มาต่อกันในทริปเที่ยวจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) แบบสองวันกระทัดรัด แต่ได้ไฮไลท์ของจังหวัดนี้มาครองกันค่ะ วันนี้เรามาเริ่มเที่ยวที่ Mt. Rokko กันเป็นจุดแรกเลย
มาต่อกันในทริป เที่ยวจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo Prefecture) แบบสองวันกระทัดรัด แต่ได้ไฮไลท์ของจังหวัดนี้มาครองกันค่ะ
ตอนที่แล้ว เราพานั่ง Cable Car ไปยังสถานี Rokko Sanjo แล้ว และด้วยบัตร Rokkosan Tourist Pass ราคา 1,000 เยน ก็ทำให้เราไม่ต้องจ่าย Cable Car เพิ่มอีก แล้วยังสามารถนั่งรถโดยสารบนภูเขารกโกะนี้ (Rokko Sanjo Bus) ได้แบบ unlimited ตลอดทั้งวันอีกด้วย
งั้นเรามาเริ่มเที่ยวที่ Mt. Rokko กันที่จุดแรกเลย แม้จะเริ่มเย็นย่ำแล้วก็ตาม (สายชิลอ่ะนะ) ที่แรกที่เราไปกัน ก็คือ Rokko Alpine Botanical Garden จุดนี้เป็นส่วนพฤกษศาสตร์ที่เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 10.00 – 17.00 น. มีค่าเข้าชมอยู่ที่ 620 เยนสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนเด็กก็ครึ่งราคาจ้า ที่แวะมาจุดนี้ แม้บัตร Rokkosan Tourist Pass จะใช้เป็นส่วนลดไม่ได้ ก็เพราะว่านอกจากไม้ดอก ไม้ใบนานาพันธุ์แล้ว ในช่วงเดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่เราไปนั้น เป็นช่วงที่ ที่นี่มีใบไม้เปลี่ยนสีด้วยน่ะสิ เราเดินชมจุดหลักๆ ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ชมจุดนู้น ดูจุดนี้ ถ่ายรูปใบไม้น่าจะเปลี่ยนสี พอให้ชื่นใจ แล้วก็ไปออกเดินทางกันต่อ …เพราะเราไม่อยากไปจุดสุดท้ายที่ตั้งใจมาบนเขารกโกะค่ำเกินไปนัก ฤดูกาลอย่างนี้ห้าโมงเย็นก็เริ่มมืดแล้ว (><)
จาก Rokko Alpine Botanical Garden เราไปต่อกันที่ Rokko International Musical Box Museum* สถานที่ซึ่งนักท่องเที่ยวไทยหลายคนมองข้าม แต่สำหรับอิฉันแล้ว…มันคูลมั่กๆ มีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลาน มาเหอะ จะได้รู้จักกับความ Retro!! (มันใช่ไหมเนี่ย หุ หุ) ซึ่งจาก Botanical Garden เราจะรอรถ Rokko Sanjo Bus ก็ได้ (ถ้ารอไหว) นั่งรถไป 5 นาทีก็ถึง แต่ถ้าเดินไปไวกว่า 3 เอง 😉 เปิด 10.00 – 17.00 น. เหมือนกันจ้ะ โดยมีค่าเข้าชมอยู่ที่ 1,030 เยน ถ้ามีบัตร Rokkosan Tourist Pass ผู้ใหญ่จะเหลือ 820 เยน ส่วนเด็กก็ 510 เยนค่ะ
*เขามีบัตรคู่ด้วยนะ คือเป็นบัตรเข้า Rokko Alpine Botanical Garden + Rokko International Musical Box Museum ราคาผู้ใหญ่ 1,230 เยน ราคาเด็กก็ 620 เยน คุ้มหรือไม่คุ้ม..ก็แล้วแต่ แต่เขาจะจำหน่ายแค่กลางเดือนมี.ค. – กลางพ.ย. เท่านั้นนะ
