หลังจากที่สองสัปดาห์ก่อนผมได้พูดถึง เรื่องของ “ดัมพ์ มัตสึโมโตะ” นักมวยปล้ำตัวร้ายร่างใหญ่ขวัญใจคนไทย (รุ่นใหญ่) ทั้งประเทศ จนเกิดเสียงเรียกร้องมาให้เขียนเรื่องราวของนักมวยปล้ำคนอื่นๆในยุคเดียวกัน บ้าง ดังนั้นวันนี้ผมจึงนำบทความเกี่ยวกับ “ไลออนเนส อาสึกะ” ครึ่งหนึ่งของแทคทีมชื่อดังแห่งยุค “ครัช เกิร์ล” ซึ่งเธอจับคู่กับ “ชิงุสะ นากาโยะ” ผมมั่นใจว่าเรื่องราวที่ทุกท่านจะได้อ่านกันต่อไปนี้ ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน ดังนั้นสำหรับแฟนๆ marumura และแฟนมวยปล้ำชาวไทยโดยเฉพาะครับ

“ไลออนเนส อาสึกะ” เกิดในวันที่ 28 กรกฏาคม ปีโชวะที่ 38 (1963) ในชื่อว่า “เด็กหญิง โทโมโกะ คิตามูระ” เป็นเด็กที่รูปร่างอ้วนมาก และร่างกายก็ไม่ค่อยสมบูรณ์สักเท่าไหร่ จนหลายคนคิดว่าเธออาจจะมีความผิดปกติทางสมองและคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน นั่นเพราะตอนที่เธอเกิดมา เธอแทบจะไม่ร้องไห้ พอโตขึ้นมาก็ไม่ค่อยพูด เข้าโรงพยาบาลบ่อย รวมถึงเธอยังมีเรี่ยวแรงน้อยกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันอีกด้วย
หลายๆ คนกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเธอมากครับ เพราะการตรวจแต่ละครั้ง ทีมแพทย์ก็ไม่เคยเจออะไรผิดปกติเลย แต่ร่างกายของเธอกลับไม่ดีขึ้นตามไปด้วย จนสุดท้ายทีมแพทย์มองว่ามันอาจเป็นเรื่องของ “ความมั่นใจในตนเอง” ก็ได้ เนื่องจากสังคมญี่ปุ่นในสมัยนั้น (และอาจเรื่อยมาจนถึงตอนนี้) ยังมีลักษณะของการแบ่งแยก กีดกัน ตลอดจนการล้อเลียนในปมด้อยของผู้อื่น ซึ่งอาจนำไปสู่การ “ยอมแพ้ทางใจ” ส่งผลให้สภาพร่างกายในส่วนอื่นของเธอย่ำแย่ตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามตอนเธอมีอายุได้ 3 ขวบ ร่างกายเธอก็ทรุดลงเรื่อยๆ ทรุดลงจนต้องเข้ารับการรักษาอย่างหนัก โดยผลตรวจออกมาว่าเธอมีปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อบริเวณลำคอ ซึ่งส่งผลต่อประสาทส่วนอื่นๆ อาการป่วยนี้ทำให้เธอต้องนอนอยู่โรงพยาบาลนานกว่าครึ่งปีเลยทีเดียว แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ อาการของเธอจะทรุดลงทุกครั้งเมื่อมาอยู่โรงพยาบาล แต่จะดีขึ้นทุกครั้ง เมื่อทีมแพทย์อนุญาตให้เธอกลับไปพักฟื้นที่บ้านในระยะเวลาสั้นๆ หรือออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆ … หรือว่าจริงๆ แล้ว เธอจะเป็นคนขี้เหงากันนะ?

