วิทยานิพนธ์เรื่อง Dragon Ball – Saga 1 Arc 2
เนื่องจากเมื่อปี ค. ศ. 2020 ผู้เขียนได้ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับ Dragon Ball โดยชื่อหัวข้อวิทยานิพนธ์คือ Japanese Manga as Intercultural Media of the U.S. and Japan: A Case Study of Akira Toriyama’s Dragon Ball
(สามารถอ่านวิทยานิพนธ์ฉบับเต็มได้ ที่นี่) มีมิตรสหายกรุณาให้คำแนะนำว่าวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษและเต็มไปด้วยทฤษฎีรวมทั้งประเด็นทางวิชาการที่เข้าใจยาก ควรย่อยออกมาเขียนเป็นคอลัมน์ให้ผู้อ่านทั่วไปที่สนใจสามารถอ่านเข้าใจง่าย จึงเป็นที่มาของคอลัมน์นี้
โดย Dragon Ball ทั้งเรื่องแบ่งเป็นทั้งหมด 7 Saga ใหญ่ และในแต่ละ Saga จะแบ่งเป็น Arc ย่อย ๆ ตามแต่ละภารกิจที่ต้องทำในแต่ละ Arc แต่ตัววิทยานิพนธ์วิเคราะห์ไว้เพียง 5 Saga คือจบศึกดาวนาเม็กเท่านั้น ส่วนคอลัมน์ซีรีส์นี้ใน Marumura จะกล่าวถึงเฉพาะประเด็นเรื่องพล็อตและภารกิจ รวมทั้งการออกแบบตัวละครของเรื่อง Dragon Ball ที่น่าสนใจและผู้อ่านทั่วไปสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก เป็นหลัก
พล็อตและภารกิจของ Saga 1 Arc 2
ใน Saga 1 Arc 2 นี้ เกาะติดกับเนื้อเรื่องไซอิ๋ว หรือ Journey to the West อย่างหนักหน่วงมาก แม้ว่า หยำฉา และ ปูอัล จะปรากฏตัวแล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นพันธมิตรกัน จึงยังไม่ได้มีบทบาทหลักมากนัก ภารกิจช่วงนี้จึงไปอยู่ที่การดับไฟให้ปราสาทของราชาปีศาจวัว เพราะพวกโกคูและบุลม่ารวมทั้งอูลอนที่มาเป็นพวกแล้ว อยากได้บอล 6 ดาวในปราสาทของราชาปีศาจวัว แต่มีไฟล้อมรอบปราสาทอยู่จึงไม่มีใครเข้าไปได้
สรุปภารกิจใน Arc นี้มีดังนี้
1) แนะนำตัวละคร อูลอน, ราชาปีศาจวัว, จีจี้
2) ราชาปีศาจวัวขอร้องให้โกคูไปขอยืมพัดใบกล้วยจากผู้เฒ่าเต่า
3) ผู้เฒ่าเต่าโยนพัดใบกล้วยทิ้งไปแล้ว จึงต้องใช้พลังคลื่นเต่าสะท้านฟ้าดับไฟเสียเอง
4) โกคูปล่อยพลังคลื่นเต่าสะท้านฟ้าสำเร็จจากการดูและเลียนแบบเท่านั้น โดยไม่เคยฝึกใด ๆ มาก่อน
การออกแบบตัวละครของ Saga 1 Arc 2