ภายใน Rokko International Musical Box Museum จะมีโซนจำหน่ายของฝากของที่ระลึก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ Music Box ทั้งสิ้น แล้วก็ยังมีโซน ‘Musical Box Assembly Workshop’ ให้เราทดลองทำ Music Box ของตัวเอง นำกลับมาไปเป็นของที่ระลึกได้อีก แบบเบสิคก็อยู่ที่ 1,600 เยน (ใครมีเพลงที่อยากให้เขาแกะเป็น Music Box ก็ทำได้นะ แต่อันนี้ก็ต้องมีระยะเวลาให้เขา ตรวจสอบลิขสิทธิ์เพลง แกะเพลง ประกอบกล่องดนตรี ที่แน่ๆ เราจะได้ Music Box ในแบบที่เราชอบไว้ในครอบครอง) นอกจากนี้ ส่วนที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งคือ ‘Musical Box Concert’ อันนี้อยู่บริเวณชั้นสอง (ปกติจะจัดแสดงทุกชั่วโมง) Music Box แต่ละตัวก็มีเสน่ห์ไม่ซ้ำกัน สภาพแต่ละตัวยังดูดีอยู่มาก แม้จะมีอายุค่อนข้างมากแล้วก็ตาม ยิ่งตอนที่ตัวยักษ์เริ่มแสดงนะ OMG!! เท่ค่ะ บอกเลยว่าเพื่อนๆ ที่มา Rokko International Musical Box Museum นี่ ถ้าชอบก็คือชอบเลย ส่วนใครที่ไม่อินก็คงจะได้แค่ช้อปปิ้งของฝาก แต่ยังไงก็อยากให้มาลองดูกัน อุตส่าห์ขึ้นมาถึงบนเขารกโกะนี้แล้วทั้งที
ด้านหน้า Rokko International Musical Box Museum ในช่วงหน้าหนาว จะมีการทำหิมะเทียม เนรมิตเป็น Rokko Snow Park เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวมาก ไม่ว่าจะมาถ่ายรูปเล่น เล่นหิมะกันเบาๆ สไลด์นู่นนี่ โดยส่วนนี้จะมีค่าเข้าอยู่ที่ 1,600 เยน (09.00 – 15.30 น.) และ 2,100 เยน (16.00 – 21.30 น.) ส่วนเด็กก็ 1,050 เยน และ 1,550 เยน ตามลำดับ
ไปต่อกันที่จุดไฮไลท์ของเราบนภูเขารกโกะ Rokko Garden Terrace จุดนี้ถือว่าเป็นจุดรวมตัวของนักท่องเที่ยวที่มาเขารกโกะจุดหนึ่งเลยก็ว่าได้ ที่นี่เป็นประหนึ่งหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขา เราสามารถเดินเที่ยวชมได้ตลอดแนว Terrace ซึ่งมีร้านขายของที่ระลึกเก๋ๆ ร้านขนม ร้านกาแฟ และร้านอาหารมากมายให้เลือก (น่ากินทั้งนั้นเลยหล่ะ)
*ถ้าใครมีเวลาน้อย ก็ไปชมวิวใกล้ๆ สถานี Cable Car เลยก็ได้ จุดนั้นเรียกว่า “Tenran Observatory” หรือ10 million dollar view เห็นวิวงามงดเช่นเดียวกัน
ค่ำนี้เราฝากท้องไว้ที่ Rokko Garden Terrace นี่แหล่ะ โดยเลือกร้านเบสิคเลย Rokko View Palace ที่นี่มีลักษณะการให้บริการคล้าย Food Courts หรือโรงอาหาร (เปิด 11.00 – 21.00 น.) ความโดดเด่นของที่นี่คือรองรับแขกได้ในปริมาณที่มาก วิวก็เลอค่าเพราะกระจกใสที่ทำให้เราสามารถดื่มด่ำกับวิวได้อย่างเต็มที่ขณะที่ลิ้มรสอาหารไปด้วย
และที่สำคัญอาหารไม่ง่อยนะคะ อร่อยเลิศทุกอย่างที่เลือกมา โดยเฉพาะเมนูตามฤดูกาลเนี่ย เด็ดมาก ฟาดเรียบค่ะ ทั้งของคาวและของหวาน (^^)





ถ้าไม่ต้องทนยืนท้าทายความหนาวเพื่อชมความงดงาม รับรองว่าจะอยู่ให้นานกว่านี้แน่ๆ ฮะ ฮะ ที่ Rokko-Shidare Observatory เปิด 10.00 – 21.00 น. (หน้าหนาวปิด 18.00 น.) และมีค่าเข้านะคะ ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 200 เยน แต่ถ้ามีบัตร Rokkosan Tourist Pass ผู้ใหญ่กับเด็กจ่ายเท่ากันคือ 200 เยน
