![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนารท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธใน www.marumura.com

กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2488 ทหารอเมริกันซึ่งประกอบด้วยนาวิกโยธิน ทหารบก ทหารเรือ และนักบินจำนวนรวมกันประมาณ 250,000 คน พร้อมด้วยเรือรบชนิดและขนาดต่างๆ รวมกว่า 900 ลำและเครื่องบินกว่า 1,200 ลำก็พร้อมแล้วที่จะยกพลขึ้นบก เพื่อยึดอิโวจิมาไว้เป็นฐานสำหรับก้าวสู่ที่หมายต่อไป ก่อนเหยียบโตเกียวในที่สุด
การบุกอิโวจิมาเริ่มด้วยการส่งเครื่องบินเข้าโจมตีกรุงโตเกียวและเป้าหมายสำคัญอื่นๆ บนเกาะญี่ปุ่นก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อตัดแรงสนับสนุนไปยังอิโวจิมา ผลปรากฏว่า สามารถทำลายเครื่องบินญี่ปุ่นในการรบทางอากาศได้ 416 ลำ และที่อยู่บนพื้นดินอีก 354 ลำ
เย็น 15 กุมภาพันธ์ จากสิ่งบอกเหตุต่างๆ คูริบายาชิมั่นใจว่า การบุกกำลังจะมาถึงแล้ว เขาจึงส่งข่าววิทยุไปยังกองบัญชาการที่กรุงโตเกียวว่า กองเรืออเมริกันกำลังจะมาถึงแล้ว ขอให้กองทัพเรือญี่ปุ่นพิจารณาดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือเครื่องบินขับไล่ที่จะเข้าต่อสู้กับเครื่องบินของฝ่ายอเมริกัน เพื่อมิให้เขาและกำลังพลทั้งหมดต้องต่อสู้เพียงลำพังอย่างไร้ความหมายด้วยอาวุธ ปตอ. กองทัพเรือตอบคำขอของเขาว่า จะยังไม่ปฏิบัติการใดๆ ทั้งสิ้นจนกว่าจะถึง 1 เมษายนตามแผนการที่วางไว้ว่าจะระดมกำลังตีโต้ผลักดันอเมริกันให้ถอยออกไป ซึ่งเป็นคำตอบที่คูริบายาชิรู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
เช้ามืดวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ทหารญี่ปุ่นทุกคนบนเกาะเฝ้ามองด้วยตาเปล่าไปยังกองเรือขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตกำลังแล่นรายล้อมตรงมายังตัวเกาะใกล้เข้ามาตามลำดับ ทุกคนรู้ในบัดนั้นว่า เวลาแห่งการรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว คูริบายาชิประกาศแก่เพื่อนทหารที่รักร่วมชีวิตบนอิโวจิมาว่า
“ทหารทั้งหมดจงร้องบันไซถวายแด่องค์พระจักรพรรดิ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า พวกท่านทุกคนจะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด และข้าพเจ้าหวังว่า ทุกคนจะต่อสู้อย่างสุดชีวิต”
เสียงบันไซดังขึ้นสามครั้งติดต่อกันทั่วทั้งเกาะในเช้าวันนั้น
ทหารญี่ปุ่นทุกคนเข้าประจำแนวรบ พร้อมคำสั่งกำชับห้ามยิงทหารอเมริกันชุดแรกๆ ที่เหยียบขึ้นมาบนฝั่ง ให้รอจนกว่าจะมีจำนวนมากพอเสียก่อนจึงเริ่มระดมยิง.
