ทีมเวิร์กแบบญี่ปุ่น…การทำงานแบบญี่ปุ่นที่เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมโดยเน้นการระดมสมอง การทำงานเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เมื่อคนสองคนหรือมากกว่า นั้นที่มีประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงานที่ต่างกันมาทำงานด้วยกัน ทำให้เกิดการประสานกำลังที่จะนำไปสู่การได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าการ ทำงานแบบอื่นๆ
คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากไม่ได้มีแค่ความสามารถในการทำงานเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการบริหารคน เพราะไม่มีใครที่จะประสบความสำเร็จจากการทำงานคนเดียวได้ คนที่ประสบความสำเร็จจะเก่งในด้านการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง เพราะเขาสามารถดึงเอาศักยภาพของทุกคนออกมาใช้เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผลสำเร็จตามเป้าหมาย
โดยเฉพาะการทำงานแบบญี่ปุ่นที่เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมโดยเน้นการระดมสมอง การทำงานเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้เมื่อคนสองคนหรือมากกว่านั้นที่มีประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงานที่ต่างกันมาทำงานด้วยกัน ทำให้เกิดการประสานกำลังที่จะนำไปสู่การได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าการทำงานแบบอื่นๆ หรือที่เรียกว่า Synergy การทำงานเป็นทีมที่จะประสบความสำเร็จมีดังต่อไปนี้
• ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง
หัวหน้างานหลายๆ คนชอบควบคุมความคิดลูกน้อง ต้องการให้ลูกน้องคิดเหมือนตัวเองและทำแบบที่ตนเองต้องการ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คงไม่ต่างกับการทำงานคนเดียวเพราะก็เหมือนกับการที่หัวหน้าคิดคนเดียว ทำคนเดียว ลูกน้องเป็นเพียงผู้คอยทำตามคำสั่งเท่านั้น การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพก็คือ การที่ทุกคนในทีมจะต้องออกความคิดเห็นใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน หรือต่อยอดจากสิ่งที่เคยทำๆ กันมา จึงจะเกิดผลแบบทวีคูณ
Mr. Soichiro Honda ผู้ก่อตั้งบริษัทฮอนด้าเคยกล่าวไว้ว่า
“ถ้าคุณจ้างแต่คนที่คุณเข้าใจเขา บริษัทก็จะไม่มีวันได้คนที่ดีไปกว่าคนแบบคุณ จงอย่าลืมว่าเราอาจจะหาคนเก่งๆ ได้จากบรรดาคนที่คุณอาจจะไม่ได้รู้สึกชอบเท่าไรนัก”
• การประสานและร่วมมือกัน
คนที่เป็นผู้นำจะต้องมองเห็นจุดเด่นหรือความสามารถเฉพาะของทุกคนในทีมและสามารถดึงเอาความพิเศษนั้นๆมาประสานเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น บางคนเก่งด้านการทำงานด้านเอกสาร บางคนชอบติดต่อสื่อสารกับผู้คน บางคนชอบนำเสนองานต่อหน้าคนหมู่มาก บางคนชอบอยู่กับตัวเลข ฯลฯ หัวหน้าต้องดูให้ออกและมอบหมายงานที่สามารถใช้ความสามารถพิเศษของแต่ละคนได้ อย่างไรก็ตามมีหัวหน้างานบางคนอาจจะไม่ชอบลูกน้องเก่งๆที่บริหารงานยากกว่าเพราะกลัวโดนเลื่อยขาเก้าอี้ แต่ชอบจะลูกน้องที่ไม่ค่อยเก่งแต่ปกครองง่ายหรือเอาอกเอาใจเก่ง แต่ต้องอย่าลืมว่าลูกน้องที่เก่งๆ อาจมีส่วนช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างสูง
• การสื่อสารที่ชัดเจน
การสื่อสารมีความสำคัญกับการสร้างทีมงาน หัวหน้าที่จะคุยกับคนอื่นรู้เรื่องต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายเพื่อที่จะได้ช่วยกันสรรหาวิธีการไปสู่เป้าหมายแบบใหม่ๆ ได้นั่นเอง หัวหน้าหลายๆ คนที่ไม่สามารถสร้างทีมเวิร์กที่ดีได้เนื่องมาจากเขาพูดไม่รู้เรื่องและมักจะสื่อสารไม่ชัดเจนทำให้ทีมงานงงเป็นไก่ตาแตก อย่าว่าแต่จะมีคนช่วยคิดอะไรใหม่ๆ เลย แค่สั่งงานไม่สามารถทำให้คนรับคำสั่งเข้าใจได้เลย