*เข้าจะละว่าทำไม เจ้าหน้าที่ที่ Cable Car ทักว่าแต่งตัวแบบนี้เอาอยู่เหรอ ก็ตอนอยู่ด้านล่างมันไม่หนาวเลยนี่คะ พอพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาเท่านั้นแหล่ะ เปิดเป้ คว้าเสื้อกันหนาว+ถุงมือ แทบไม่ทัน นี่มันเดือนตุลาคมแน่นะ!! มันหนาวจริงจัง กรุณาเตรียมตัวมาให้ดีๆ เชียว
เมื่ออิ่มตา อิ่มท้อง และทนความหนาวไม่ไหวแล้ว เราก็แล่นกลับไปที่สถานี Cable Car Rokko Sanjo นั่งกลับลงมาข้างล่าง ต่อรถเมล์ Kobe City Bus สาย 16 ไปที่สถานีรถไฟ แล้วมุ่งหน้าสู่ Arima Onsen แหล่งแช่น้ำแร่ออนเซ็นที่มีชื่อเสียงว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในเขตเมืองโกเบ ในจังหวัดเฮียวโงะเหมือนกันนี่แหล่ะ
Mt. Rokko
ที่ตั้ง : เมือง Kobe จังหวัด Hyoko (ขึ้นไปได้ 3 วิธี 1. Rokko Cable Car 2. Rokko Arima Ropeway 3. ขับรถ/แท็กซี่)
เปิดทำการ : ตลอดปี แต่เวลาเปิด-ปิดของแต่ละสถานที่ก็แล้วแต่ฤดูกาล
ค่าเข้าชม : ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
เว็บไซต์ : https://www.rokkosan.com/en/
เนื่องจากเราโยนกระเป๋าเสื้อผ้าทิ้งไว้ในล็อคเกอร์ที่สถานี Sannomiya จึงต้องกลับไปเอาก่อน ซึ่งก็ดี เพราะการต่อรถจากสถานี Sannomiya ไปสถานี Arima Onsen นั้นง่ายกว่านิดหน่อย เรานั่งใต้ดิน Kobe City Subway ไปสถานี Tanigami แล้วต่อ Shintetsu Arima/Sanda Line ไป ถ้าเปลี่ยนรถไฟบ่อยก็จะถึงเร็วขึ้น (ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง) แต่ถ้าเปลี่ยนที่ Tanigami หนเดียวก็นานหน่อย ประมาณ 45 นาที อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลารถไฟที่เราเลือกด้วยเน้อ ส่วนราคาก็ 930 เยนเท่ากัน ไม่ว่าจะแบบถึงช้าหรือถึงเร็ว
แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหน ไม่ได้มีสัมมาระต้องกลับไปเอาเหมือนอิฉัน แนะนำว่านั่ง Rokko Sanjo Bus ไปสถานีกระเช้า Ropeway Sancho Station แล้วนั่ง Rokko Arima Ropeway* ต่อไปยัง Arima Onsen เลย จะประหยัดเวลาได้อักโข และถ้าจะเดินทางแบบนี้ ก็มีบัตรพิเศษ ใช้นั่ง Rokko Cable Car (One-way) + Rokko Sanjo Bus (Unlimited) + Rokko Arima Ropeway (One-way)** ชื่อว่าบัตร “Rokko-Arima Katamichi Ticket” ราคาผู้ใหญ่ก็ 1,750 เยน ส่วนเด็กก็ 880 เยน (ปกติแค่ค่ากระเช้าเที่ยวเดียวก็ 1,010 เยนเข้าไปแล้วจ้า) บัตรนี้มีขายที่สถานี Rokko Cable Shita Station หรือที่ Rokko Arima Ropeway Arima Onsen Station
*ปกติ Rokko Arima Ropeway จะมีทุกๆ 20 นาที แต่กระเช้าเที่ยวสุดท้ายในช่วงหน้าหนาวคือ 17.10 น. ถ้าอย่างนั้นเพื่อนๆ จะพลาดจุดชมวิวกลางคืนเอาน่ะสิ แนะนำว่าถ้าอยากชมวิวกลางคืนด้วย ควรใช้เส้นทางตรงกันข้าม คือพักที่ Arima Onsen ก่อน แล้วค่อยมาเที่ยวที่ Mt. Rokko (ส่วนหน้าร้อนกระเช้าเที่ยวสุดท้ายจะหมดตอน 20.50 น.)
