![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนต์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนาท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธใน www.marumura.com
นากามูระ “ผู้บัญชาการชาวพุทธ”
ฝ่ายญี่ปุ่นซึ่งนอกจากจะยืนยันว่าตัวเองไม่ผิด พระที่เอาหน้ามาขวางมือต่างหากที่ผิด (ผมว่าเอง) ยืนยันข้อเสนอให้ทางการไทยประหารชีวิตทหารและกรรมกรที่เป็นนักโทษฉกรรจ์ ๒ คนเพราะเป็นฝ่ายเริ่มยิงปืนก่อนจนทำให้แพทย์และทหารญี่ปุ่นตาย แต่การสอบสวนของฝ่ายไทยกลับตรงข้าม
เรื่องที่ผมนำมาเล่าตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุจนกระทั่งมีการบาดเจ็บล้มตายนี้มาจากผลการค้นคว้าทางวิชาการของอาจารย์โทชิฮารุ ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นยืนยันชัดเจนว่า ญี่ปุ่นนั่นแหละเป็นฝ่ายผิด “รบแพ้…เครียด…กินเหล้า” แล้วทะลึ่งไปตบพระ (อันนี้ผมก็ว่าเอง)
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Gen%20Bunchorn/GenBunchorn31_1.jpg)
เรื่องที่บ้านโป่งครั้งนี้ถูกรายงานไปถึงโตเกียว ทำให้นายกรัฐมนตรีโตโจ ฮิเดกิ เป็นห่วงมากเพราะจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อการสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์เชื่อมไทยกับพม่า ดังนั้น ท่านจึงส่ง พลโท นากามูระ อาเกโต ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนายทหารสายพิราบ มีเหตุมีผล มีลักษณะประนีประนอม (ภายหลังได้รับความรักจากฝ่ายไทยจนได้รับสมญาว่า “ผู้บัญชาการชาวพุทธ”) ให้มาเป็นผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พร้อมกำชับให้เร่งแก้ปัญหานี้ให้ได้โดยเร็ว นายพลนากามูระเอาหัวโขกพื้นรับคำสั่งอย่างแข็งขันพร้อมเสียงตอบรับดังลั่นว่า…ไฮ้ (อันนี้ผมก็ว่าเองอีกนั่นแหละ)
ก่อนนายพลนากามูระจะเดินทางมาประจำการในไทย ท่านก็เข้าพบและได้รับคำตักเตือนจาก ฯพณฯ ดิเรก ชัยนาม ทูตไทยประจำกรุงโตเกียวว่า การตบหน้าคนของทหารญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นจุดบอดสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นทีเดียว เพราะคนไทยถือว่าการถูกตบหน้าเป็นการลบหลู่เกียรติยศอย่างมหาศาล เป็นเรื่องน่ากลัว น่าอัปยศ และป่าเถื่อน คนไทยถือมาก จะสู้ตายทีเดียว
ท่านทูตย้ำเรื่องนี้เพราะท่านเข้าใจดีว่า สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วการตบหน้าเป็นเรื่องธรรมดา และเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันเสมอในหมู่ทหารญี่ปุ่น ถือเป็นการทำโทษและตักเตือน
ท่านนายพลนากามูระจึงเดินทางมาไทยด้วยภาระสำคัญเรื่องนี้อีกเรื่องหนึ่ง นอกเหนือจากปัญหาทางด้านการรบที่ยิ่งทวีความยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการสร้างทางรถไฟไทย-พม่า
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Gen%20Bunchorn/GenBunchorn31_2.jpg)
เลือดข้นกว่าน้ำ
