![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนารท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธใน www.marumura.com

การสู้รบของทหารบนเกาะโอกินาวาปราการด่านสุดท้ายของญี่ปุ่นถึงที่สุดแล้วก็โหดร้ายทารุณไม่แตกต่างจากการรบทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่เรื่องราวที่น่าสนใจกลับเป็นชะตากรรมของชาวโอกินาวาชายหญิงเด็กและคนชราจำนวนมาก
บันทึกของ โทมิโกะ ฮิกะ “THE GIRL WITH THE WHITE FLAG” ที่ ฉัตรนคร องคสิงห์แปลเป็นไทย “เด็กหญิงผู้ชูธงขาว”
ตอนนั้นโทมิโกะเพิ่งมีอายุได้ 7 ขวบ ต้องหลบหนีภัยสงครามไปกับพี่สาว 2 คน โชคุยุกับฮัทสึโกะและพี่ชายอีก 1 คนคือนินี่ และต่อไปนี้คือบางตอนของบันทึก…
“ภาพหนึ่งที่ฝังลึกอยู่ในสมองลบอย่างไรก็ไม่ออก และทำให้ฝันร้ายจนถึงปัจจุบัน คือภาพที่เกิดขึ้นประมาณ 1 – 2 วันหลังเราออกจากมากาเบะ เป็นภาพผู้หญิงนอนอยู่กับพื้น เธอถูกเศษกระสุนปืนใหญ่ เลือดหลั่งไหลออกมาจากหน้าอก และก็ที่หน้าอกนั้นเองมีทารกอายุสักหนึ่งขวบเห็นจะได้กำลังเกาะกอดดูดกินเลือดอยู่ ภาพนั้นฝังตรึงอยู่ในใจ พอทารกน้อยยื่นมือออกมาหาเรา
ราวจะร้องว่า “อุ้ม…อุ้ม!” แม้แต่สองมือน้อยๆ นั้นก็เปื้อนเต็มอยู่ด้วยคราบเลือดของผู้เป็นแม่ แต่เราเด็กๆ ทั้งสี่ที่มุ่งมั่นจะไปให้พ้นจากตรงนั้น ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ …เพราะทั่วทั้งบริเวณมีแต่คนบาดเจ็บอยู่เต็มไปหมด มีอยู่จำนวนมากที่ร่างท่วมด้วยเลือดกรังร้องขอความช่วยเหลือ”
สี่พี่น้องซมซานต่อไป…
“เราคลานสี่ขาผ่านดงไม้หนาทึบเข้าไปจนถึงพื้นที่ค่อนข้างราบเรียบและคิดว่าตรงนี้คงใช้ได้ และแล้วทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงระเบิดดังอยู่ถัดไป และมีร่างใครคนหนึ่งกลิ้งลงมาในสภาพไฟลุกท่วมตัว เขาโดนระเบิดเพลิงเข้าไปนั่นเอง เมื่อเห็นอย่างนั้น พี่โยชิโกะเลยตัดสินใจว่าเราควรออกไปจากเนินเขานี่และลงไปที่ชายฝั่งทะเลดีกว่า
“เร็วเข้า…โทมิโกะ…เราต้องขุดหลุมเอาไว้นอน” โชคุยุเร่ง ขณะตัวเองเริ่มใช้มือสองข้างขุดทราย ซึ่งฉันก็ทำตามตัวอย่างที่เห็นทันที ในที่สุดเราก็ได้หลุม หรือความจริงน่าจะเรียกว่าแอ่งมากกว่า แอ่งนั้นใหญ่แค่ให้พี่นีนี่กับฉันนั่งชนกันได้เท่านั้นเอง ทั้งแคบและตื้นเกินกว่าจะนอนได้ เราเลยได้แต่นั่งติดกัน ยืดขาไปข้างหน้า หลังพิงด้านข้างของแอ่งไว้ ฉันพิงหัวไว้กับไหล่พี่นีนี่แล้วหลับพักไป ส่วนพี่เขาก็ขึงผ้ามาห่มให้ โดยใช้มือที่ดึงผ้านั้นโอบไหล่ฉันไว้ด้วย พี่สาวทั้งสองหลับอยู่ในแอ่งที่ช่วยกันขุดข้างๆ แอ่งเรา ขณะเดียวกัน กระสุนปืนใหญ่และปืนกลก็ลอยมาตกใกล้ๆ บ้าง ไกลบ้าง ชนิดไม่เลิกรา ถ้าเรามัวเป็นกังวลกับกระสุนพวกนี้ เราคงไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่เราทำใจเสียแล้วกับความกลัวการโจมตีของข้าศึก
แต่ดูเหมือนเราหลับไปได้แป๊บเดียว ก็มีทหาร 5 – 6 นายโผล่เข้ามาพลางร้องด้วยเสียงอันดัง “ออกไป! ออกไป!” เดี๋ยวก็จะมาสู้กันตรงนี้แล้ว รีบไปที่อื่นเร็วๆ!”