• ลดอีโก้ลง
การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นที่เราติดต่อด้วยสิ่งแรกที่เราจะต้องทำก็คือ จะต้องเปลี่ยนความคิดที่จะเอาชนะแต่ฝ่ายเดียว ดิฉันเคยเจอบางคนเวลาพูดคุยอะไรกับใครก็พยายามโชว์ภูมิความรู้ ถ้ามีใครพูดขัดแย้งกับสิ่งที่เขารู้เขาก็จะเถียงแบบเอาเป็นเอาตาย โดยยกเหตุผลและข้อมูลต่างๆ มาเพื่อให้เขาเป็นผู้ชนะในการสนทนานี้
ซึ่งความคิดแบบนี้คงยากที่จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลได้ หากเป็นหัวหน้ากับลูกน้อง เราก็ไม่ควรคิดว่าเราเป็นหัวหน้า เพราะฉะนั้นเราต้องเหนือกว่าลูกน้องทุกเรื่อง บางคนชอบข่มหรือตำหนิลูกน้องต่อหน้าคนอื่น ทำให้ลูกน้องเสียหน้า หรือหากทำผิดก็ไม่ยอมรับผิด การแสดงอำนาจแบบนี้อาจทำให้เรารู้สึกดีแต่ลูกน้องจะรู้สึกแย่มาก แบบนี้ความสัมพันธ์ที่ดีก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเราส่งเสริมให้กำลังใจลูกน้องเรา เวลาลูกน้องมีผลงานก็ชม และบอกกับคนอื่นว่านี่คือผลงานของลูกน้องเราเอง เราก็จะสามารถชนะใจลูกน้อง หากภายหลังจะมอบหมายอะไรลูกน้องก็จะไว้เนื้อเชื่อใจเรา
หากเป็นเพื่อนร่วมงานแทนที่จะยกตนข่มท่านก็เปลี่ยนเป็นพูดเพื่อทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญ เป้าหมายของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก็คือดังนั้นต้องไม่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกแย่โดยที่เรารู้สึกดีอยู่ฝ่ายเดียว
• ทำความเข้าใจคนอื่นและไม่ด่วนตัดสิน
มีคำกล่าวที่ว่า “We judge ourselves by our intentions and others by their behavior” แปลเป็นไทยก็คือ คนเรามักตัดสินตัวเองจากความตั้งใจกระทำของเรา แต่ตัดสินคนอื่นจากการกระทำของเขา
คนเราส่วนใหญ่ต้องการให้คนอื่นเข้าใจเราว่าทำไมเราถึงทำแบบนั้น บางทีคนเข้าใจเราผิดเราก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เรากลับไม่ค่อยพยายามเข้าใจคนอื่น หลายๆ คนชอบเรียกร้องความเข้าใจและตัดสินคนอื่นโดยไม่ทันทราบสาเหตุที่แท้จริง เช่น “ทำไมลูกน้องไม่ทำงานตามที่สั่ง งานง่ายๆแค่นี้ก็ทำไม่ได้ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” หรือ “ทำไมเจ้านายชอบจู้จี้จุกจิกไม่รู้หรือไงว่าเรางานยุ่งจะตาย”
ที่จริงแล้วลูกน้องทำไม่ได้อาจจะเป็นเพราะเราสื่อสารไม่รู้เรื่องหรืออาจจะมีเรื่องไม่สบายใจ ถ้าเรายังไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนั้นเพราะอะไรแล้วลงมือดุด่าไป ก็มีแต่จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงกว่าเดิมได้ หรือเจ้านายจู้จี้อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นว่างานนั้นเป็นงานเกี่ยวกับเอกสารสัญญาซึ่งต้องอาศัยความละเอียด เพราะหากทำผิดพลาดไปก็จะเป็นผลเสียอย่างใหญ่หลวง
ถ้าอยากจะให้คนอื่นเข้าใจเรา เราจะต้องเข้าใจคนอื่นก่อน หลักการในการเข้าใจคนอื่นสำคัญที่สุดก็คือ การฟัง แต่ต้องเป็นการฟังอย่างเข้าใจ เหมือนประหนึ่งเราเป็นตัวของคนๆ นั้นอยู่ และตลอดเวลาในการฟังก็เป็นการฟังที่วางใจเป็นกลางโดยไม่ด่วนตัดสินคนที่กำลังเล่าให้เราฟังอยู่
เรื่องแนะนำ :
– เคล็ดลับความสำเร็จจาก Dr. Kazuo Inamori ผู้กอบกู้ Japan Airlines ให้พ้นวิกฤต
– เทคนิคพิชิตใจเจ้านายญี่ปุ่น
– บทเรียนจากมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของญี่ปุ่น Tadashi Yanai เจ้าของ Uniqlo
– ผู้หญิง (หรือผู้ชาย) ก็สวยขึ้นได้ด้วยการแต่งหน้า
– คนญี่ปุ่นมีสองหน้า
#ทีมเวิร์กแบบญี่ปุ่น