางออกที่ไปแถวๆ ถนน Ikuta หรือ Tokyo Hands นะ เลือกเอาที่สะดวกๆ
…ส่วนเราก็เลือกเดินตามป้ายมาเรื่อยๆ ข้ามถนน เดินผ่านจุดจอดรถของ City Loop Bus (หากใครจะเที่ยวตามเส้นทางในเมือง ก็มาขึ้นรถที่ป้ายนี้ได้) จากนั้นก็ข้ามถนน แล้วเดินไปตามซอยเรื่อยๆ จนมาเจอแยกใหญ่ ถ้าเดินข้ามถนนซึ่งเป็นทางเข้าสู่ศาลเจ้า Ikuta ไป จะเป็น Tokyo Hands ส่วนถนนฝั่งตรงข้ามคือ Ikuta แต่เราจะหยุดตรงนี้ ที่ตึก Misono ถึงแล้วจ้า 5 นาทีเอง ….กดลิฟต์ขึ้นไปชั้น 7 ได้เลย (ร้านนี้มี 2 ชั้น คือชั้น 7 และ 8)
เอาล่ะ..ก่อนจะชิมอะไรกัน เรามาทำความรู้จักกับร้าน Misono ดังเรื่องเนื้อโกเบกันสักหน่อย ร้านนี้ได้ชื่อว่าเป็นร้าน Original เรื่อง Teppanyaki หรือกระทะร้อนเลยนะ เริ่มกิจการครั้งแรกโดยคุณ Shigeji Fujioka เมื่อค.ศ. 1945 นั่นน่ะคือปีสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง (เชื่อว่าคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากกันอยู่ไม่น้อยในการทำกิจการอะไรสักอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในญี่ปุ่น) ที่จริงคุณ Fujioka เคยทำกิจการร้านกาแฟ แล้วก็ขายส่งเมล็ดกาแฟด้วยนะในช่วงก่อนสงครามฯ พอหลังสงครามคุณเขาก็เปิดร้านโอโคโนมิยากิ (พิซซ่าญี่ปุ่น) ซึ่งก็เป็นการเริ่มใช้กระทะร้อนในร้านกันละ ช่วงนั้นลูกค้าประจำก็จะเป็นพวกนักเต้น ที่มักจะพาคุณทหารมาด้วย พอคุณทหารอยากกินเนื้อวัว สมัยนั้นทางร้านก็เลยลองเอาเนื้อ Tajima มาย่างบนกระทะร้อน แล้วก็พยายามใช้เนื้อวัวและผักที่ดีที่สุด พวกทหารชื่นชอบเพราะได้กินของดี แล้วก็เหมือนได้ดูโชว์ไปด้วย สนุกกันเข้าไปใหญ่ จนกลายเป็นปากต่อปาก ทำให้ร้านเป็นที่นิยม แล้วตอนหลังมีการให้สัมภาษณ์ American Reporter คุณ Fujioka ก็เลือกใช้คำว่า Teppanyaki เพื่อสื่อถึงการใช้กระทะร้อน พอสัมภาษณ์บ่อยๆ คำๆ นี้ก็เลยไปอยู่ในดิกภาษาอังกฤษซะเฉยเลย
เอาล่ะมาลองชิมกัน…
สำหรับเมนูยอดนิยมของทางร้านจะเป็น Course A ที่จะประกอบไปด้วยอาหารเรียกน้ำย่อย (Appetizer) สลัด ผักย่าง เนื้อสเต๊ก (Teppanyaki) ขนาด 150 กรัม และของหวาน ราคาก็จะต่างกันไป ถ้าเลือกเป็น Sirloin หรือ Filet คอร์สนี้ก็จะราคา 10,800 เยนรวมภาษี ถ้าเป็น Special Sirloin ราคา 12,420 เยนรวมภาษี แต่ถ้าเลือก Kobe Beef Sirloin ราคาจะพุ่งไปที่ 20,520* เยนรวมภาษี …นอกจากนั้นถ้าใครมากินเป็นมื้อค่ำจะมี service charge อีก 10%
