15 ปีหลังเหตุการณ์รถไฟตกรางที่ญี่ปุ่น…เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความสูญเสีย รถไฟ JR วิ่งเข้าทางโค้งแต่ด้วยความเร็วรถที่สูงจนเกินไป ทำให้รถไฟแหกโค้งออกจากราง พุ่งเข้าชนแมนชั่นมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 107 คน
แม้นสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ต้องยกเลิกการจัดงานเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์อุบัติเหตุรถไฟตกรางที่เมืองอามากะซาคิ (尼崎)
แต่ผู้คนก็ยังคงพนมมือไหว้อยู่คนเดียว เพื่อรำลึกถึงอีกคนที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง
วันนั้นเป็นวันที่ 25 เมษายน 2005
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นความสูญเสีย รถไฟ JR สายทาคาราซึกะ วิ่งเข้าทางโค้งแต่ด้วยความเร็วรถที่สูงจนเกินไป ทำให้รถไฟแหกโค้งออกจากราง พุ่งเข้าชนแมนชั่น
มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 107 คน
มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 562 คน
คุณอะซะโนะ จิซึโกะ (浅野千通子) เมื่อ 15 ปีที่แล้ว วันนั้นเธอขึ้นรถไฟขบวนนั้น ตู้ที่ 2 มีที่ว่างอยู่ ปรกติเธอไปทำงานด้วยรถบัสแต่เผอิญวันนั้นรถบัสมาช้า
เวลา 9 โมง 18 นาที รถไฟตกรางบริเวณใกล้ๆ สถานีอามากะซาคิ
รถตู้ที่ 2 งอเป็นตัวอักษร V คุณอะซะโนอยู่ข้างล่างถูกทับจากคนอื่นซ้อนกันข้างบน
คุณอะซะโนะ กล่าวว่า
“ณ ตรงหน้าฉัน มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งทับฉัน ฉันพยายามตะโกนบอกว่า ‘อย่าขยับนะ ถ้าเธอขยับละก็ ฉันตายแน่ๆ’ แต่แรงของเขาเยอะมาก ฉันหายใจไม่ออก ไม่มีเสียงดังออกมา”
“นี่หรือคือจุดจบของฉัน” เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวของคุณอะซะโนะ ทันใดนั้นแรงของเด็กหนุ่มคนนั้นก็ผ่อนคลายสลายไป
“ฉันเลยรับรู้ว่า ‘เขาคงตายไปแล้ว’ ความคิดต่อมาของฉันคือ ‘ดีจัง หายใจออกสักที ดีใจจัง’ ฉันคิดแบบนั้นจริงๆ ทั้งๆ มีคนตายอยู่ต่อหน้าต่อตาแต่ฉันก็ดีใจ ฉันคิดแต่เรื่องของตัวเอง ด้วยเรื่องนี้มันสร้างความเจ็บปวดภายในตัวฉันตลอดมา”
คุณอะซะโนะ กระดูกหักทั้งหมด 14 ที่ และมีอาการ PTSD (Post Traumatic stress disorder) หลงเหลือจากเหตุการณ์นั้น
คุณอะซะโนใช้ชีวิต แต่งงานมีลูกชาย
เธอได้โอกาสมากล่าวเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอต่อพนักงานบริษัท JR East สิ่งที่เธอฝากไว้กับคนที่ทำงานรับฝากชีวิตผู้โดยสารทุกคนไว้ว่า
“ความปลอดภัยไม่ควรมีพื้นฐานมาจากความหวาดกลัว ถ้าหากเป็นฉันละก็ ฉันอยากจะปกป้องลูกชายของฉันที่อยู่บนขบวนรถ อยากจะให้มันปลอดภัย อยากให้เป็นความปลอดภัยที่อยู่บนพื้นฐานของความรัก มันจะดีมากเลยหากความรู้สึกแบบนี้ซึมซับอยู่ในตัวเราทุกคนๆ”
