![]() |
พลเอกบัญชร ชวาลศิลป์ เป็นทหารอาชีพเต็มตัวที่เริ่มงานเขียนสู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2524 ด้วยเรื่องราวของชีวิตนักเรียนนายร้อยในชุด “สอยดาวมาร้อยบ่า” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ “นายร้อยสอยดาว” ปัจจุบันมีงานเขียนประจำอยู่ในสยามรัฐทั้งรายวันและรายสัปดาห์ และยังเป็นผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์และวิทยุอีกด้วย เกษียณอายุราชการได้หลายปีแล้ว เลือกที่จะใช้ชีวิตสบายๆ จึงมีเวลาเต็มที่สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้งตามสไตล์ที่ชื่นชอบ รวมทั้งยังคงมีเวลาให้กับการอ่าน ดูหนัง ฟังเพลง ซึ่งปฏิบัติมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ระยะหลังๆ ให้ความสนใจและค้นคว้าเรื่องราวในอดีตตามประสาคนสูงวัย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สงครามจึงกลายเป็นวัตถุดิบที่อยากนำมาแลกเปลี่ยนแง่มุมความคิดกับทุกท่าน |
พบกันได้ทุกวันศุกร์เวลา 12.00 น.ถึง 13.30 น.ทาง FM 101 ในรายการ “เสธ.บัญชร ชวนคุย” ที่จัดคู่กับนฤนารท พระปัญญา
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพุธใน www.marumura.com
สำหรับพวกเราในตอนนั้น เรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ ๒ ดูช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน นักเรียนนายร้อยรุ่นผม ปีเกิดส่วนใหญ่จะประมาณ ๒๔๘๙ ไม่ทันเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๔๘๒ และยุติลงในปี ๒๔๘๘

แต่พอมาเห็นรูกระสุนกับตาของตัวเอง ผมซึ่งจะเก็บเรื่องนี้มาคิดต่อก็ลองเอา ๒๔๘๔ อันเป็นปีที่ญี่ปุ่นมาฝากรูกระสุนไว้ที่พื้น บก.พันของผมตั้ง แล้วลบด้วยปีที่ผมไปเห็นร่องรอยนี้ครั้งแรก ในตอนนั้นก็คือ ๒๕๑๒ ปรากฏว่าผลลัพธ์ออกมาคือแค่ ๒๘ ปีเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้นานเป็นร้อยๆ ปีเหมือนอย่างที่เรารู้สึกในตอนแรกเลย
วันต่อมาผมจึงเดินไปที่ด้านทิศเหนือของกองพันซึ่งอยู่ติดกับด้านตลาดท่าแพ พื้นที่ส่วนนี้กองพันจัดไว้เป็นสนามฝึก มีต้นมะพร้าวขึ้นกระจายอยู่เต็มไปหมด แต่ละต้นสูงลิ่วบ่งบอกถึงความอาวุโสของพวกเขา ที่ผมมาเดินท่อมๆ อยู่แถวนี้ก็เพื่อจะมาดูรอยรูกระสุนที่ทหารญี่ปุ่นกับทหารไทยยิงกันเมื่อ ๒๘ ปีที่แล้วตามที่ลุงนายทหารกำลังพลบอกกับผม
ตัวลุงเองก็อยู่ในเหตุการณ์เช้ามืดวันที่ ๘ ธันวาคมนี้ด้วย !!!
แล้วผมก็พบจริงๆ ครับ แทบทุกต้นมีรอยกระสุนอย่างชัดเจน พื้นที่ตรงนี้มีวีรกรรมความกล้าหาญอยู่มากมาย เพราะถัดออกไปเพียงไม่กี่ร้อยเมตรริมตลาดท่าแพ คือคลองท่าแพที่ญี่ปุ่นนำกำลังขึ้นมาในตอนเช้ามืด แล้วเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดตรงนี้เอง และพอถึงปลายปี ๒๕๑๒ นั้นเอง ผมก็ได้เข้าร่วมเป็นครั้งแรกในงาน “วันวีรไทย” ซึ่งจัดขึ้นที่อนุสาวรีย์ “พ่อดำ” ที่ไม่เพียงเฉพาะทหารอย่างพวกเราเท่านั้น แต่ชาวนครศรีธรรมราชทั้งสิ้นล้วนให้ความเคารพนับถือ ทุกๆ ปีใน ๘ ธันวาคม ค่ายวชิราวุธจะจัดงานพิธีขึ้นร่วมกับชาวนครศรีธรรมราชโดยมีประธานในงานเป็นผู้บัญชาการทหารบก หรือถ้าท่านติดราชการสำคัญก็จะจัดส่งนายทหารระดับพลเอกมาแทน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการให้ความสำคัญจากกองทัพบกอย่างชัดเจน…
นับจากวันที่เห็นร่องรอยกระสุนบนพื้นกองบังคับการกองพันเป็นต้นมา ผมจึงให้ความสนใจกับเหตุการณ์ในเช้ามืด ๘ ธันวาคมเป็นพิเศษ และเริ่มสะสมข้อมูลทั้งจากผู้ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ รวมทั้งจากบันทึกต่างๆ จนทำให้ได้รับทราบเรื่องราวในหลายแง่หลายมุม บางเรื่องก็ทราบกันดี แต่มีหลายเรื่องที่หาคนรู้น้อย ทั้งๆ ที่น่าสนใจ อาจเป็นเพราะไม่ค่อยได้รับการเผยแพร่ และมีบางเรื่องที่เมื่อผมได้รับทราบครั้งแรกก็เกิดอาการลักษณะ “อึ้งกิมกี่” ไปเลย พร้อมตั้งคำถามในใจว่า ที่ผ่านมามัวไปทำอะไรอยู่ถึงไม่เคยได้รับรู้เรื่องอันน่าประทับใจของคนรุ่นพ่อแบบนี้…

