“การจัดโอลิมปิกของญี่ปุ่นในยุคโควิด: ยืดหยุ่นหรือยึดติด?”
“โตเกียวโอลิมปิก” ควรจะได้จัดตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. 2021 เป็นต้นไป คณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้มอบหมายให้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพก่อนที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 หากไม่มีการอุบัติของโรคนี้ญี่ปุ่นน่าจะจัดงานได้อย่างดีเยี่ยม สง่างามเป็นอีกหนึ่งตำนานที่ผู้คนจะจดจำ แต่ทว่ากลับเกิดเรื่องหายนะที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ในปัจจุบันยังไม่มีประเทศใดที่สามารถควบคุมการระบาดของโรคนี้ได้ อาจทำได้สักระยะหนึ่งอีกไม่นานก็จะมีผู้ติดเชื้อขึ้นมาใหม่ ยิ่งช่วงหลังๆ เชื้อมีการกลายพันธุ์ ป่วยหนัก อัตราการเสียชีวิตสูง หลายประเทศระดมกำลังการฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity)
ประเทศญี่ปุ่นมีการระบาดของเชื้อโควิดไปหลายรอบ แต่ละครั้งที่ระบบสาธารณสุขเข้าขั้นวิกฤต บุคลากรทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ไม่เพียงกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รอบล่าสุดเมื่อเดือนเม.ย. 2021 ที่ผ่านมา มีการระบาดระลอก 4 ซึ่งทางการได้ประกาศต่อเวลาสถานการณ์ฉุกเฉิน และยกระดับมาตรการล็อกดาวน์ที่กรุงโตเกียวและหลายจังหวัดทั่วประเทศจนถึงสิ้นเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ตามตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อภายในประเทศเริ่มลดลงเรื่อย ๆ
ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนให้กับคนญี่ปุ่นเองในช่วงแรกมีอัตราการฉีดที่ต่ำมาก มีคนวิเคราะห์ว่าน่าจะเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น คนญี่ปุ่นไม่กล้าฉีดวัคซีนเพราะกลัวความเสี่ยงเรื่องผลข้างเคียง เพราะนิสัย “ปลอดภัยไว้ก่อน” เนื่องมาจากการที่คนญี่ปุ่นเองต้องเจอกับภัยพิบัตินับครั้งไม่ถ้วน ทำให้เวลาจะทำอะไรต้องมีความมั่นใจและข้อมูลมากพอในการตัดสินใจ ถึงต้องมีการวิจัย “ฉีด Pfizer ให้คนญี่ปุ่น” ในกลุ่มตัวอย่างก่อน จนประเมินแล้วว่าปลอดภัยแน่ๆ ค่อยนำมาฉีดให้ประชาชน ซึ่งญี่ปุ่นเพิ่งมาเร่งฉีดเมื่อต้นปี 2021 เพื่อเตรียมการจัดงานโอลิมปิก จนตอนนี้มีประชากรทั่วประเทศที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกร้อยละ 17.64 (Pfizer, Moderna)
ถึงจะมีมาตรการต่างๆ เพื่อลดจำนวนการติดเชื้อให้น้อยที่สุดเพื่อที่จะได้จัดโอลิมปิก แต่ความเห็นของคนในญี่ปุ่นแตกออกเป็นหลายฝ่าย เช่น วันที่ 13 พ.ค. 2021 สหภาพแรงงานบุคลากรทางการแพทย์ญี่ปุ่นออกมาแสดงจุดยืนต่อต้านการจัดงานเพราะคิดว่าไม่ปลอดภัย เพราะนักกีฬาจากต่างประเทศจะนำสายพันธุ์ต่างๆของโควิดเข้ามา ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ติดง่าย มีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการจัดงาน เสนอให้เลื่อนออกไปก่อนหรือยกเลิกไปเลย แต่ทางทางผู้จัดงานชี้แจงว่ามีมาตรการควบคุมการระบาดของโรคที่ดีพอ
ท้ายที่สุดหลังจากมีการถกเถียงได้ข้อสรุปจากนายโยชิฮิเดะ ซูงะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อต้นมิ.ย. 2021 ยืนยันว่าจะจัดงานโอลิมปิกตามกำหนด เพราะมีมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดสามารถจัดงานได้อย่างปลอดภัย ส่วนเรื่องการที่จะให้คนเข้าไปชมงานได้หรือไม่นั้นจะมีการประชุมกันอีกที
หากเราเป็นรัฐบาลญี่ปุ่นที่ต้องตัดสินใจว่าจะจัดหรือไม่จัดโอลิมปิกครั้งนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่ เพราะรัฐบาลได้มีการลงทุนเตรียมการไว้เป็นอย่างดี จริงๆต้องได้จัดตั้งแต่ปี 2020 แล้ว แต่ถูกเลื่อนมาปีนี้เพราะโควิด คณะกรรมการโอลิมปิกสากลไม่น่าจะยอมให้เลื่อนอีก แต่ถ้าจัดไปอาจทำให้มีการระบาดของโควิดอีกรอบซึ่งน่าจะหนักกว่าเดิม
ในสถานการณ์แบบนี้วิธีคิด (Mind set) เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะมีผลต่อการตัดสินใจ mindset แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ วิธีการคิดแบบยึดติด (Fixed Mindset) และวิธีการคิดแบบยืดหยุ่น (Growth Mindset)
>> วิธีการคิด (Mindset) คืออะไร?