*สำหรับเนื้อชั้นดี อย่างเนื้อโกเบที่คัดเฉพาะส่วนเลิศๆ (เน้นว่าเป็นเนื้อโกเบในเกรดระดับเลิศๆ ด้วยนะ) มาเสิร์ฟในร้านอาหารแล้ว ราคาก็ประมาณนี้แหล่ะ (^^)”
และด้วยความที่มัวแต่ปลื้มปริ่มกับเนื้อโกเบและข้าวผัดกระเทียม จึงเผลอจัดการกับของหวานไปด้วยความรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ จึงมิมีภาพมาฝาก ฮือออออออ
ร้าน Misono นี้จึงถือว่าเป็นร้านประเภท Teppanyaki ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 70 ปี เข้าใจในการเน้นรสชาติ ชูคุณค่าของวัตถุดิบ ความสะอาดต้องมาเป็นที่หนึ่ง มีความชำนาญในวิธีการใช้กระทะร้อน และยังคิดค้นเครื่องมือในการย่างอีกด้วย อย่างไอเดียในการใช้ฝาครอบอาหารขณะปรุงบนกระทะร้อน ที่สำคัญมีการขยายสาขา จนปัจจุบันมีถึง 5 สาขาเข้าไปแล้วคือที่ Kobe, Osaka, Kyoto, Ginza (Tokyo), และที่ Shinjuku (Tokyo) ด้วย ใครสะดวกที่ไหนก็ลองไปชิมกันนะคะ
ขอทิ้งท้ายด้วยประกาศนียบัตรการันตีความเจ๋งอันมากมายของร้านนี้ เชื่อว่า Misono น่าจะเกินคำว่า “มาตรฐาน” สำหรับเพื่อนๆ แน่นอนค่ะ อย่าลืมไปพิสูจน์รสชาติกันนะคะ
Misono Premium Quality Wagyu
ที่ตั้ง : ชั้น 7-8, Misono Bldg., 1-1-2 Yamatedori, Chuo-ku, Kobe Tel: 078-331-2890 (จองล่วงหน้าจะดีกว่า)
เปิดทำการ : มื้อกลางวัน (11.30 – 14.30 น.) มื้อค่ำ (17.00 – 22.00 น.)
เว็บไซต์ : http://misono.org/en/
เอาเป็นว่าอิ่มหนำสำราญกันแล้ว …ไปที่อื่นกันบ้างดีกว่าค่ะ การเดินเที่ยวเป็นการย่อยอาหารที่ดีที่สุด (^^)
สตาร์ทไปครึ่งวัน…เพิ่งจบเรื่องเนื้อโกเบ แต่วันแรกนี้ยังอีกยาวไกลนัก หึ หึ
จบหมวดอาหาร มาต่อกันที่หมวดเครื่องดื่มสิคะ 😉
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเฮียวโงะนั้นมีชื่อเสียงเรื่องเหล้าสาเกด้วย วันนี้เราจะบุกไปที่ย่านนาดะกัน ในบริเวณนี้ถือเป็นย่านสาเก มีโรงงานสาเกเพียบ และที่ที่เราจะไปเยี่ยมชมกันนั้นคือโรงงาน Fukuju ที่นี่ประกอบกิจการผลิตสาเกมาแล้วถึง 265 ปี (ตั้งแต่ค.ศ. 1751) ตกทอดกันมาเป็นรุ่นที่ 13 แล้ว ทริปนี้เน้นความเก่าแก่ ฮะ ฮะ ด้วยความที่ย่าน Nada นี้ อยู่เชิงภูเขารกโกะ (Mt. Rokko) ที่เป็นแหล่งน้ำแร่ชั้นดี และน้ำก็เป็นวัตถุดิบที่เป็นหัวใจหลักของการผลิตสาเกซะด้วย โดยน้ำเหล่านี้จะต้องมีแร่ธาตุที่ถูกต้อง ในปริมาณที่เหมาะสม จึงจะสามารถนำมาผลิตสาเกรสชาติเยี่ยมได้ อย่างเช่นที่โรงงาน Fukuju แห่งนี้ก็ใช้น้ำธรรมชาติชั้นดี (เขาเรียกว่าน้ำ “Miyamizu”) ในท้องถิ่นนี่แหล่ะมาผลิตสาเก