**ไม่รวมค่ารถเมล์สาย 16 เหมือน Rokkosan Tourist Pass นะคะ ก็เลือกใช้ตามที่เหมาะกับการเดินทางของเราได้
คืนนี้เราจะพักกันที่โรงแรม Arima Onsen Tosen Goshoboh พอไปถึงสถานี Arima Onsen จะโทรเรียกรถของโรงแรมมารับก็ได้หรือจะท้าความหนาว ประลองความสามารถ ลากกระเป๋าไปที่โรงแรมเอง ก็ประมาณ 10 นาที อันนี้ก็ตามอัธยาศัย แต่อิฉัน..เลือกความสะดวกและความสบายค่ะ ณ นาทีนี้ ฮะ ฮะ
ที่จริงวันแรกนี่เราไปไม่กี่ที่เองนะ คือกินเนื้อโกเบที่ร้าน Misono ต่อด้วยโรงงานสาเก Fukuju ที่นาดะ แล้วก็ไปตะลอนเที่ยวบนเขารกโกะ ชมวิวที่สวยเลิศติดอันดับ Top ของญี่ปุ่น เมื่อมาถึงที่พักชั้นดีในเมืองออนเซ็นชื่อดังอย่าง Arima Onsen ก็ขอพักผ่อน กันก่อนละกันนะคะ วันรุ่งขึ้นค่อยเดินชมเมืองออนเซ็นกันค่ะ
โรงแรม Arima Onsen Tosen Goshoboh (ภาพนี้ถ่ายตอนเช้านะ เพราะกว่าจะไปถึงก็มึดละ มัวแต่เที่ยวเพลิน ฮะ ฮะ) ที่ลานด้านหน้าเล็กๆ นี้มีความเท่อยู่อย่างหนึ่ง คือบนพื้นจะมีพื้นที่กลมๆ สีเหลืองๆ อยู่ ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกต แต่ตอนเช้า เห็นเขาเอารถจอดบนพื้นที่นั้น แล้วใช้รีโหมทสั่งให้พื้นหมุนเพื่อเป็นการกลับรถ เจ๋งอ่ะ
Goshoboh นั้น เป็นโรงแรมที่จัดว่าเก่าแก่มากแห่งหนึ่งของเมือง Arima Onsen สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1191 ช่วงต้นสมัย Kamakura โน่นแน่ะ* แต่เพิ่งผ่านการ rebranding มา สังเกตได้จากการตกแต่งที่ดูคลาสิคแต่ก็มีความร่วมสมัย ตัวอักษรที่ทำให้ดูย้อนยุคแต่แฝงไปด้วยดีไซน์ที่เก๋ไก๋ ด้วยความที่เจ้าของรุ่นปัจจุบันนั้นเพิ่งเลยคำว่าวัยรุ่นมาได้ไม่นานกระมัง แนวคิดต่างๆ ก็เลยไม่เชย หรือโบราณคร่ำครึจนไม่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ เลย
*ลองเปิดเว็บไซต์ของ Goshoboh เพื่ออ่านประวัติโรงแรม แต่สิ่งที่ได้นี่ อย่างกับนั่งอ่านประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเลยทีเดียว ฮะ ฮะ
เมื่อคืนนั้นเราเข้าพักกันตอนค่ำแล้ว มองไม่เห็นอะไร ทุกสิ่งอย่างมืดตื๊ดตื๋อ สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือรถสีเหลืองน่ารักของโรงแรม Goshoboh ที่ไปรับพวกเรามาจากสถานีรถไฟ โฮะ โฮะ
ห้องพักนั้นมีความเป็นส่วนตัวดีงามมาก มีประตูชั้นนอก ประตูชั้นใน มีห้องน้ำและห้องแต่งตัวที่เป็นสัดส่วน มีโต๊ะที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อเนกประสงค์ ค่อนข้างใหญ่มากในบริเวณโถงด้านนอก ในส่วนของห้องนอนนั้นก็สามารถกลิ้งได้หลายตลบ แถมยังมีระเบียงที่จัดเป็นห้องทำงานเล็กๆ พร้อมเก้าอี้นวดตัวเขื่อง เหอ เหอ … เห็นห้องพักแล้วอยากอยู่ต่อยาวๆ เลยทีเดียว