ใน Arc นี้ค่อนข้างเคารพต้นฉบับเรื่อง Journey to the West อย่างมาก เพราะในเรื่องไซอิ๋วต้นฉบับก็มีตอนคล้าย ๆ กันนี้ คือคณะจาริกแสวงบุญของพระถังซัมจั๋งเดินทางมาถึงจุดแห่งเทือกเขาเพลิง ซุนหงอคงต้องไปขอยืมพัดเหล็กขององค์หญิงพัดเหล็กมาใช้ดับไฟเพื่อจะได้เดินทางผ่านเทือกเขานี้ได้ องค์หญิงพัดเหล็กเป็นภรรยาของราชาปีศาจกระทิงในวรรณกรรมต้นฉบับ แต่ Dragon Ball ทำให้ราชาปีศาจกระทิงเป็นราชาปีศาจวัวไปแทน และไม่ได้กล่าวถึงภรรยาเป็นพิเศษ แต่ให้มีลูกสาวคือจีจี้ แทน และขอยืมพัดใบกล้วยจากผู้เฒ่าเต่าแทนที่จะเป็นขอยืมพัดเหล็กจากองค์หญิงพัดเหล็กตามต้นฉบับ
1) อูลอน จริง ๆ ต้นฉบับเขียนว่า ウーロン ซึ่งเป็นเสียงภาษาญี่ปุ่นของคำว่า ชาอูหลง (และตัวละครฝ่ายบู๊นับจาก Arc นี้ไปจะมีชื่อเป็นอาหารจีนล้วน ๆ ตามสไตล์ของอาจารย์โทริยะมะที่ชอบเอาชื่อของกินมาตั้งเป็นชื่อตัวละครอยู่แล้ว) ส่วนในต้นฉบับไทยถอดสียงออกมาเป็น อูลอน ดังนั้น อูลอน และ อูหลง ที่จริงคือตัวละครเดียวกัน อูลอนเป็นหมูเพื่อให้รับบทเป็นตือโป๊ยก่าย มีความสามารถแปลงกายได้ และนิสัยหื่นลามก เหมือนตือโป๊ยก่ายต้นฉบับทุกประการ ตอนนี้เลยมีตัวละคร 3 ตัวแล้วคือ โกคูเป็นซุนหงอคง, บุลม่าเป็นพระถังซัมจั๋ง, อูลอนเป็นตือโป๊ยก่าย โดยอูลอนตามปกติมักจะแต่งตัวด้วยเครื่องแบบคล้ายเครื่องแบบทหารของพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยก่อน อาจเพื่อแสดงให้เห็นความเป็นจีนตามการรับรู้ของอาจารย์โทริยะมะในยุคนั้นที่จีนแผ่นดินใหญ่ยังไม่ได้เปิดประเทศ (ต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบันมาก เพราะ Arc นี้เขียนตั้งแต่ปี ค. ศ. 1984)
2) ราชาปีศาจวัว ก็เป็นการล้อเลียนแบบ Parody ของราชาปีศาจกระทิง ในเรื่องไซอิ๋วต้นฉบับ
3) จีจี้ เป็นตัวละครที่โทริยะมะสร้างขึ้นมาเอง โดยบุลม่าเป็นภาษาอังกฤษสไตล์ญี่ปุ่นจากคำว่า Bloomers ที่แปลว่า กางเกงชั้นในผู้หญิง ส่วนจีจี้แปลว่า หัวนม เพราะ Dragon Ball เป็นการ์ตูนวัยรุ่นชาย จึงจะมีตัวละครขาย sexy โผล่มาบ้าง แต่อย่างไรก็ตามมีบทบรรยายไว้ชัดเจนว่าจีจี้ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบเอเชีย เพราะโกคูแยกเพศไม่ออกต้องแตะหรือสัมผัสหว่างขาของอีกฝ่ายถึงจะรู้เพศ เมื่อจีจี้โดนโกคูใช้เท้าสัมผัสหว่างขา จีจี้ก็คิดในใจว่า “เป็นลูกผู้หญิงโดนผู้ชายสัมผัสส่วนนั้นแล้ว โตขึ้นต้องเป็นภรรยาของผู้ชายคนนั้น” ซึ่งเป็นความคิดที่เอเชียอนุรักษ์นิยมมาก เป็นตัวละครที่ถูกวางบุคลิกและทัศนคติให้แย้งกับบุลม่าตลอดทั้งเรื่องจากนี้ต่อไป เพราะบุลม่าคือตัวแทนแห่ง the West อยู่แล้วในขณะที่จีจี้เป็นตัวแทนแห่ง the East