จากละแวกสถานี Sannomiya เราก็แค่เดินตามหาสถานี Kobe-Sannomiya ของสาย Hanshin Railway กันนิดหน่อย (ถ้ามาลิ้มลองเนื้อโกเบที่ร้าน Misono แวะไหว้ศาลเจ้า Ikuta ก็เดินออกมาทางถนน Ikuta นั่นแหล่ะ) นั่งรถไฟไปสถานี Ishiyagawa ประมาณ 10 นาที (190 เยน) เดินต่อไปอีกนิด ไม่ถึง 10 นาที ก็ถึงโรงงาน Fukuju แล้ว (แต่เราใช้เวลานานกว่านั้น..เพราะตอนที่ไป เกิดแผ่นดินไหวที่จังหวัด Tottori กระทบมาถึงการเดินรถไฟในเส้นทางของเราด้วย เลยได้แต่นั่งเงียบๆ อยู่บนรถไฟที่จอดนิ่งๆ อยู่พักใหญ่ทีเดียว)
เมื่อก้าวขาขึ้นรถไฟ เสียงโทรศัพท์ของชาวญี่ปุ่นก็ร้องระงม เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงข้อความเตือนแผ่นดินไหวทางมือถือของคนญี่ปุ่นในที่สาธารณะอย่างนี้ คือดังทุกคน แอบตระหนกเล็กน้อย (ปกติคนญี่ปุ่นมักปิดเสียงโทรศัพท์ แต่พอเป็น sms เตือนแผ่นดินไหวนี่ เสียงมาเต็มมาก น่าจะเป็นเสียงเฉพาะตัวด้วยหล่ะ)
สำหรับโรงงาน Fukuju นั้น นอกจากความเก่าแก่ ที่นี่ยังมีเรื่องไม่ธรรมดาอีกหลายสิ่ง คือเขาเปิดให้ชมโรงงานเขาได้ฟรีๆ (แต่ต้องจองล่วงหน้า) เราจะได้ “เห็น” กระบวนการการผลิตสาเกอย่างครบวงจร เต็มรูปแบบ แต่เราจะไม่ได้เข้าไป “สัมผัส” โดยตรง เพราะเขามันการกั้นห้องกระจกไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมการทำงานอย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อย มีวิดีทัศน์อธิบายกระบวนการแต่ละจุด ราวกับพิพิธภัณฑ์มีชีวิต (คนงานก็เดินทำงานกันไป คนมาชมก็ชมกันไป)
บรรยากาศด้านในนั้น เป็นโรงงานจริงๆ นะ แต่เขาจัดให้นักท่องเที่ยวชมอย่างเป็นสัด เป็นส่วน ถ้าเป็นช่วงเวลาที่มีคนงานกำลังทำงานอยู่ ก็จะมีป้ายบอกเอาไว้ ว่านั่นเป็นกระบวนการอะไร ถ้าเวลานั้นไม่มีการปฏิบัติงานในบางกระบวนการผลิต (เขามีตารางการผลิตค่อนข้างชัดเจน และแน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้าแต่ละกระบวนการตลอดเวลา) เราก็สามารถทราบรายละเอียด แบบว่าเอามาทำรายงานส่งครูได้เลย จากการดูมอนิเตอร์ของแต่ละโซนประกอบ เพราะว่ามันละเอียดจริงๆ แบบว่าถ้าวัตถุดิบครบนี่ กลับมาทดลองทำเองได้เลย ฮะ ฮะ
และสำหรับจุดที่นักท่องเที่ยวมักจะมาเยือนกันมากก็คือบริเวณร้านของฝาก (นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาโรงงานสาเกแห่งนี้ ก็เพื่อสิ่งนี้)