_ อ้างอิงจากทฤษฎีของ “Carol Dweck”
. วิธีการคิดแบบยึดติด (Fixed Mindset) คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องคงสภาพไว้แบบเดิม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ต้องใช้ชีวิตแบบที่เคยทำมา ไม่คิดถามหาเหตุผล ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง มีความเชื่อว่าสิ่งที่ติดตัวมา เช่น ความฉลาด, สถานะชนชั้นไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ สิ่งที่เป็นต้นทุนเดิมที่ติดตัวมาแต่เกิดจะนำพาไปสู่ความสำเร็จ ไม่เชื่อผลของความพยายามว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
. วิธีการคิดแบบยืดหยุ่น (Growth Mindset) คิดว่าคนเราแม้จะมีสิ่งที่ติดตัวมา เช่น ความรู้, ความสามารถ, ความฉลาด แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้หากได้รับโอกาส การฝึกฝน และมีประสบการณ์มากพอ เชื่อในผลของความพยายามว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ได้ ดังนั้นจะมีความคิดใหม่ๆและสร้างสรรค์พัฒนาสิ่งต่างๆให้ดีกว่าเดิม
>> ความสำคัญของวิธีการคิด (Mindset)
_ คนที่มีวิธีการคิดแบบยึดติด (Fixed Mindset) จะไม่มีการพัฒนาตนเองไปในทางที่ดีขึ้น เพราะเชื่อว่าทุกอย่างได้ถูกกำหนดมาไว้แล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้
_ คนที่มีวิธีการคิดแบบยืดหยุ่น (Growth Mindset) เชื่อว่าทุกสิ่งไม่จีรัง สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ มีความหวังในการที่จะพยายามปรับตัวเองหรือสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น
>> ทำอย่างไรให้มีวิธีการคิดแบบยืดหยุ่น (Growth Mindset)
@ ยอมรับจุดอ่อนของตัวเอง
_ การที่เรารู้และยอมรับจุดอ่อนของตัวเองจะทำให้เราคิดที่วิธีแก้ไขจุดอ่อนนั้น
_ ความยาก คือ การยอมรับว่าเรามีข้อเสียอะไร ถึงแม้จะไม่ชอบตัวเองที่มีข้อเสียนั้น แต่มันคือตัวเรา เราต้องยอมรับข้อเท็จจริงก่อนว่าทุกคนไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ แต่เราสามารถที่จะพัฒนาได้ถ้าเรายอมรับและฝึกปรับมัน
@ มองปัญหาและอุปสรรคเป็นโอกาส
_ เวลาที่ต้องเจอกับสิ่งใหม่ๆหรือต้องตัดสินเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ให้มองว่าเป็นโอกาสพัฒนาตัวเอง เพราะเราจะได้ทำสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยทำ
_ บางคนไม่กล้าออกนอก comfort zone เพราะกลัวการล้มเหลว
_ ข้อเท็จจริง คือ ไม่ว่าจะทำอะไรต้องมีทั้งที่เราสมหวังและผิดหวัง สิ่งสำคัญไม่ใช่ผลลัพธ์ (ends) แต่คือประสบการณ์การเรียนรู้ (means) ที่ได้ระหว่างทางมากกว่า
@ เลือกวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะกับตัวเอง
_ แต่ละคนถนัดในการใช้วิธีการเรียนที่ไม่เหมือนกัน เช่น บางคนต้องอ่านหนังสือเองถึงจะเข้าใจ แต่บางคนเรียนรู้จากการลงปฏิบัติ ซึ่งแต่ละวิธีไม่มีผิดไม่มีถูก ใครถนัดวิธีไหนก็ใช้วิธีนั้น
_ คนที่มีวิธีการคิดแบบยืดหยุ่น (growth mindset) จะปรับตัวทดลองใช้วิธีการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ ไม่ยึดติด
@ สมองของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต
_ แต่ละครั้งที่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตัวเซลล์สมองจะมีการแตกกิ่งก้านสาขาเพิ่ม เปรียบเสมือนเซลล์สมองเป็นเสา พอเรียนรู้ใหม่จะมีเชือกงอกออกมาเป็นสะพานเชื่อมโยงแต่ละเสาไว้ ทำให้เรามีสะพานการเดิน (วิธีการคิดแบบใหม่) เพิ่มขึ้น
@ ให้ความสำคัญว่าเราได้เรียนรู้อะไรมากกว่าการที่จะสนใจว่าคนอื่นมองเราอย่างไร
_ หากเราไปใส่ใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรา อาจทำให้เราไม่กล้าคิดหรือทำอะไรที่แตกต่างไปจากขนบเดิม แต่ถ้าเราเปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่ว่าเราจะได้อะไรจากการที่ทำสิ่งใหม่ๆจะทำให้เรามีการพัฒนาตนเอง
@ มีเป้าหมายว่าทำไปเพื่ออะไร
_ มีคำถามก่อนที่จะทำสิ่งต่างๆว่าทำไปเพื่ออะไร ไม่ใช่ทำเพราะคนอื่นบอกให้ทำ หรือทำเพราะเคยทำแบบนี้มา มีการทบทวนดูว่าสิ่งที่ทำอยู่มันมีประสิทธิภาพหรือได้ผลลัพธ์ที่เราตั้งเป้าไว้มั้ย ถ้าไม่ใช่ให้เปลี่ยนวิธีดู
@ ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น (constructive criticism)
_ การที่คนอื่นช่วยวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์เรื่องข้อดีข้อเสียในสิ่งที่เราทำ หรือให้ข้อเสนอแนะถือว่าเป็นสิ่งที่ดี บางคนมีความเชื่อผิดๆว่าคนที่พูดจงใจทำให้เสียหน้า พยายามอย่ามองว่าสิ่งที่เค้าวิจารณ์เป็นเรื่องส่วนตัว (take it personally) แต่เค้าพูดเพื่อให้เรามีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
@ เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองและคนอื่น
_ การทำผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย สำคัญที่ว่าเราได้บทเรียนอะไรจากความผิดพลาดนั้น เรียนรู้และหาทางแก้ปัญหา เพื่อไม่ให้ผิดพลาดซ้ำแบบเดิมอีก
@ ดื่มด่ำเรียนรู้และตั้งเป้าหมายใหม่ไปเรื่อยๆ
_ การที่เราดื่มด่ำ มีความสนใจกับสิ่งที่ทำ จะทำให้เรามีการพัฒนามากขึ้น เพราะเราจะใจเต้น รอลุ้น กระตือรือร้น อยากที่ทำต่อไปเรื่อยๆ
@ อย่าใจร้อนทุกอย่างต้องใช้เวลา
_ ในการฝึกฝนทำสิ่งใหม่ๆต้องใช้เวลา หากเสียเวลาใช้วิธีหนึ่งแล้วไม่ได้ผล ให้ลองปรับไปใช้วิธีอื่นดูเพื่อที่ผลจะได้ต่างจากเดิม
ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจากการจัดจะเป็นอย่างไร หมอขอเป็นกำลังใจให้ญี่ปุ่นปลอดภัยและผ่านวิกฤตไปได้ค่ะ
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– “Berserk: อยู่อย่างไรในวันที่ถูกทรยศ”
– ชุดนักเรียนญี่ปุ่น x ชุดนักเรียนไทย: จำเป็นต้องมีหรือไม่
– พลังแห่งการรับฟังจะยับยั้งการเข้าป่าอาโอกิกาฮาระแห่งความตาย
– “ตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง”
– “แนนโน๊ะ x โทมิเอะ: ความแค้นและการให้อภัย” (เรต18+)
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#การจัดโอลิมปิกของญี่ปุ่นในยุคโควิด: ยืดหยุ่นหรือยึดติด?