ฉันรีบเขย่าให้พี่นีนี่ตื่น แต่พี่เขาไม่ทำท่ารับรู้ใดๆ หลับง่ายจริงๆ…ฉันคิด แต่แล้วก็เห็นว่าพี่เขาหลับไปโดยที่ตาทั้งสองข้างยังเบิกกว้าง “พี่นีนี่!” ฉันร้องเรียกพี่ฮัทสึโกะ “พี่นีนี่หลับแต่ยังลืมตา!” ตอนนี้พี่โยชิโกะรีบเข้ามาและร้องเรียกนีนี่ “โทคุยุ! โชคุยุ!“ แต่พี่นีนี่ยังคงนั่งเบิกตากว้างอยู่อย่างนั้น
พี่โยชิโกะดึงผ้าที่นีนี่ใช้คลุมหัวออก จึงได้เห็นว่าหัวของพี่มีรูโบ๋ มีเลือดไหลออกมาท่วมหัวและไหลลงไปจนถึงแผ่นหลัง เราสามคนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งมึนงงกันอยู่รอบๆ พี่นีนี่อย่างนั้น ในที่สุดพี่สาวสองคนจึงผลัดกันเข้าไปกอดพี่นีนี่แล้วร้องไห้ออกมา แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่าพี่นีนี่ตาย และไม่เข้าใจด้วยว่าพี่ๆ ร้องไห้กันทำไม “พี่นีนี่ก็แค่นอนหลับ…” ฉันพูด “แต่ลืมตาไว้” นอกจากนั้นตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา เนื้อตัวของพี่เขายังอุ่นอยู่เลย ฉันมาได้คำอธิบายภายหลังว่า กระสุนนัดหนึ่งคงพลัดเข้ามาโดนหัวพี่นีนี่ทำให้เสียชีวิตทันที ตอนนั้นหัวของฉันกับของพี่อยู่ห่างกันไม่เกินแปดนิ้ว แล้วทำไมโชคชะตาถึงกำหนดให้ฉันรอด ในขณะที่พี่นีนี่ต้องตาย ทำไม่ชะตาถึงโหดอย่างนี้…
พี่สาวสองคนหันมาจับตัวพี่นีนี่ให้ค่อยๆ ลงนอนในแอ่งที่ฉันกับพี่ชายเพิ่งจะนั่งด้วยกัน แล้วเอาทรายกลบตัวพี่ พอพี่ทั้งสองคนกลบทั้งตัวพี่นีนี่จนเหลือแต่เฉพาะที่หน้า ฉันวิ่งเข้าไปและพยายามจะปิดตาให้พี่ชาย ถึงตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าพี่ตายจริงๆ แต่ฉันก็รู้ด้วยว่าพี่นีนี่คงไม่อาจนอนหลับได้สนิท หากดวงตายังเปิดอยู่อย่างนั้น แต่ฉันบังคับให้ตัวเองปิดตาพี่ไม่ได้ เพราะแก้มของเขายังอุ่นอยู่เลย ในที่สุดพี่โยชิโกะต้องเป็นคนทำให้
“ลาก่อนค่ะ…พี่นีนี่…” ฉันบอกพลางพนมมือไหว้หลังจากตาของพี่ปิดลง ส่วนพี่ฮัทสึโกะโถมตัวไปกอดพี่นีนี่ไว้แล้วร้องไห้ออกมา”
แล้วหนูน้อยก็พลัดหลงกับพี่สาวทั้งสองของเธอ…
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com