ตรงนี้เป็นการตลาดที่ตรงจุดมาก คนญี่ปุ่นที่รู้สึกต้อยต่ำก็พยายามหาทางมาดูคนอเมริกาโดนกระทืบ ในช่วงแรกนั้นที่ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมว่าคนต่างชาติที่เข้ามาปล้ำในประเทศนั้นจะต้องรับบทเป็นตัวร้ายเสมอ และแน่นอนว่าคนญี่ปุ่นก็จะเอาชนะได้
ในสัปดาห์ก่อนผมเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ ครับ เพื่อไปดูงานและพูดคุยกับนักธุรกิจเกี่ยวกับวงการมวยปล้ำญี่ปุ่นในปัจจุบัน และก็ทำให้ผมได้เปิดมุมมองหลายต่อหลายอย่างว่าวงการมวยปล้ำนั้นมีการแข่งขัน และมีการวางแผนการตลาดอย่างไรบ้าง ไล่มาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ตอนนี้ประเทศต่างๆในแถบเอเชียของเราที่พยายามเอาวัฒนธรรมมวยปล้ำของญี่ปุ่น เข้ามาเลยต้องศึกษาเรื่องเหล่านี้ไว้ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเริ่มต้นธุรกิจและเพื่อการต่อยอดไปในอนาคตครับ
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pumi/Japan%20Wrestling%20Marketing/1.png)
ดังนั้นบทความในวันนี้ผมจะมาเล่าให้ผู้อ่านฟังว่าวงการมวยปล้ำของญี่ปุ่นนั้นวางรากฐานและทำการตลาดอย่างไร
– การใช้ชาตินิยม
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pumi/Japan%20Wrestling%20Marketing/2.png)
อันนี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด วงการมวยปล้ำญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นด้วยความยากลำบากครับ เมื่อชายที่ชื่อ “ริกิโดซัง” ซึ่งเป็นคนเกาหลีเหนือแต่มาอยู่ที่ญี่ปุ่นและกลายเป็นนักซูโม่ก่อนจะผันตัว มาฝึกมวยปล้ำจนเก่ง เขามีความตั้งใจจะจัดรายการมวยปล้ำขึ้นเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น แต่การร้องขอของเขาก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ดังนั้นวิธีที่เขาทำคือการสร้างสตอรี่ของการแข่งขันขึ้นมา ตอนนั้นญี่ปุ่นกำลังอยู่ในสภาวะพ่ายแพ้สงครามและต้องการบางอย่างเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวจิตใจ เขาเลยทำการเชิญนักมวยปล้ำอเมริกามาเจอกับคนญี่ปุ่น และจ้างให้คนอเมริกามาเสมอและแพ้ (ห้ามชนะญี่ปุ่นเด็ดขาดในช่วงแรก) ส่วนนึงเพื่อให้คนรู้สึกมีชาตินิยมมากขึ้นและเห็นว่าญี่ปุ่นที่เพิ่งโดนถล่ม อย่างหนักจากอเมริกาในสงคราม วันนี้พวกเขาสามารถเอาชนะอเมริกันได้แล้ว
ตรงนี้เป็นการตลาดที่ตรงจุดมาก คนญี่ปุ่นที่รู้สึกต้อยต่ำก็พยายามหาทางมาดูคนอเมริกาโดนกระทืบ ในช่วงแรกนั้นที่ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมว่าคนต่างชาติที่เข้ามาปล้ำในประเทศนั้น จะต้องรับบทเป็นตัวร้ายเสมอ และแน่นอนว่าคนญี่ปุ่นก็จะเอาชนะได้ ตรงนี้เป็นการสร้าง base ก่อนว่า “คนญี่ปุ่นเก่งไม่แพ้ใคร” เป็นการสร้างความเชื่อมั่นกลับมา