4) ผู้เฒ่าเต่า ได้โชว์ท่าไม้ตายคือคะเมะฮะเมะฮะ (พลังคลื่นเต่าสะท้านฟ้า) เป็นครั้งแรก ซึ่งออกเสียงพ้องกับ “พระเจ้า Kamehameha” ซึ่งเป็นอดีตกษัตริย์ของฮาวายก่อนกลายเป็นอเมริกาในปัจจุบัน เป็นการตอกย้ำความเป็นฮาวายสุดขีดของการออกแบบตัวละครนี้ แต่ทว่าเอ็ฟเฟ็กต์ท่าไม้ตายกลับกลายเป็นแบบฮ่องกงสุดขีดไปแทน (อย่าลืมว่าฮ่องกงในยุคนั้นยังคงอยู่ใต้ร่มของอังกฤษอยู่บ้าง ยังไม่ได้กลับมาเป็นของจีนเต็มตัวหลังปี ค. ศ. 1997 ดังนั้น การกล่าวถึงจีนและฮ่องกงใน Dragon Ball ยุคนั้นจึงเป็นการมองคนละดินแดน คนละกลุ่มวัฒนธรรรมกัน) ซึ่งช่วงปี 1984 กำลังเป็นยุคทองของหนังจีนกำลังภายในฮ่องกงที่นิยม visualize พลังลมปราณ คือพลังลมปราณ (気 ในภาษาจีนออกเสียงว่า “ชี่” หรือในภาษาญี่ปุ่นออกเสียงว่า “คิ”) เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่หนังบู๊ฮ่องกงยุคนี้นิยมเปลี่ยนลมปราณให้เป็นแสงสีเสียง ซึ่งเรื่อง Dragon Ball ก็มีการใช้เทคนิคนี้เป็นครั้งแรกใน Arc นี้ และแสดงให้เห็นพรสวรรค์ทางวิทยายุทธของโกคูระดับสูงมาก เพราะผู้เฒ่าเต่าใช้เวลาถึง 50 ปีจึงฝึกท่านี้สำเร็จ แต่โกคูแค่มองแล้วเลียนแบบก็ทำได้เลย
สรุปคือ ใน Saga 1 Arc 2 นั้น ยังคงเน้นพล็อต Journey to the West แบบบิดเบือนไปบ้างให้เป็นฉบับของอาจารย์โทริยะมะเอง ผสมกับภาพลักษณ์แห่งจีนแผ่นดินใหญ่ในยุค 30 กว่าปีก่อน, การสร้างตัวละครหญิง 2 ตัวที่แย้งกันทั้งบุคลิกและทัศนคติเป็นตัวแทนแห่งแนวคิดตะวันออกและตะวันตก, ผสมคิวบู๊การปล่อยพลังแบบหนังฮ่องกงยุครุ่งเรือง, และผสมกับการตอกย้ำความเป็นฮาวายของตัวละครผู้เฒ่าเต่าให้ชัดขึ้น
ติดตาม Saga 1 Arc 3 ได้ในบทความครั้งต่อไป
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– วิทยานิพนธ์เรื่อง Dragon Ball – Saga 1 Arc 1
– รีวิว “มหาวิทยาลัยนานาชาติ” ของญี่ปุ่นเทียบกับของไทย
– โฮ-เร็น-โซในยุคดิจิทัล: ตัวอย่างการประยุกต์ใช้จริงแบบง่าย ๆ
– เกิดเป็นเอเลี่ยนในญี่ปุ่นนั้นอยู่ยาก: เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังคงปฏิเสธไม่ให้ชาวต่างชาติเช่าที่พัก
– CEFR คืออะไร แล้วทำไม JLPT ต้องใช้ CEFR ตั้งแต่ปี ค. ศ. 2025?
ขอบคุณรูปภาพจาก
https://www.quora.com/Why-does-Oolong-wear-a-communist-uniform
https://dragonball.fandom.com/wiki/Ox-King
https://onlinediscount.2024outletbestsale.ru/
#วิทยานิพนธ์เรื่อง Dragon Ball – Saga 1 Arc 2