บทความชิ้นนี้เป็นความพิเศษที่ใช้เวลาหาข้อมูลค่อนข้างนานมาก เพื่อที่จะพาทุกคนไปย้อนความหลังถึงช่วงเวลาที่มวยปล้ำหญิงญี่ปุ่นโด่งดังจน ถึงขีดสุดในประเทศไทยของเรา
โดยเฉพาะเหล่านักมวยปล้ำอธรรมตัวฉกาจอย่าง บูล นากาโน่ ดัมพ์ มัตสึโมโตะ หรือกระทั่งกรรมการจอมเจ้าเล่ห์อย่าง อาเบะ ชิโร่ ซึ่งสามารถเรียกเสียงเชียร์จากแฟนมวยปล้ำชาวไทยได้จนอาคารนิมิตรบุตรแทบจะ ถล่มเลยทีเดียว เพราะมีแฟนๆ ไปร่วมหมื่นคน ทั้งๆ ที่สนามจุได้หลักพันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดจากการรวบรวมข้อมูลทั้งจากไทย – ญี่ปุ่น – อเมริกา และขอออกตัวก่อนเลยว่าตัวผมเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นี้ครับ จึงอาจจะตกหล่นอะไรไปบ้าง สาเหตุก็เพราะมวยปล้ำเขาปล้ำกันในปี 1988 แต่ผมเกิดปี 1990 เรื่องทั้งหมดจึงมาจากคำบอกเล่าและบันทึกต่างๆ เท่านั้นครับ
และเพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปติดตามเรื่องราวของ “มวยปล้ำญี่ปุ่นในเมืองไทย” กันเลยครับ อนึ่งผมขอแจ้งให้ทราบว่า “มวยปล้ำครั้งนี้ล่ะ” ที่กลายเป็นดาบสองคม เป็นทั้ง “ประวัติศาสตร์และผู้ทำลาย” ในเวลาเดียวกัน ถ้ายังไม่เข้าใจ เอาไว้ผมจะอธิบายในช่วงท้ายของบทความนี้ครับ
นักมวยปล้ำญี่ปุ่นทั้งหมดตัดสินใจเลือกโรงแรมแอมบาสเดอร์เป็นที่พัก เพราะบรรยากาศที่สวยงามและดูเป็นส่วนตัวมากที่สุด โดยทริปแรกของนักมวยปล้ำญี่ปุ่นในเมืองไทยก็คือการเดินทางไปที่โรงพยาบาลพระ มงกุฏเพื่อเยี่ยมเหล่าทหารผ่านศึก และให้กำลังใจทุกคน โดยนักมวยปล้ำแต่ละคนรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ Nationalism ส่วนตัว หรืออีกมุมหนึ่งพวกเธอคิดว่าทหารคืออาชีพที่มีเกียรติที่สุดอย่างหนึ่งของ แต่ละประเทศ
ทีมงานและนักมวยปล้ำ นำโดย “ชิงุสะ นากาโยะ” สามารถเรียกนักข่าวทั้งไทยและเทศได้เป็นจำนวนมหาศาล เพียงแต่เธอไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ เมื่อเจอการจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว และไม่ได้มีการนัดหมายจากสื่อในเมืองไทย ทั้งนี้เพราะ “มวยปล้ำ” เป็นกีฬาที่เน้นบทบาท ดังนั้นเธอจะไม่ชอบหากมีใครมาแอบถ่ายกิจกรรม “นอกสังเวียน” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
นอกจากนี้ นักข่าวของเมืองไทยเป็นนักข่าวที่มารยาทไม่ดีนัก ถึงแม้พวกเขาจะไมได้รู้จักมวยปล้ำเท่าไหร่ แต่ถ้าขึ้นชื่อว่ามีชื่อเสียง นักข่าวไทยก็พร้อมที่จะกรูเข้าใส่ ซึ่งถ้าเป็นที่อื่นก็ไม่เป็นไร แต่ครั้งนี้พวกเขาเบียดทหารพิการ จนบางคนถึงกับล้ม เรื่องนี้ทำให้ทางนักมวยปล้ำไม่พอใจมากๆ เพราะการให้เกียรติผู้ที่เสียสละเพื่อชาติ เป็นสิ่งที่พวกเธอให้ความสำคัญ และเป็น “ทัศนคติ” โดยธรรมชาติของคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ด้วยดี โดยไม่มีอะไรบานปลาย
เหตุการณ์นี้ มีแฟนๆ ยืนรอและส่งเสียงเชียร์อยู่หน้าโรงพยาบาลประมาณ 1 พันคน (จากภาพคือกลุ่มแฟนๆ มองๆแล้วไม่ต่างกับคนที่ตามกรี๊ดไอดอลเลย)