ต้องย้ำไว้ตรงนี้ว่าการจัดมวยปล้ำในยุคแรกนั้นเกิดขึ้นด้วยความร่วมมือของ รัฐบาล เพราะถือเป็นของใหม่และทางพระจักรพรรดิเองก็ให้ความสนใจในกีฬาชนิดนี้ด้วย และเมื่อเวลาผ่านไปเมื่อคนญี่ปุ่นเชื่อมั่นในคนของตนเองแล้ว นักมวยปล้ำจากต่างประเทศก็เริ่มได้รับบทเป็นคนดีบ้าง ได้รับบทเป็นคนช่วยเหลือบ้าง ตรงนี้เป็นการสร้างความสัมพันธ์และเปลี่ยน stereotype ที่คนญี่ปุ่นมีต่อชาวต่างชาติอย่างแนบเนียน
ในยุคสมัย นั้นเราจะสังเกตได้ว่าอะไรก็ตามล้วนเกิดขึ้นเพื่อกระตุ้นเรื่องชาตินิยมหรือ ทำเพื่อหาสิ่งยึดเหนี่ยว นอกจากมวยปล้ำแล้วก็จะเป็นพวกยอดมนุษย์แปลงร่าง มังงะ ฯลฯ ที่สำคัญถ้าเรามองเข้าไปในวงการมวยปล้ำอเมริกา ก็จะเห็นว่า “ชาตินิยม” เป็นประเด็นหลักที่ทำให้วงการเติบโตมาถึงวันนี้จริงๆ อย่างกรณี Hulk Hogan ที่ว่ากันว่าพลิกโฉมวงการมวยปล้ำไปตลอดกาล ก็ล้วนมาจากกระแสค่านิยมที่เล่นประเด็นสงครามทั้งสิ้น
– การปล่อยข่าว การสร้างสถานการณ์และอาศัยสื่ออย่างแนบเนียน
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pumi/Japan%20Wrestling%20Marketing/3.png)
สิ่งสำคัญที่สุดในวงการมวยปล้ำตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคต่อๆ มาคือการสร้าง Connection กับหลายๆ ประเทศให้ได้มากที่สุด เพราะยุคนั้นสมาคมมวยปล้ำมีอยู่ทั่วโลกครับ อยู่ที่ว่าใครจะติดต่อถึงกันได้ก่อน (การติดต่อสมัยก่อนไม่ง่ายครับ การโทรศัพท์ต่างประเทศราคาสูงมากเหลือเกิน) การได้พบกับนักมวยปล้ำเก่งๆ จากต่างประเทศ ถือเป็นเพชรเสมอ เพราะราคาอาจจะสูงบ้าง แต่ว่าจะเรียกความสนใจจากสื่อได้มาก และทำให้สมาคมเป็นที่สนใจของตลาด นอกจากนี้วงการมวยปล้ำญี่ปุ่นจะมีสิ่งที่เรียกว่า Monkey Club ผมไม่รู้จะอธิบายสิ่งนี้ด้วยคำว่าอย่างไรดีครับ
Monkey Club เอาไว้เรียกคนที่ติดคุกระยะสั้นๆ เพราะไปสร้างสถานการ์ณอันชั่วร้ายไว้ ทั้งนี้เขาไม่ได้ทำโดยไร้เหตุผลนะครับ วงการมวยปล้ำสมัยนั้นจะมีด้านมืดอยู่คือ ทุกสมาคมจะมีเงินก้อนนึงที่เตรียมไว้เพื่อ “ประกันตัว” นักมวยปล้ำ (และพูดตรงๆ ว่ามันก็มีเรื่องมาเฟียมาเกี่ยวข้องด้วย) พวกทีมงานผู้บริหารมักจะบอกนักมวยปล้ำว่า “เจอใครกวนตีนก็กระทืบซะ ถ้าไม่มีอะไรทำไปต่อยคนดูก็ได้” ฟังดูแย่ใช่ไหมครับ อันนี้บอกไว้เลยว่าเป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นเนี่ย ทางเปิดตัวมาที่เวทีจะเป็นทางเล็กๆ เรียกว่าซอกประมาณ 1 เมตรเท่านั้น ดังนั้นเวลาเดินออกมา คนดูก็จะแตะตัว สัมผัสนักมวยปล้ำให้กำลังใจกันไป นี่ล่ะครับคือจุดสำคัญที่นักมวยปล้ำ (นิสัยไม่ดีหรือได้รับคำสั่ง) จะใช้เป็นเครื่องมือหากิน เพราะบางทีแกก็จะเข้าไปต่อยคนดูที่มาแตะหลังดื้อๆ เลย และเวลาตำรวจถามเขาก็จะตอบว่า “เพราะคนดูตบหลังผมอย่างแรงครับ” หรืออะไรก็ว่าไป ซึ่งแน่นอน เรื่องเจ็บมากเจ็บน้อยมันเป็นเรื่องส่วนบุคคล และแก้ต่างอะไรได้ยาก