ตอนเช้าอิฉันจึงไปทำความรู้จักกับน้ำแร่ของเมืองนี้ด้วยการนอนแช่ในห้องออนเซ็นมาแล้ว แร่ธาตุหนาแน่นมากค่ะ สีของน้ำก็ดูค่อนข้างเข้มเป็นสีส้มทองอยู่สักหน่อย (พอออกมาเดินเล่นในเมือง จึงได้เห็นว่าน้ำแร่ตามจุดต่างๆ ของเมืองนี้ก็ค่อนข้างจะเป็นสีแบบเดียวกันหมด)
สำหรับอาหารเช้า ทางโรงแรมจัดให้พวกเราเป็นอาหารเซ็ตแบบญี่ปุ่นซึ่งมีเฉพาะพวกเราเท่านั้น แต่ที่บริเวณชั้นล่างก็จะมีห้องนั่งเล่น (ที่จริงเรียกว่าห้องสมุด) ซึ่งมีชา-กาแฟไว้ให้บริการ ใครติดคาเฟอีน ก็มาต่อที่ห้องนี้กันได้
เรามีเวลาเดินเล่นชมโรงแรมกันนิดหน่อย สวนสวยนะ มีแบ่งโซนสำหรับแขกที่เข้าที่พักห้องระดับสูงด้วย แต่เราขออนุญาตเขาเข้าไปถ่ายน่ะ เนื่องจากโดยปกติแล้วแขกที่เข้าพักห้องระดับเรา ไม่สามารถเข้าไปชมสวนโซนนี้ได้
Arima Onsen Tosen Goshoboh
ที่ตั้ง : 858 Arima-cho, Kita-ku, Kobe, Japan 651-1401 Tel. +81(0)78-904-0551
เว็บไซต์ : http://goshoboh.com/en/goshosanboh/
ในวันที่สองของเราในจังหวัดเฮียวโงะนี้ เราจะอยู่กันที่ Arima Onsen เมืองออนเซ็นที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นนี่แหล่ะค่ะ เดินเล่น ชิม ชม ช้อปไปเรื่อยๆ ค่ะ
เมืองนี้มีจุดแช่ออนเซ็นสำหรับแขกขาจรหลายแห่ง … อย่างเช่นที่ Gin-No-Yu ผู้ใหญ่ครั้งละ 550 เยน เด็ก 290 เยน (การเดินเที่ยวใน Arima Onsen นั้น ควรเอาผ้าขนหนูจากโรงแรมที่เราพักมาด้วย หรือถ้ามาแบบวันเดียวกลับ ก็เตรียมผ้ามาจากบ้านด้วยนะ) และสำหรับแฟนออนเซ็นโดยเฉพาะ เขามีราคาแบบเข้าได้หลายสถานที่ด้วยนะ แบบเข้าได้ 2 แห่ง จากราคา 1,200 เยน -> 850 เยน แบบเข้าได้ 3 แห่ง จากราคา 1,400 เยน -> 1,000 เยน ใครชอบโปรนี้ก็จัดกันได้
นอกจากนั้น Arima Onsen ยังมีหลายจุดที่เป็นจุดแช่เท้า เสียดายอยู่นิดๆ ที่ไม่ได้ไปนั่งแช่เท้าชิลๆ ที่สะพาน ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ของที่นี่ ขนาดใช้เวลาเดินเล่นอยู่ที่นี่ตั้งหลายชั่วโมง ยังเดินไม่ทั่วเลย ยังคงคอนเซ็ปสายชิลไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ฮะ ฮะ
นี่คือศาลเจ้า Tenjin Gensen ซึ่งเป็นจุดตาน้ำแร่ชื่อว่า “Kinsen” น้ำแร่ที่ได้จากตาน้ำแห่งนี้จะมีแร่เหล็กอยู่ในปริมาณมาก ไม่แพ้ Sodium Chloride ที่ส่งผลให้น้ำแร่จุดนี้มีความเค็มสูง และน้ำก็จะมีสีส้มอมน้ำตาลเมื่อถูกอากาศ สังเกตได้ว่านี่เป็นจุดดึงน้ำแร่ขึ้นมาจากใต้ดิน เพื่อแจกจ่ายไปใช้ในเมืองอาริมะออนเซ็นแห่งนี้ คุณลุงคุณป้านั่งในจุดที่ตัวเองชอบ..วาดรูปกันค่ะ (น่าจะมาเป็นชมรม) ดูมีสมาธิแน่วแน่กันมากๆ ไม่สนใจนักท่องเที่ยวหลากเชื่อชาติที่ส่งเสียงกันเจื้อแจ้วอยู่รอบตัวเลยค่ะ ท่านแน่กันจริงๆ