ไม่ว่าจะเป็นเพราะ “เลือดข้นกว่าน้ำ” หรือเชื่อถือในรายงานของฝ่ายตน แต่ถึงที่สุดแล้วท่าทีของทหารญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายพลนากามูระก็ยังคงแข็งกร้าวไม่เปลี่ยนแปลง พันเอก ไชย ประทีปเสน ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะประสานงานกับญี่ปุ่น มีรายงานลง ๒๙ เมษายน ๒๔๘๖ ว่า
“อนึ่ง มีทางที่จะช่วยเหลืออยู่ก็คือ ไม่ให้คนพวกนี้ต้องถูกประหารชีวิต เพราะกฎหมายของเราไม่อำนวย และแม้ว่าจะถูกตัดสินจำขังถึงตลอดชีวิตก็ตาม สภาพการจำขังหรือระยะเวลาย่อมอยู่ที่เรา และโยงถึงโชคชะตาของประเทศที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น”
จอมพล ป.พิบูลสงคราม เห็นชอบและแทงเรื่องกลับไปเมื่อ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๖ ว่า
“ทราบแล้ว ให้เอามาขึ้นศาลทหารที่กรุงเทพฯ ขอให้ไม่ประหาร เพราะเข้าใจผิด เวลาค่ำคืน”
พันเอก ไชย ประทีปเสนพบกับนายพลนากามูระเมื่อ ๔ พฤษภาคม ๒๔๘๖ และได้บันทึกความคิดเห็นของฝ่ายญี่ปุ่นไว้ ๙ ข้อด้วยกัน ข้อแรกคือ “เกี่ยวกับโทษประหารของสามเณรเพิ่มกับกรรมกรนั้น หากใช้วิธีการลงโทษแบบไทยโดยศาลทหารไทยนั้น ก็จะมีผลต่ออธิปไตยของไทย”
ส่วนอีก ๘ ข้อนั้นก็เป็นเรื่องการอยากให้สร้างทางรถไฟเข้าพม่าผ่านคอคอดกระเพิ่มขึ้น รวมทั้งการขอให้ฝ่ายไทยเพิ่มการสนับสนุนฝ่ายญี่ปุ่นให้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นกองทัพใหญ่แห่งภาคพื้นทิศใต้ของญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ยังได้เรียกร้องให้ฝ่ายไทย “ชดใช้ค่าเสียหาย ๘ หมื่นบาทแก่ครอบครัวชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิต” อีกต่างหาก
เอากะยุ่นซี…
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Gen%20Bunchorn/GenBunchorn31_3.jpg)
ทำไมญี่ปุ่นแข็งกร้าว
อาจารย์โทชิฮารุให้ความเห็นต่อท่าทีกดดันไม่หยุดหย่อนของทหารญี่ปุ่นครั้งนี้ว่า
“สาเหตุที่ทหารญี่ปุ่นทำการเรียกร้องสิ่งต่างๆ อย่างแข็งกร้าวนั้นก็ด้วยได้คำนึงถึงฐานะของกองพลทหารรถไฟที่กำลังก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมไทย-พม่า ทหารญี่ปุ่นจะใช้เกียรติเป็นเดิมพันในการสร้างทางรถไฟให้แล้วเสร็จ จึงข่มขู่ไทยไว้แต่เนิ่นๆ ไม่ให้แทรกแซงก้าวก่าย
ทหารญี่ปุ่นทั้งขู่ทั้งปลอบฝ่ายไทยก็เพื่อให้ได้มีสภาพแวดล้อมที่ดี ให้ทหารญี่ปุ่นได้ประจำการอยู่ในประเทศไทยโดยไม่มีปัญหา และทหารญี่ปุ่นก็ได้เรียกร้องให้มีการก่อสร้างทางรถไฟข้ามคอคอดกระเป็นงานใหม่อีกชิ้นหนึ่ง”
สามเณรเพิ่ม กรรมกร ๑ คน กับพลทหารอีก ๑ คน ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ที่บ้านโป่งนั้น ถูกนำศาลขึ้นศาลทหารที่กรุงเทพฯเมื่อ ๑๐ มิถุนายน ๒๔๘๖
ศาลทหารไทยตัดสินว่า…