ผมอ่านบทสัมภาษณ์ของนักมวยปล้ำชื่อ Dynamite Kid เขาบอกว่า “เด็ก” คือเป้าหมายสำคัญ และมันเป็นสิ่งที่เขารู้สึกผิดที่สุด เพราะมีเด็กคนหนึ่งมาแตะหลังเขาด้วยความชื่นชม แต่เขาก็ต่อยเด็กคนนั้นเข้าอย่างจังตามใบสั่ง เพื่อหวังว่าพรุ่งนี้ตัวเองจะได้ขึ้นข่าวหน้าหนึ่งและกลายเป็นคนดัง ปรากฏว่าเด็กคนนั้นบาดเจ็บจนร้องไห้ แต่เด็กก็ไม่โกรธครับ นั่งร้องไห้แล้วขอโทษเขาหลายต่อหลายครั้ง เพราะคิดว่าตนเองไปตีหลังนักมวยปล้ำแรงไปจริงๆ สิ่งนี้สะเทือนใจมากๆ อันนี้ถือเป็นการตลาดที่ค่อนข้างด้านมืดหน่อย แต่มีการทำอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะกับนักมวยปล้ำสายอธรรมครับ (ปัจจุบันไม่ได้ทำได้แล้วนะครับ เพราะกฎหมายค่อนข้างรุนแรง การทำร้ายคนดูนี่มีโทษถึงขั้นถูกไล่ออกได้เลย)
– การประโคมข่าวเรื่องเงินค่าจ้าง
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pumi/Japan%20Wrestling%20Marketing/4.png)
สิ่งที่สำคัญต่อมาคือการสร้างความเชื่อถือให้กับวงการมวยปล้ำครับ ในเบื้องต้นแต่ละสมาคมต้องหาทางสร้างความน่าเชื่อถือให้วงการ หลายคนถึงแม้จะชื่นชมนักมวยปล้ำ แต่ก็ยังไม่ทราบเบื้องหลังหรือบริบทของวงการว่าวงการนี้เป็นอย่างไร อนาคตจะเป็นอย่างไร เหมาะแก่การเข้าร่วมไหม? เพราะว่าเวลาผ่านไปวงการมวยปล้ำต้องการคนใหม่ๆ เข้ามาฝึกฝนเพื่อต่อยอด ถ้าเขาไม่ทราบถึงรายรับ ไม่ทราบถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะไม่มีใครกล้าเข้ามาและวงการก็ต้องตายในที่สุด และการประกาศเรื่องค่าใช้จ่ายแบบเนียนๆ (อย่างเช่นการบอกว่าเราเซ็นนักมวยปล้ำคนนี้เข้ามาด้วยค่าเหนื่อย xxxx นะ อะไรแบบนี้ในเนื้อข่าว) นี่คือการสร้างความน่าเชิ่อถือ ทั้งกับแฟนมวยปล้ำเอง และกับนักมวยปล้ำทั่วโลกด้วยครับ แน่นอนการที่จะติดต่อไปยังค่ายมวยปล้ำอื่นๆ ในโลกนั้นเป็นเรื่องยากในสมัยก่อน ดังนั้นหากนักมวยปล้ำในประเทศอื่นๆ ได้เห็นว่าค่ายนี้ให้เงินเยอะ เขาก็จะเป็นฝ่ายติดต่อมาบ้าง และก็จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ไปในตัว
ทีนี้วงการมวยปล้ำญี่ปุ่น ต้องบอกว่าเริ่มมีการแข่งขันเรื่องเม็ดเงินอย่างจริงจังก็ตั้งแต่ช่วงต้นปี 1980 ครับ ค่ายมวยปล้ำที่โด่งดังมากในสมัยนั้นคือ New Japan Pro Wrestling และมีค่ายคู่แข่งที่ตามอยู่อย่างไกลคือ All Japan Pro Wrestling ตอนช่วงยุค 80 นั้น All Japan ตกต่ำถึงขนาดนักมวยปล้ำ New Japan พูดว่า “เวลาผมเครียดๆ สิ่งที่ทำให้ผมตลกขึ้นมาคือเปิดรายการของ All Japan ครับ”… คือจริงๆมันไม่ได้เน่าขนาดนั้นหรอกครับ แต่การสัมภาษณ์แบบนี้มันเรียกพื้นที่สื่อได้ยังไงล่ะ