ใน Arima Onsen มีเขตที่เรียกว่า “Terada-cho” ซึ่งมีทั้งวัดและศาลเจ้าหลายแห่ง บริเวณนี้ขึ้นเชื่อว่าเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองนี้มาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ตามหลังคาวัดเก่าแก่ในบริเวณนี้จะมี Oni-gawara หรือกระเบื้องมุงหลังคารูปหน้าปีศาจอยู่ เป็นเครื่องรางป้องกันวิญญานชั่วร้ายไม่ให้ย่างกรายเข้ามา ดังนั้นนอกจากจะแช่ตัวอุ่นๆ ด้วยน้ำแร่คุณภาพดี ช้อปปิ้งของฝาก ลิ้มลองอาหารตามร้านต่างๆ แล้ว ก็อย่าลืมแวะมาในโซนศักดิ์สิทธิ์ มาสักการะบูชาแต่ละวัด แต่ละศาลเจ้า เพื่อความเป็นสิริมงคลกันด้วยนะ
บริเวณนี้มีวัดหลายวัดจริงๆ อย่างนี้วัด Gokuraku-ji สร้างขึ้นตั้งแต่ค.ศ. 594 (เก่าได้อีก) กล่าวกันว่าเป็นที่เก็บอ่างแช่น้ำแร่ของ Toyotomi Hideyoshi ^^
ใกล้ๆ กันมีอีกวัด (ใกล้แค่ไม่กี่ก้าวจริงๆ) นี่คือวัด Nenbutsu-dera สร้างขึ้นในค.ศ. 1539 กล่าวกันว่าเป็นที่เก็บศพของ Nene ภรรยาของ Toyotomi Hideyoshi ภายในมีสวนมอสที่มีต้นไม้เก่าแก่อายุกว่า 270 ปี อยู่ด้วย งามนะ เงียบสงบ วิวก็สวย เหมาะกับการนั่งปฏิบัติธรรมจริงๆ
Arima Onsen
ที่ตั้ง : เมือง Kobe จังหวัด Hyogo
เว็บไซต์ : http://visit.arima-onsen.com/
หลังจากเดินเล่นในอาริมะออนเซ็นไปซะครึ่งวัน เราก็นั่งรถย้อนกลับไปที่สถานี Sannomiya (เป็นไงล่ะ..คราวที่แล้วบอกให้จำชื่อสถานีนี้ไว้ให้ดี เพราะว่าเป็นจุดเปลี่ยนรถสำคัญ แค่ 2 วัน แวะมากี่รอบแล้วเนี่ย 555) จากนั้นเราก็ต่อรถไฟของ JR ยาวๆ ไปที่สถานี Himeji เลย จากสถานี Arima Onsen ไป ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ราคาก็ 930 เยน (ย้อนมา Sannomiya) + 970 เยน (ไปต่อที่ Himeji) ณ จุดนี้อยู่นอกเมืองโกเบแล้ว แต่ยังอยู่ในจังหวัดเฮียวโงะ ระหว่างทางเราจะเห็นสะพานอาคาชิไคเคียว (Akashi Kaikyo Bridge) ที่มีชื่อเสียง ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดเฮียวโงะ กับเกาะอาวาจิ ของจังหวัดโทขุชิม่าด้วย อลังฯ ค่ะ
แล้วเรามาทำไมกันที่สถานี Himeji …ใครเดาไม่ออก จะบอกให้ (^^)
เราจะมาเที่ยวปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle) ปราสาทที่เรียกได้ว่าเป็น No.1 ของปราสาทในญี่ปุ่น ที่คนอยากมาเที่ยวชมมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ที่นี่เป็นมรดกโลกด้วยนะ และเพิ่งได้รับการบูรณะขนานใหญ่ (แต่ก็มีบางจุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการบูรณะ) พอรื้อนั่งร้านออกไป นักท่องเที่ยวที่ปกติก็เยอะอยู่แล้ว ช่วงที่เราไปก็ยิ่งเยอะมหาศาล เรียกได้ว่าเป็นการเข้าชมปราสาทที่ไหลไปตามฝูงชนกันเลยทีเดียว ขอยกอันดับหนึ่งความ..คนเยอะ ให้ปราสาทแห่งนี้กันเลยทีเดียว
ตอนไปถึงสถานี Himeji เราไม่อยากพลาดในการเข้าชมปราสาท (เพราะใกล้เวลาที่จะปิดการให้เข้าชมปราสาทในวันนั้นแล้ว) จึงกินมื้อกลางวันในเวลาที่บ่ายมากแล้วกันด้วยข้าวปั้นง่ายๆ ก่อนจะเดินลิ่วๆ ตากฝนที่ตกปรอยๆ ไปยังบริเวณปราสาทฮิเมจิ
สำหรับวิธีเดินทางไปนั้น คงไม่ต้องอธิบายกันให้มากความ เดินออกจากสถานีมาก็เห็นปราสาทตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่สุดถนน เดินตรงไปก่อนเลย ยังไม่ต้องสนใจถนนช้อปปิ้งที่หลอกล่ออยู่ตรงหน้าสถานี เดี๋ยวขากลับค่อยมาจัดกันก็ได้ เรื่องช้อปรอได้ แต่ปราสาทจะปิด เค้าไม่รอ (><)
ปราสาทฮิเมจินั้น ถูกบันทึกให้เป็นสมบัติของชาติ และยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกมาตั้งแต่ค.ศ. 1993 สร้างขึ้นมากกว่า 400 ปีแล้ว จุดประสงค์ในการสร้างนั้นก็เพื่อเป็นที่หลบภัยให้ราชวงศ์ จึงเป็นปราสาทที่มีความมั่นคงแข็งแรง เป็นที่เกรงขามต่อศัตรู ทุกอาคาร ซุ้มประตู แม้กระทั่งทางเดินถูกสร้างขึ้นอย่างมีนัยยะ เพื่อไม่ให้ศัตรูสามารถเข้าถึงปราสาทชั้นในได้โดยง่าย เรียกได้ว่าพร้อมรบเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ปราสาทแห่งนี้ยังไม่เคยทุกรุกรานอย่างจริงๆ จังๆ เลย เชื้อพระวงศ์ทั้งหลายก็แทบไม่ค่อยได้ย่างกรายเข้าไปยังตัวปราสาทชั้นใน ต่างก็พำนักกันในเรือนพักปกติด้านนอก…ซะงั้น แต่ก็ต้องกันไว้ดีกว่าแก้เนอะ
ปราสาทฮิเมจิ มีชื่อเล่นว่า “ปราสาทนกกระสาขาว” เนื่องจากภายนอกของปราสาทเป็นสีขาว และหลังคาแต่ละชั้น ก็มีลักษณะคล้ายนกสยายปีกนั่นเอง
ด้วยความที่เป็นปราสาทญี่ปุ่นที่ยังคงมีความสมบูรณ์ แล้วยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอีก ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศจึงหลั่งไหลมาเยี่ยมกันปราสาทแห่งนี้ปีละเป็นจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งต้นซากุระกว่า 1,000 ต้นผลิดอก แล้วมีฉากหลังเป็นปราสาทสีขาว ยิ่งเป็นภาพที่ท่องเที่ยวอยากมาเห็น