แต่ปัญหาที่น่าเสียดายที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ ก็คือทางทีมงานของฝั่งไทย ต้องการให้นักมวยปล้ำญี่ปุ่น สู้กับคนไทยที่ชื่อว่า “ศรีไพร” ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เราส่งไปฝึกมวยปล้ำอาชีพที่ประเทศญี่ปุ่น แต่สุดท้ายการปล้ำของเธอก็ไม่เกิดขึ้น เพราะรูปร่างที่บอบบางจนเกินไปและเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย (ภาพของศรีไพร มีอยู่ในโปสเตอร์ช่วงต้นเรื่อง) ตรงนี้ทางญี่ปุ่นมองว่าสำคัญมากครับ การจะทำอะไรแต่ละอย่างของพวกเค้านั้นคือต้องพร้อมเต็มที่ Make Name ไม่สำคัญเท่า Make Pride พวกเขามองว่าถ้าเกิดคนไทยไม่พร้อม ก็อย่าออกไปปล้ำให้เสียภาพลักษณ์ดีกว่า รอโอกาสที่เหมาะสม แล้วยังไงคนญี่ปุ่นก็พร้อมยอมรับเสมอ
ด้านบนนี้คือการปล้ำในเมืองไทย ลองดูบรรยากาศกันได้ว่าเป็นอย่างไร เพราะผมก็อธิบายไม่ถูกเนื่องจากบันทึกไหนๆ ก็ไม่ได้บอกไว้เลย เนื่องจากติดในเรื่องลิขสิทธิ์กับทางฟรีทีวีไทยช่องหนึ่ง ที่กำหนดให้ทำข่าวได้เพียงเจ้าเดียวเท่านั้น แต่ต้องบอกว่าแฟนๆ ให้การตอบรับดีมาก ถึงแม้มวยปล้ำครั้งนี้จะใช้เวทีมวยไทยที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ และเวทีมวยไทยก็ทำให้นักมวยปล้ำแต่ละคนไม่สามารถใช้ท่าอันตรายๆ อย่างที่เห็นกันในโทรทัศน์ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะสิ่งที่แฟนๆ อย่างเห็น ดูเหมือนจะเป็น “ตัวนักมวยปล้ำ” มากกว่าจะไปสนว่า “พวกเขาทำอะไรกันบนเวที”
ว่าแล้วเราก้ไปดูภาพย้อนอดีตกันหน่อยดีกว่าครับ ใครอยู่ในเหตุการณ์ทักทายพูดคุยกันได้เลยนะครับ






ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่ผมเกริ่นเอาไว้ในตอนแรกแล้วว่า “การปล้ำครั้งนี้คือดาบสองคม” กล่าว คือแฟนๆ ให้การตอบรับดีมาก เพราะมวยปล้ำในสมัยนั้นโด่งดังถึงขีดสุด และทุกคนก็อยากจะมาเจอนักมวยปล้ำตัวจริง แต่มันก็กลายเป็นความคาดหวังที่สูงเกินไป เพราะเราต้องยอมรับว่าแฟนมวยปล้ำในยุคนั้นส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่า “มวยปล้ำคือการแสดง” พวกเขาคิดว่าทุกอย่างเป็นของจริง (แม้กระทั่งนิตยสารมวยปล้ำในสมัยก่อนก็พยายามบิวท์ให้มวยปล้ำดูเป็นของจริง)
ซึ่งเนี่ยล่ะคือปัญหาครับ เพราะทางญี่ปุ่นแกก็เตรียมอุปกรณ์สำหรับ “การแสดง” มาเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธมวยปล้ำ (อาจจะบางๆ หรือมีกลไกให้ลดอาการบาดเจ็บได้) และที่คนไทย (ญาติมิตรที่ไปดู) บอกว่ารับไม่ได้ที่สุดก็คือการได้เห็น “เลือดปลอม” ที่แฟนๆ RINGSIDE สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าถูกส่งมาจาก “หลอด” หรือ “ขวดบางอย่าง” ที่เท “น้ำสีเลือดหมู” ใส่นักมวยปล้ำ และเรื่องนี้ก็กลายเป็น Talk Of The Town ไปในวงกว้างว่า “มวยปล้ำมันหลอกลวงนี่หว่า” ต่อเนื่องไปกับการยุติสัญญาฉายมวยปล้ำทางฟรีทีวีในบ้านเรา อันนำไปสู่จุดสิ้นสุดของ “ยุครุ่งเรือง” ในเมืองไทยไปโดยปริยาย
ติดต่อ พูดคุยกับผู้เขียนได้โดยตรงทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเที่ยวญี่ปุ่น เรื่องไอดอล เรื่องกีฬา หรือเรื่องต่างๆนานาที่อยากเมาท์ได้เลย แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ !