![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย
เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนารท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธ ใน www.marumura.com

เพิ่มศพเข้าไป
ครั้นเวลาประมาณ ๐๘.๓๐ น. กำลังทหารหมวดที่ ๑ กองร้อยอาวุธหนัก กองพันทหารราบที่ ๓๙ ในบังคับบัญชาของร้อยโท บุญช่วย แก้วเกตุทอง พร้อมด้วยอาวุธปืนกลหนักส่วนแรกจำนวน ๖ กระบอก ได้เดินทางมาถึงกองรักษาการณ์มณฑลทหารบกที่ ๖ ซึ่งกำลังเสียเปรียบฝ่ายข้าศึก ร้อยโทบุญช่วยจึงสั่งให้หยุดรถและแยกกำลังออกทั้งสองฝั่งถนน โดยให้สิบตรี พ่วง พารา คุมกำลังทหารด้านขวาพร้อมอาวุธปืนกลหนัก ๒ กระบอก ต่อจากนั้นร้อยโทบุญช่วยได้ไปรายงานตัวกับผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๖ ซึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข้างกองรักษาการณ์บัญชาการรบในแนวหน้าด้วยตนเอง แล้วรับคำสั่งให้นำกำลังเข้าไปสนับสนุนกำลังทหารของมณฑลทหารบกที่ ๖ ซึ่งกำลังตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบโดยด่วน
ร้อยโทบุญช่วยรับคำสั่งแล้วรีบนำกำลังทหารเคลื่อนที่ไปยังแนวรบเป็นขั้นๆ เพื่อลดอันตรายจากการยิงอย่างรุนแรงของข้าศึก ขณะเคลื่อนที่ได้พลกับพันโท หลวงสุรสิทธิสมบูรณ์ (ถวิล เลิศฤทธิ์) ประจำกองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๖ ซึ่งกำลังตรวจการณ์อยู่ และยังได้พบกำลังทหารของกองร้อยที่ ๑ กองพันทหารราบที่ ๓๙ (ที่มีกำลังจริงๆ เพียงหมวดเดียว) ซึ่งกำลังถอนตัวกลับ
ร้อยโทบุญช่วยนำกำลังของตนเคลื่อนที่ต่อไปจนพบกับร้อยเอก ทอง ศิริเวชภัณฑ์ ผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑๕ กำลังอำนวยการยิงปืนใหญ่อยู่ สันนิษฐานว่ายิงไปยังเรือลำเลียงพลขึ้นบกของญี่ปุ่นบริเวณคลองท่าแพ
ปืนใหญ่ส่วนนี้เพิ่งนำกลับมาจากสนามหน้าเมืองในจังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งนำไปเตรียมจัดแสดงในงานวันฉลองรัฐธรรมนูญ เพราะไม่สามารถนำปืนใหญ่ออกมาจากโรงเก็บได้…
เมื่อร้อยโทบุญช่วยนำกำลังไปถึงบริเวณหน้าโรงเก็บปืนใหญ่ จึงสั่งให้วางแนวยิงทางด้านขวาของโรงเก็บปืนใหญ่แล้วทำการยิงสกัดกั้นกำลังทหารญี่ปุ่นที่กำลังรุกเข้ามาจนต้องหยุดอยู่กับที่ ต่อจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้เปิดฉากยิงโต้ตอบกันอย่างรุนแรง ทหารญี่ปุ่นทางด้านซ้ายพยายามอาศัยโรงเก็บปืนใหญ่เป็นฉากกำบัง ส่วนฝ่ายไทยได้อาศัยประโยชน์จากคูยิงที่ขุดเตรียมไว้ก่อนจึงปลอดภัยและไม่มีการสูญเสียเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งๆ ที่เผชิญหน้ากับข้าศึกในระยะใกล้ประมาณ ๑๐๐ – ๒๐๐ เมตรเท่านั้น
ข้าศึกไม่ได้ยิงกระสุนจากเครื่องยิงลูกระเบิดมาที่แนวยิง แต่ยิงไปข้างหลังแนว กำลังฝ่ายไทยที่ปะทะกับฝ่ายญี่ปุ่นอยู่ก่อนหน้านั้นต่างถอนตัวกลับ ก่อนที่กำลังปืนกลหนักของฝ่ายเราจะไปถึง ส่วนปืนกลหนักอีก ๖ กระบอกที่จ่าสิบตรีพรหมาเป็นผู้ควบคุม ได้ให้ปืนกลหนักทั้ง ๔ กระบอกเข้าที่ตั้งยิงด้านขวา อีก ๒ กระบอกไปด้านซ้าย ทั้งสองฝ่ายได้ยิงต่อสู้กันอย่างรุนแรง ทหารไทยในกองร้อยปืนกลหนักส่วนนี้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายนาย สิบตรีพ่วงเองก็ถูกกระสุนปืนข้าศึกเจาะหน้าผากเสียชีวิตทันที…
เลือดของทั้งสองฝ่ายยังคงหลั่งไหลคละเคล้าสายฝนชโลมแผ่นดินไทย…
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com