ด้านในปราสาทนั้น ตอนที่ไปนักท่องเที่ยวเยอะราวกับงาน Expo และค่อนข้างมืด เพราะคอนเซ็ปของการอนุรักษ์ จะมีการเดินสายไฟไว้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่คอยดูแลนักท่องเที่ยวจึงมีค่อนข้างเยอะ นั่นเป็นเหตุให้หาภาพถ่ายงามๆ ของด้านในปราสาทมาฝากไม่ได้เลย (><) ด้านในยังคงความเก่าแก่ แต่อนุรักษ์ไว้ได้อย่างดี กะด้วยสายตาแล้ว กว่า 50% ของที่นี่ยังคงเป็นของเดิมจากเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ถือว่าสมบูรณ์แบบมากๆ ทีเดียว แค่ภาพด้านนอกก็สวยงามคุ้มค่าแล้ว ด้านในปราสาท (ซึ่งแทบไม่มีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้เหมือนปราสาทแห่งอื่นๆ เลยก็ตาม) ถ้ามีโอกาสได้มาในบรรยากาศที่คนน้อยกว่านี้ เชื่อว่าจะยิ่งคุ้มค่ากับการมาเยือน มาเหอะ.. ดีงาม บอกเลย 😉
Himeji Castle
ที่ตั้ง : 68 Honmachi, Northside of Sannomaru Plaza, Himeji-shi, Hyogo 670-0012
เปิดทำการ : 09.00 – 17.00 น. (ฤดูร้อนเปิด 18.00 น.) *กรุณาเข้าไปภายใน 1 ชม. ก่อนปิดทำการ / หยุดวันที่ 29 – 30 ธ.ค.
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 1,000 เยน เด็ก 300 เยน
เว็บไซต์ : http://www.city.himeji.lg.jp/guide/castle/
เราสามารถนั่งรถไฟของ JR ปรู๊ดเดียวกลับถึงสถานี Osaka ได้เลย ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ในราคา 1,490 เยน หลับยาวไปเลยค่ะ ถ้าเพื่อนๆ คนไหน ไม่เรื่อยเฉื่อย ชิล ชิม ช้อป แบบผู้เขียน รับรองว่ามีเวลาเหลือให้ไปช้อปต่อที่โอซาก้าแบบสบายๆ
จบล่ะ ทริปเที่ยวจังหวัดเฮียวโงะในสองวันของเรา ได้ไฮไลท์สำคัญๆ ของจังหวัดนี้มาแน่นอน แต่ถ้าจะให้เที่ยวครบ จบกระบวนความในจังหวัดนี้จริงๆ แนะนำว่าต้องมาอยู่สักเดือน ฮะ ฮะ ก็แต่ละจังหวัดในญี่ปุ่น เขามีมุมน่าสนใจที่หลากหลาย แล้วก็นำมาเป็นจุดขาย สร้างเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมได้เพียบ ถ้าหลงรักจังหวัดนี้จริงๆ ก็เชื่อว่าเพื่อนๆ จะกลับมาเก็บตกส่วนที่เหลืออย่างแน่นอน เราก็จัดกันไปตามเวลาที่มีเนอะ เวลามากก็เที่ยวมาก เวลาน้อยก็เที่ยวน้อย เราไม่สามารถยัดทุกสถานที่ที่เราอยากไป ใส่ไว้ได้ในวันเดียวหรือในทริปเดียวหรอก ชอบก็มาใหม่ รักก็มาเก็บตกให้ครบ …
อย่างไรก็หวังว่า การเดินทางสองวันในจังหวัดเฮียวโงะนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะคะ แล้วติดตามกันใหม่ทริปหน้า …ครั้งนี้ขออำลาไปด้วยภาพของปราสาทฮิเมจินะคะ ลากันแต่เพียงเท่านี้ จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ (^^)/
เรื่องแนะนำ :
– รีวิวเที่ยว Hyogo สองวันก็เอาอยู่ (1) : เนื้อโกเบ เหล้า และภูเขา Rokko