คุณฮายาชิ โคคิ (林浩輝 ) สูญเสียขาทั้งสองข้างจากอุบัติเหตุ ผ่านเวลามา 15 ปี และเอาชนะอุปสรรคต่างๆ จนปัจจุบันเป็นพนักงานในบริษัทมีลูกน้อง
ช่วงเหตุการณ์อุบัติเหตุนั้น คุณฮายาชิยังเป็นนักศึกษาปีสอง ขึ้นรถไฟตู้ที่หนึ่ง จับราวรถไฟ มองออกไปนอกหน้าต่าง และแล้วก็มีแรงกระแทกทำให้ขาของเขาลอยจากพื้น มองเห็นหน้าต่างอยู่ในแนวเอียง แล้วรถไฟก็พุ่งเข้าไปชนในแมนชั่น
“แม้นเป็นเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ผมก็จำมันได้เป็นฉากๆ”
สิ่งที่หลงเหลือในความทรงจำคือ เสียงไซเรน กลิ่นก๊าซ เสียงร้องของผู้คน มีเศษแก้วทิ่มตำที่หน้าอกเขาขบวนรถไฟกดทับที่ส่วนล่างของร่างกายเขาจนเขาไม่มีความรู้สึกอันใด เขาได้รับการช่วยเหลือเมื่อ 22 ชั่วโมงผ่านไป แต่สติของเขายังอยู่คู่กับเขามาตลอด
คุณฮายาชินอนหลับยาวนานมาถึงสองสัปดาห์หลังจากได้รับการเข้ารักษาในโรงพยาบาล เมื่อลืมตาตื่นและค้นพบว่าขาทั้งสองข้างถูกตัดทิ้ง
“ผมเข้าใจในสถานการณ์ แต่หัวใจผมมิอาจรับมันไว้ได้”
แต่ด้วยหัวใจที่อยากเป็น Business person ที่ขยันขันแข็งอย่างเช่นคุณพ่อของเขา คุณฮายาชิเลือกที่จะไม่ใช้ Quota คนพิการ และสมัครในตำแหน่งที่เหมือนคนปรกติทั่วไป แน่นอนว่าในการทำงานช่วงแรก เขาก็ต้องรู้สึกท้อถอยเมื่อพบว่าตามสถานที่ที่ไม่มีลิฟท์และต้องใช้บันไดเท่านั้นเวลาตอนไปพบลูกค้าหรือไปกินข้าวกลางวัน เขาต้องอาศัยรุ่นพี่ให้ช่วยยกรถเข็นให้เขา
คุณฮายาชิตั้งคำถามกับตนเอง
“คนที่มีอุปสรรคอย่างเราอะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้”
เขาเฝ้าเพียรตอบคำถาม จนปัจจุบันก็ทำงานอยู่ที่บริษัทลูกของบริษัทประกันภัยชั้นนำของญี่ปุ่น Nippon Life เป็นหัวหน้าในแผนกมีลูกน้อง
เหตุการณ์ผ่านมาได้ 15 ปีแล้ว
ผู้คนที่อยู่นบนรถไฟ ผู้คนที่เดินผ่านตรงทางรถไฟ ยกมือพนมไหว้ระลึกถึงผู้สูญเสียชีวิตในครั้งนั้น
15 ปีที่ผ่านมา เราอยู่ในโลกนี้ที่ดีขึ้นกว่าเดิมหรือเปล่า เรามีความปลอดภัยในชีวิตมากขึ้นหรือเปล่า
การมีชีวิตอยู่นั้นมีความตายอยู่เคียงข้างเราอยู่เสมอ เส้นบางๆ เส้นนั้นเราอาจก้าวข้ามไปได้โดยไม่รู้ตัว
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ต้องใช้ชีวิตในวันนี้ให้ดีที่สุด
ทักทายพูดคุยกับวสุ ได้ที่ >>> Facebook Wasu’s thought on Japan
เรื่องแนะนำ :
– คนญี่ปุ่นไม่คล่องอังกฤษทำงานไทยไม่ลำบาก
– Essay : ญี่ปุ่น Work from home และการตัดสินใจให้ไวขึ้น
– COVID-19 ที่ญี่ปุ่น ณ วันที่ 29 มีนาคม 2020
– อ่านอยู่บ้าน “สังหารจอมทัพอัศวิน” นวนิยายมุราคามิเล่มใหม่
– ที่มาของคำว่า 元気 [เกงคิ] “สบายดี”
อ้างอิง
– https://www.kobe-np.co.jp
– https://headlines.yahoo.co.jp
– https://www.nikkei.com