ค่าเหนื่อยนักมวยปล้ำนั้นสมัยก่อนจะให้เป็น “ทัวร์” เพราะนักมวยปล้ำสามารถเลือกปล้ำที่ไหนก็ได้ แต่ละสมาคมจะแบ่งกันแข่งขันเป็นทัวร์ พอหมดทัวร์ก็แยกย้ายกันไปครับ การแบ่งแบบนี้มีข้อดีคือสามารถขยายฐานของแฟนๆ ได้เยอะขึ้น นักมวยปล้ำแต่ละคนก็มีโอกาสปล้ำได้มากขึ้น ถ้าตัวเองไม่เก่งพอ พอหมดทัวร์หนึ่ง ก็ย้ายไปร่วมทัวร์กับค่ายที่เล็กลงมา ก็จะมีโอกาสในหน้าที่การงานมากขึ้น เป็นต้น
ทีนี้พอเข้ายุค 80 ปุ๊บ ทาง All Japan ต้องการเรียกฐานแฟนๆ ของตนเองกลับมาครับ ตอนนี้คือช่วงที่เม็ดเงินสะพัดมากที่สุด เป้าหมายของนักมวยปล้ำ (ที่ต้องการเม็ดเงิน) คือการไปปล้ำที่สมาคม WWF ในอเมริกา ที่นั่นให้ค่าเหนื่อยถึง 7,500 ดอลลาร์ต่อการปล้ำหนึ่งแมตช์ (ที่สำคัญในอเมริกา การปล้ำส่วนใหญ่จะสั้น อาจแค่ประมาณสิบถึงสิบห้านาที คุ้มค่า ต้องคิดถึงค่าเงินในสมัยสามสิบปีที่แล้วนะครับ) และอาจสูงถึง 20,000 ดอลลาร์ หากคุณมีชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่ใน New Japan ที่ถือเป็นค่ายที่จ่ายเงินมากสุด การปล้ำหนึ่งทัวร์จะอยู่ประมาณ 6,000 ดอลลาร์
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/Pumi/Japan%20Wrestling%20Marketing/5.png)
ทีนี้ All Japan เกทับและถือเป็นข่าวใหญ่ในวงการคือพวกเขาเพิ่มค่าเหนื่อยมาเป็น 6,000 ดอลลาร์เท่ากับ New Japan และให้เงินกินเปล่าอีก 20,000 ดอลลาร์ !!! เท่ากับว่าในหนึ่งทัวร์นักมวยปล้ำจะได้เงินถึง 26,000 ดอลลาร์ เฉลี่ยแล้วได้เกือบ 8,000 ดอลลาร์ต่อ 1 แมตช์ ซึ่งเยอะมากๆ ครับ เรื่องนี้พอออกข่าวไป ก็กลายเป็นกระแสอย่างมาก และทำให้นักมวยปล้ำดังๆ หลายคนเกิดการย้ายไป All Japan และทำให้วงการมวยปล้ำได้รับความเชื่อถือ เรียกเด็กฝึกใหม่ๆ ได้มาก เพราะเห็นว่ามวยปล้ำก็ได้เงินเยอะและเป็นอาชีพที่มั่นคง เรื่องเงินนี้เป็นรากฐานที่สำคัญมากๆ นะครับ อย่างไรก็ตามที่ญี่ปุ่นจะมีแนวคิดเสมอว่า “จ่ายเงินให้เยอะ ทำงานให้หนัก กินให้อิ่ม พักให้เยอะ” สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสำเร็จครับ
ปัจจุบันวงการมวยปล้ำเติบโตขึ้นมากจนไม่ต้องพึ่งพาแนวคิดที่เป็นพื้นฐานเหล่านี้อีก ต่อไปแล้ว แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในการทำงานอยู่ในวงการมวยปล้ำนั้น ผมได้พบเจอกับคนที่จะพูดว่าเป็นมาเฟียมาอยู่หลายต่อหลายหน มาเฟียญี่ปุ่นไม่ใช่นักเลง เขาไม่ทำร้ายเรา เขาไม่หักหลังเรา แต่เขาจะทำธุรกิจแบบไม่สะอาดเท่าไหร่ อย่างเช่นการต่อยเด็กเรียกสื่อนั่นล่ะครับ วงการมวยปล้ำจะได้รับคำชวนจากเหล่ามาเฟียอยู่เสมอ บางทีมวยปล้ำก็กลายเป็นสถานที่ฟอกเงินด้วยซ้ำ
เรียกได้ว่ามีเรื่องราวหลากหลายให้เราได้พูดถึงกันสำหรับวงการนี้ และปัจจุบันที่สถานการณ์ของมวยปล้ำอยู่ตัวแล้ว พวกเขาก็ยังคิดแนวทางการตลาดใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ ไว้ผมจะมาพูดถึงในโอกาสต่อไปครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ ^^