แต่ความสุขของการอยู่บ้านเนี่ยล่ะคือปัญหาสำคัญของเธอ เนื่องจากเธอไม่ยอมกลับโรงพยาบาล โดยหวังว่าอาการของเธอจะดีขึ้นเอง ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ อาการของเธอทรุดหนักลงจนแพทย์ต้องให้ยาหลายขนานมากิน และนั่นก็นำไปสู่ “SIDE EFFECT” เป็นผลข้างเคียงที่ทำให้น้ำหนักของเธอพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่อ้วนอยู่แล้ว ก็กลายเป็นอ้วนมากขึ้นไปอีก และมันก็กลายเป็นความอับอายของเธอในเวลานั้น
อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นว่า “คนที่มีปมด้อย” เมื่อถูกล้อเลียนบ่อยๆ ก็จะยิ่งอับอาย และเก็บตัวมากขึ้น เรื่องก็คือจริงๆ แล้วก่อนที่เธอจะหันมาเป็นนักมวยปล้ำ “เธอเกลียดมวยปล้ำมาก”… ลองคิดดูสิ ว่าถ้าคุณเป็นเด็กอ้วนคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเป็นปมด้อย แล้วมีคนมาบอกว่า “อ้วนๆ อย่างเธอ ไปเล่นมวยปล้ำเถอะ”… สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากสวยอยากน่ารัก การถูกไล่ไปเล่นมวยปล้ำมันน่าเศร้ามากเลยนะ
แต่อยู่ดีๆ เธอก็ได้เห็นการแข่งขันมวยปล้ำทางโทรทัศน์ และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่เธออยากจะทำลาย “คำล้อเลียน” ต่างๆ ที่ถูกด่าท่อมาตั้งแต่เด็ก เธออยากจะเปลี่ยน “เรื่องตลก” ให้กลายเป็น “เรื่องที่น่าภาคภูมิใจ” อยากจะเอาชนะตัวเองให้ได้ นั่นคือสาเหตุที่เธอเริ่มเข้าฝึกมวยปล้ำอย่างลับๆ…

แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นเพราะพ่อแม่ของเธอ ปฏิเสธการเป็นนักมวยปล้ำอย่างเห็นได้ชัด พวกท่านเข้าไปบอกอาจารย์ให้มาห้ามเธออย่างเด็ดขาด เพราะความกังวลเรื่องสภาพร่างกายที่ไม่ดีมาตั้งแต่วัยเด็ก เหตุนี้เธอจึงต้องเลิกล้มความคิดที่จะเป็นนักมวยปล้ำ และหันไปเล่นเบสบอล โดยคิดว่า อย่างน้อยเธอก็จะได้ฝึกร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อหาโอกาสเป็นนักมวยปล้ำ ในอนาคต ถึงแม้เธอจะไม่เคยอยากเป็นนักเบสบอลเลยก็ตาม…
แต่แล้วก็เหมือนโชคจะเข้าข้าง ! อยู่ดีๆ ทีมเบสบอลที่เธอสังกัดก็เกิดปัญหาใหญ่ครับ ต้องปิดตัวลง แต่ด้วยความที่เธอยังไม่สามารถขอพ่อแม่ตรงๆ ได้ว่าจะไปเป็นนักมวยปล้ำอีกครั้ง เธอจึงเลือกใช้เวลาในช่วงมัธยมไปกับการ “เล่นกีฬาอื่นๆ” เพื่อเอาใจคุณพ่อคุณแม่ซะก่อน โดยกีฬาที่เธอเล่นในตอนนั้นคือ วอลเล่ย์บอล และเธอบอกว่า “เธอเล่นได้เก่งมาก เก่งจนคิดว่าจะไปได้ไกลจนถึงระดับทีมชาติเลยล่ะ”
จากนั้น ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง เพราะคุณพ่อคุณแม่ได้เห็นว่าเธอจริงจังกับการเป็นนักกีฬา ไม่ใช่แค่เอาสนุกไปวันๆ แต่เธออยากจะให้กีฬาเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต ซึ่งสุดท้ายพวกท่านก็ยอมให้เธอสมัครเป็นนักมวยปล้ำ ก่อนที่จะได้คู่กับ “ชิงุสะ นากาโยะ” และกลายเป็น “ตำนาน” มวยปล้ำหญิงที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และได้เข้าสู่หอเกียรติยศเชิดชูเกียรติไปตลอดกาล
ติดต่อผู้เขียนได้ทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii พูดคุย สอบถามกันได้ตามอัธยาศัย และพบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