ภายในร้านกว้างขวาง มีผลิตภัณฑ์ของทางโรงงานวางจำหน่ายอยู่มากมาย เพราะที่นี่ผลิตสาเกหลากหลายชนิด ภายในมีร้านเหล้าเล็กๆ ที่เสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นอยู่ด้วยชื่อว่า “Sakabayashi” ข้างๆ กันก็เป็นมุมให้ชิมสาเกแต่ละประเภท
ชิมแล้วชอบก็ซื้อ ชิมแล้วยังไม่ชอบ ก็ชิมกันต่อไป ฮ่าๆ และในฐานะผู้ซึ่งพอจะดื่มสาเกอยู่บ้าง งานนี้ก็ต้องมีชิมล่ะค่ะ นิดๆ หน่อยๆ พอให้รู้รสชาติ …ชิมจอกแรก เฮ้ย! ดีอ่ะ ชิมจอกสอง เฮ้ย! นี่ก็ดีอ่ะ ชิมจอกสาม เฮ้ย! รสบ้วย!! เอาๆ (^^) เอาจริงๆ นะ รสชาติดีมากๆ ทุกชนิดที่ชิมเลย โดยเฉพาะตัวท๊อปนี่ (Daiginjo) แบบว่ายอมค่ะ รสเยี่ยมมากๆ ใครเป็นคอเครื่องดื่มแบบนี้ ขอแนะนำว่าต้องมาชิมและช้อปกลับไปเลยทีเดียว
ตัวสีทองเป็นสาเกชนิดที่เรียกว่า Daiginjo (เราเรียกว่าตัวท๊อป 55) สีฟ้าคือ Junmai Ginjo (ตัวรองท๊อป) และสีเขียวคือ Junmai Mikagego โรงสาเกแต่ละโรง มักจะมี 3 ตัวนี้เป็นหลัก แต่รสชาติของแต่ละแห่งก็จะต่างกัน ต้องให้เซียนหรือกูรูทั้งหลายไปพิสูจน์ ซึ่งก็จะมีผู้เชียวชาญในเรื่องนี้โดยเฉพาะเช่นเดียวกับ Wine ของฝรั่งเขานั่นแหล่ะ นอกจากสาเก 3 ชนิดนี้ ทางโรงงาน Fukuju ก็ยังมีผลิตภัณฑ์อีกเพียบ ซึ่งก็มีมาให้ลองชิมหลายตัวเหมือนกัน
ผลิตภัณฑ์ของที่นี่ได้รับการการันตีหลายอย่างเช่นกัน อย่างล่าสุดก็ได้รับรางวัล International Wine Challenge 2016 “Gold Wine Winner” และการที่สาเก Fukuju ถูกนำไปเสิร์ฟในงานประกาศรางวัล Nobel ที่ประเทศสวีเดนเมื่อปีก่อนก็น่าจะเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งของโรงงานแห่งนี้เลยทีเดียว
โรงงานสาเก Fukuju (Kobe Shu-Shin-Kan)
ที่ตั้ง : 1-8-17 Mikagezuka-cho, Higashinada-ku, Kobe City 658-0044 Tel: 078-841-1121 (จองคิวชมโรงงาน) เดินจากสถานี Ishiyagawa (Hanshin Line) มา 8 นาที
เปิดทำการ : 10.00 – 18.00 น. (เปิดทุกวัน ยกเว้นวันหยุดสิ้นปีและปีใหม่)
ค่าเข้าชม : ฟรี (ชิมสาเก ..ก็ฟรี) แต่ถ้าจะเข้าไปชมในส่วนของโรงงานด้วย ต้องจองล่วงหน้า (นี่ก็ฟรี)
เว็บไซต์ : http://enjoyfukuju.com/
ว้ายๆๆ บ่ายแก่ๆ ซะแล้ว มัวแต่ชิมสาเกเพลิน … แทนที่เราจะจับรถเมล์ไปสถานีขึ้น Mt. Rokko เราก็เลยเรียกแท็กซี่ซะเลย (ไม่ไกลๆ ไม่ต้องตกใจ รถไม่ติด ไปหลายคนอีกต่างหาก หารกันได้เนอะ) คือถ้าเรานั่งรถไฟจากสถานี Ishiyagawa ต่อไปอีกป้ายนึงคือสถานี Mikage แล้วเรามีบัตร Rokkosan Tourist Pass* (1,000 เยน) เราก็สามารถเดินทางต่อไปเที่ยวที่บนภูเขารกโกะ แบบไม่เสียเงินค่าโดยสารอะไรเพิ่มอีกจนกระทั่งกลับลงมา แต่ไม่ทันละ ไปเริ่มใช้กันที่สถานี Rokko Cable Car-Shita เลยละกัน