16 กุมภาพันธ์ 2488 เวลา 07.00 น. ปืนใหญ่จากกองเรืออเมริกันที่ลอยลำประชิดอิโวจิมาเริ่มส่งกระสุนเหล็กเข้าถล่มที่หมายบนเกาะ หมู่เรือกวาดทุ่นระเบิดเดินเครื่องเข้าหาเกาะทำการค้นหาทุ่นระเบิดเพื่อเปิดทางให้กองเรือยกพลขึ้นบกสามารถลำเลียงกำลังพลขึ้นบกได้โดยปลอดภัยในลำดับต่อไป มีการยิงต่อต้านมาจากเกาะเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อการโจมตีทางอากาศจากเครื่องบินเริ่มขึ้นก็ถูกยิงต่อต้านอย่างหนักจากปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานของคูริบายาชิ ทำให้การโจมตีไม่เกิดผลเท่าที่ควร ครั้นพอตกบ่ายฝูงบินทิ้งระเบิดหลักที่ใช้เครื่องบิน บี-29 จากหมู่เกาะมาเรียนนาซึ่งบรรทุกระเบิดที่มีอำนาจทำลายล้างสูงกว่าเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดระลอกแรกมาถึงกลับปรากฏหมู่เมฆหนาทึบปกคลุมจนทำให้ไม่สามารถตรวจการณ์เห็นเป้าหมาย ภารกิจจึงต้องยกเลิก บี-29 ทุกลำบินกลับฐานบินโดยนำระเบิดทุกลูกกลับไปด้วย
หรือว่า “ลมสวรรค์” ถูกบันดาลให้เกิดขึ้นอีกครั้งเพื่อป้องกันแผ่นดินอันศักดิ์สิทธ์แห่งโอรสสวรรค์เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วครั้งกองทัพเรือมองโกลยกพลข้ามท้องทะเลมาแล้วถูกลมสวรรค์พัดกระหน่ำจนแตกพ่ายไป
17 กุมภาพันธ์ อากาศแจ่มใสขึ้น ทัศนวิสัยเปิดกว้าง เรือกวาดทุ่นระเบิดปฏิบัติการใกล้ชายฝั่งเข้ามาอีกในระยะ 750 หลา จากนั้นเรือรบลำอื่นๆ ซึ่งอยู่ห่างฝั่งเพียงประมาณ 3,000 หลาก็เริ่มปลดปล่อยกระสุนเหล็กเข้าสู่ที่หมายอีกครั้งหนึ่ง
สุรพงษ์ บุนนาค บรรยายไว้ใน “ทะเลเดือด” ของท่านว่า…
“บรรดาทหารญี่ปุ่นที่จ้องดูกองเรืออเมริกันอยู่จากปากถ้ำต่างๆ ตลอดจนจากช่องมองของรังปืนและที่มั่นทั้งหลาย ต่างแทบจะไม่เชื่อสายตาของตนด้วยเรือจำนวนมากมายของข้าศึกที่แลเห็นอยู่ แล้วในขณะที่พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือนอยู่เป็นระยะๆจากการถูกยิง พลทหารฮิโยมิ ฮิรากวะ ผู้ประจำอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนเขาสุริบาชิก็คิดว่าภาพที่ตนแลเห็นอยู่นั้นน่าดูจริงๆ
ยานสะเทินน้ำสะเทินบกที่บรรทุกนาวิกโยธินเริ่มแล่นเป็นวงเพื่อคอยสัญญาณให้แล่นเข้าสู่ชายฝั่ง บรรดาเรือลำเลียงอุปกรณ์ต่างๆ ก็คอยพร้อมอยู่แล้ว กำหนดยกพลขึ้นบกคือ 9 น. บรรดาเรือซึ่งมีหน้าที่ระดมยิงสนับสนุนนั้น ขณะนี้อยู่ห่างออกมาจากฝั่งเพียง 1,000 หลาเท่านั้น และยิงอยู่อย่างหนัก ทำให้มีควันสีขาว เหลือง และเทากลบกลุ้มขึ้นปกคลุมทั่วทั้งเกาะ”
การระดมยิงจากปืนเรือสิ้นสุดลงเมื่อเวลา 8.05 น.ติดตามด้วยการโจมตีทางอากาศจากเครื่องบินด้วยอาวุธนานาชนิดรวมทั้งระเบิดเนปาล์มเพื่อเผาผลาญที่มั่นของทหารญี่ปุ่น ปิดท้ายด้วยการระดมยิงด้วยจรวดหลายลำกล้องและอาวุธหนักอื่นๆ จากเรือรบอีกรอบหนึ่งต่อที่หมายบนชายหาด จากนั้นฉากการยิงและการโจมตีทางอากาศก็เลื่อนลึกเข้าไปในตัวเกาะเพื่อเปิดโอกาสให้กับการยกพลขึ้นบก
เวลา 9.02 น.ยานสะเทินน้ำสะเทินบกนำนาวิกโยธินชุดแรกขึ้นเหยียบฝั่งอิโวจิมา ทุกคนพร้อมเต็มที่สำหรับความเลวร้ายที่จะต้องเผชิญ
แต่ผิดคาด การยิงจากฝ่ายญี่ปุ่นเป็นไปอย่างเบาบาง หลายคนเริ่มโล่งใจ แต่หลายคนกลับยิ่งระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น.
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com