สงครามคือสัตว์ร้าย
เหตุการณ์วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ นั้น โดยทั่วไปก็เป็นที่ทราบกันดีว่าญี่ปุ่นนอกจากจะเปิดฉากถล่มเพิร์ล ฮาเบอร์ แล้วก็ยังยกกำลังขึ้นบกที่ประเทศไทยเพื่อบุกต่อไปยังมลายู-สิงคโปร์ ด้านหนึ่ง และพม่า-อินเดียอีกด้านหนึ่งเพื่อกวาดล้างอิทธิพลของอังกฤษที่ครอบคลุมพื้นที่ภูมิภาคเอเชียมาช้านาน และอีกเรื่องหนึ่งที่ยังคงอยู่ในความสนใจและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์แม้ในปัจจุบันก็คือ การตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นซึ่งมี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ยอมให้ญี่ปุ่นยกทัพผ่านดินแดนไทยซึ่งค้านกับความรู้สึกของคนไทยจำนวนไม่น้อย ตอนนั้นคนไทยอยู่ในภาวะที่พร้อมจะ “สู้ตาย” เพื่อชาติ ซึ่งด้านหนึ่งก็เป็นผลมาจากการปลุกจิตสำนึกรักชาติด้วยฝีมือของรัฐบาลชุดนี้นั่นเอง แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับยอมญี่ปุ่นเอาง่ายๆ คนไทยก็จึงรู้สึกช็อกเมื่อรัฐบาลประกาศหยุดรบในตอนสายของวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔
เราลองมานึกวาดภาพกันเล่นๆ ว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราไม่ยอมให้ญี่ปุ่นผ่านแดนเข้ามาแล้วทำการรบขัดขวางอย่างสุดใจขาดดิ้น…ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว การตัดสินใจสู้ตายจะนำไปสู่ผลลัพธ์อย่างไรต่อประเทศชาติและประชาชนคนไทยของเรา
นึกย้อนไปว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วมาปลุกใจคนไทยให้เลือดพล่านทำไม ผมก็ยิ่งนึกไม่ออกใหญ่ว่า แล้วจะให้ทำอย่างไร ไม่ปลุกใจให้พร้อมสู้ แต่ให้เตรียมตัวแพ้ อย่างนั้นหรือ?

แต่บันทึก “ชาติอยู่เหนือสิ่งอื่นใด” ของ พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์ ที่ผมจะหาโอกาสนำมาเล่าในวาระต่อไป คงพอทำให้เราได้คำตอบนี้ เพราะที่ เสธ.ทวีบันทึกไว้ คือภาพที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศและคนไทยของเราหากตัดสินใจรบญี่ปุ่น แต่ทั้งหมดนี้มิได้หมายความว่า ผมพยายามจะนำภาพอันน่ากลัวเหล่านี้มาเพื่อ “เข้าข้าง”การตัดสินใจของจอมพล ป.พิบูลสงครามที่เป็นทหาร (แถมยังเป็นทหารปืนใหญ่ด้วยกันอีกต่างหาก) ผมมีความมุ่งหมายเพียงว่า เมื่อเราอยู่ระหว่างสถานการณ์อะไรก็เถอะ ใครบ้างจะกล้าฟันธงว่า สุดท้ายแล้วเรื่องราวต่างๆ จะลงเอยอย่างไร เวลานั้นใครจะรู้ว่า ถึงที่สุดแล้วญี่ปุ่นจะกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด การตัดสินใจก็จึงต้องกระทำไปตามสถานการณ์เพื่อให้เราเสียหายน้อยที่สุด หรือได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด
อย่างที่เขาชอบพูดกันนั่นแหละว่า โลกนี้ไม่มีของฟรี ตัดสินใจไม่รบ ก็ต้องมีต้นทุน มีกำไร มีขาดทุน ตัดสินใจรบ ก็เช่นกัน ต้องมีต้นทุน มีกำไร มีขาดทุนเช่นเดียวกัน เรื่องของเรื่องมันจึงอยู่ที่การชั่งน้ำหนัก เรื่องของการประมาณสถานการณ์ซึ่งใครก็ไม่กล้ารับประกันความถูกต้อง
ในบ้านเราเช้าวันที่ 8 ธันวาคม 2484 นั้นก็มี “ต้นทุน” ที่ลงไปไม่น้อยสำหรับการตัดสินใจรบในช่วงแรก หลายเรื่องเป็นที่รับรู้ แต่มีอยู่จุดสู้รบหนึ่งซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ติดอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่ใครจะรู้บ้างว่าที่นี่เคยเป็นจุดสำคัญของการสู้รบในเช้ามืดของวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ ที่อื่นเขารบกันแค่ประมาณเที่ยงวัน
แต่ที่นี่เขารบกันไปจนถึงเที่ยงวันรุ่งขึ้น ๙ ธันวาคม นับเป็นจุดเดียวของประเทศ!!!
ติดตามคอลัมน์ รอยล้อประวัติศาสตร์ ได้ทุกเช้าวันพฤหัสบดี ใน www.marumura.com