*อ่านเพิ่มเติม >> Rokkosan Tourist Pass
ตอนที่ไปถึงสถานี Rokko Cable Car เห็นมีการตกแต่งแปลกๆ มองไปมองมาจึงรู้ว่าช่วงที่ไปนั้นมีงานอาร์ตพอดี ชื่อว่า Rokko Meets Art 2016 (14 ก.ย. – 23 พ.ย. 2016) แถบรกโกะก็จะมีการจัดแสดงงานอาร์ตกระจายกันไปทั่วรกโกะนั่นเอง ที่เห็นก่อนเป็นอย่างแรกก็ที่สถานี Cable Car นี่แหล่ะ ด้านหน้าจะมีป้ายรถเมล์ Kobe City Bus (No. 16) อยู่ ก็อย่างที่บอก ถ้าเรามีบัตร Rokkosan Tourist Pass ก็สามารถใช้ขึ้นรถเมล์สายนี้มาจากสถานีต่างๆ ตามที่เขาระบุไว้ได้ โดยไม่ต้องจ่ายตังค์เพิ่ม
นั่งกินลม ชมวิวไป ฉึกฉักๆ ไม่นานก็จะขึ้นมาถึงสถานี Rokko Sanjo จากนั้นเราอยากไปไหน ก็นั่ง Rokko Sanjo Bus ท่องเที่ยวบนภูเขารกโกะได้แบบ unlimited ทั้งวันเลย (อย่าลืมเช็คตาราง Cable Car ขาลงไว้ละกัน เพราะถ้าตก Cable Car เที่ยวสุดท้าย ท่านอาจจะต้องเจอค่าเรียกแท็กซี่ ในราคาแสนสาหัส)
สำหรับ Rokko San (Mt. Rokko) หรือภูเขารกโกะแห่งนี้ ถือเป็นจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งในจังหวัดเฮียวโงะ มีระบบขนส่งที่เป็นพิเศษเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ และมีไฮไลท์อยู่ในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดิน แล้วจะพาไปชมกัน
แต่ว่า…ขอกลับมาต่อในตอนหน้านะคะ
Mt. Rokko
ที่ตั้ง : เมือง Kobe จังหวัด Hyoko (ขึ้นไปได้ 3 วิธี 1. Rokko Cable Car 2. Rokko Arima Ropeway 3. ขับรถ/แท็กซี่)
เปิดทำการ : ตลอดปี แต่เวลาเปิด-ปิดของแต่ละสถานที่ก็แล้วแต่ฤดูกาล
ค่าเข้าชม : ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
เว็บไซต์ : https://www.rokkosan.com/en/
ทริปสั้นๆ แค่สองวัน ชิลๆ เรื่อยๆ ไม่เหนื่อย …เลยอัดข้อมูลให้เยอะหน่อย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ค่ะ ตอนหน้าเราจะพาไปยังจุดท่องเที่ยวน่าสนใจบนภูเขารกโกะ แล้วติดตามรีวิวทริปนี้ในวันที่สองกันต่อได้เลย ยังมีความเรื่อยเปื่อย ไม่เหนื่อย และไม่เสียดายเวลาอยู่แน่ๆ ค่ะ (^^)
เรื่องแนะนำ :
– รีวิวเที่ยว Hyogo ..สองวันก็เอาอยู่ (2) : สุดยอดวิว ออนเซ็น และปราสาท