สามเณรเพิ่มมีความผิดฐานติดต่อกับเชลย ยุยงกรรมกรให้ต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น ส่วนกรรมกรนั้นเสพสุราจนมึนเมาในวันเกิดเหตุ ชักชวนกรรมกรคนอื่นๆ จับอาวุธเข้ากลุ้มรุมทำร้ายทหารญี่ปุ่นจนเป็นเหตุให้ทหารญี่ปุ่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บสาหัส และที่เป็นพลทหารนั้นมีเจตนาร้ายใช้ปืนสั้นเป็นศาสตราวุธยิงทหารญี่ปุ่นซึ่งมาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจบ้านโป่งถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ตำรวจไทยกับทหารญี่ปุ่นเกิดเข้าใจผิดจนถึงได้ยิงต่อสู้กัน เป็นผลให้นายทหารและพลทหารญี่ปุ่นถึงแก่ความตายรวม ๕ คน บาดเจ็บสาหัส ๓ คน ฝ่ายไทยบาดเจ็บ ๑ คน
จากนั้น ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๘๖ ศาลทหารกรุงเทพก็ได้พิพากษาวางโทษประหารชีวิตสามเณรเพิ่มที่เป็นจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยให้การสารภาพไม่ต่อสู้คดีอย่างใด ทั้งปรากฏว่าเคยเป็นคนที่มีโรคจิตและไม่รู้หนังสือ…ลดโทษให้จำคุกตลอดชีวิต
สำหรับจำเลยที่เป็นกรรมกรนั้นเนื่องจากไร้การศึกษาแต่ก็ยึดมั่นในพุทธศาสนา ทั้งปกติเป็นคนชอบเสพสุราเวลาเย็น เป็นเหตุทำให้ก่อคดีขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงให้จำคุกตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่เป็นทหารนั้น มีความผิดฐานทำการฆ่าคนตายเพื่อป้องกันตัวเกินกว่าเหตุให้จำคุก 10 ปี
เรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าเป็นนวนิยาย รับรองว่าคนอ่านต้องร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บหลัง เพราะถูกหักมุมอย่างแรงตอนจบ และเท่านั้นยังไม่พอ…
รัฐบาลไทยได้ตกลงมอบเงินชดเชย 80,000 บาทแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตตามคำเรียกร้องของกองทัพใหญ่แห่งภาคพื้นทิศใต้ของญี่ปุ่น และไทยเสนอจะมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์เพื่อสดุดีผู้เสียชีวิตอีกด้วย แต่ต่อมาฝ่ายญี่ปุ่นก็ได้บริจาคเงิน 80,000 บาทคืนให้ฝ่ายไทย เงินนี้จะจ่ายให้กับครอบครัวของคนไทยที่เสียชีวิตเมื่อคราวต่อสู้กับญี่ปุ่นเมื่อแรกเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Gen%20Bunchorn/GenBunchorn31_4.jpg)
อาจารย์โยชิกาวาสรุปท้ายแบบไม่ไว้หน้าคนญี่ปุ่นด้วยกันเองว่า…
“เหตุการณ์บ้านโป่งที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ก็ได้รับการแก้ไขให้ลุล่วงไปหลังจากพยายามมา 1 ปี สำหรับทหารญี่ปุ่นแล้ว เหตุการณ์บ้านโป่งอาจจะเป็นโอกาสหรือบทเรียนที่ช่วยให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่โอหังและหยิ่งยโสก็ได้ แต่สำหรับคนไทยแล้วได้ลิ้มรสพฤติกรรมที่หยิ่งยโสและความแข็งกร้าวของทหารญี่ปุ่นที่มาในมาดผู้ยึดครอง มีความไม่พอใจญี่ปุ่นซึ่งเป็นพันธมิตรของตน”
น่าเสียดายที่ไม่มีบันทึกว่าสามเณรเพิ่มและคณะที่ถูกตัดสินจำคุกนั้น ที่สุดแล้วเป็นอย่างไร รับฟังเรื่องที่บ้านโป่งจบลงแล้ว คงเห็นใจอังศุมาลินนะครับ ที่ตั้งแง่ตั้งงอนใส่โกโบริเสียจนน่าหมั่นไส้.
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com