วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (6) การบำบัดใจด้วย “กายคตาสติปัฏฐาน” ผ่านการฝึก BJJ
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน พบกันอีกแล้วนะครับ ขณะที่ผมกำลังเขียนต้นฉบับอยู่ตอนนี้ ผมอยู่ในระหว่างการ “กักตัว” ครับ ภาวะโควิดเริ่มเข้ามาเคาะประตูบ้านหนักขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าแค่ไปตลาดก็อาจเป็นผู้เสี่ยงสูงได้ ซึ่งผมในวันที่เขียนต้นฉบับนี้ กักตัวมาได้เป็นวันที่เจ็ด ตรวจมาแล้วสองครั้งไม่พบเชื้อโควิด ร่างกายยังแข็งแรงดียังบริหารร่างกายได้ต่อเนื่องทุกวันนะครับ
นั่นแหละครับที่ผมอยากจะย้ำว่า พยายามทำทุกวันให้เต็มที่ เพราะพรุ่งนี้อาจไม่มีโอกาสได้ทำ ตอนนี้ก็เลยไม่ได้ไปยิม แต่ก็พยายามพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ฝึกพลังเอวและขาเพิ่มเติม ศึกษาวิดีโอในยูทูปให้มากๆ เพื่อจะได้ไอเดียอะไรมาปรับปรุงข้อบกพร่องของตัวเอง
วันนี้ผมขอพูดถึงเนื้อหาจากหนังสือเล่มเดิมของพระอาจารย์ไทเซน ในข้อที่เกี่ยวกับประโยชน์ของการนั่งฌาน (ซาเซน) ในการ “จัดระเบียบระบบประสาทและสมอง” ซึ่งข้อนี้ผมไม่ขอบรรยายอะไรให้มากความไป ได้แค่ยืนยันว่า การที่คนเราอยู่ในภาวะ “เพ่งอารมณ์จนเกิดสมาธิ” นั้น ความวิตกกังวล ความเครียดต่างๆ มันจะมลายหายไป
ซึ่งในภาวะนี้ (ที่เราเรียกว่า “ฌาน”) นั้น ผมคิดว่า มันเกิดได้ทั้งในการนั่งฌานและการซ้อมบนเบาะ ฉะนั้นอย่าแปลกใจว่าสำหรับฝรั่งหลายๆ คน เขาบอกว่า BJJ นี่เป็น “การบำบัด” (therapy) อย่างหนึ่งได้เลยนะครับ ไม่เชื่อลองดูภาพการ์ตูนข้างล่าง
อยากจะบอกว่า ชีวิตผมเนี่ย เหมือนในการ์ตูนอันนี้เปี๊ยบเลย (ที่มา: skeletonclaw.com) เวลาคุณอยู่บนเบาะ ไม่มีที่ว่างสำหรับความกังวลเรื่องอื่นๆ จะเรื่องลูก เรื่องโควิด เรื่องเศรษฐกิจ รัฐบาล ฯลฯ ช่างแม่มันไว้ก่อน เราต้องรู้จักที่จะวางอะไรพวกนี้ไว้บ้างเพื่อรักษาสุขภาพกายใจของเราให้เป็นปกติ (แถมอีกนิด จริงๆ มีบทความภาษาอังกฤษที่ว่าด้วยเรื่องบีเจเจกับจิตวิทยาด้วย หากสนใจลองเข้าไปอ่านได้นะครับ
https://www.psychologytoday.com/us/blog/women-who-stray/201412/the-psychology-brazilian-jiu-jitsu)
ฉะนั้นผมคิดว่าคงไม่เป็นการพูดเลยเถิดเกินไปถ้าผมจะบอกว่า การฝึก BJJ นั้นจัดว่าเป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจัดเข้ามาอยู่ในหมวด “กายคตาสติปัฏฐาน” ได้ แล้วกายคตาสติปัฎฐานนั้นเป็นอย่างไร? เพื่อความกระจ่าง ผมขอยกข้อความจากพระไตรปิฎกมาเลยนะครับ (พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ๙ กายคตาสติสูตร)
ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่าง
ก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติหายใจออก
มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจ
เข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้
กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจ
เข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกาย
สังขาร หายใจเข้า เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่
อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้น
ได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
กำลังเดิน หรือยืนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน หรือนั่งอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง หรือ
นอนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ อยู่ ก็รู้ชัดว่า
กำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปใน
ธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริ
พล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
รู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับ ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลางอแขน
และเหยียดแขน ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ในเวลา ฉัน ดื่ม
เคี้ยว และลิ้ม ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลา เดิน ยืน นั่ง
นอนหลับ ตื่น พูด และนิ่ง เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไป
ในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริ
พล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
แล ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด
ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ
มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนไถ้มีปากทั้ง ๒ ข้าง เต็มด้วยธัญญชาติต่างๆ ชนิด คือ ข้าวสาลี
ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วทอง งา และข้าวสาร บุรุษผู้มีตาดี แก้ไถ้นั้นออกแล้ว
พึงเห็นได้ว่า นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วทอง นี้งา นี้ข้าวสาร
ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล
ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วย
ของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่
ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น
น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความ
เพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญ
กายคตาสติ ฯ
อย่างที่บอกไปแล้วว่าในชีวิตบนเบาะ คุณจะได้ตระหนัก ได้รู้สึกถึงทุกอย่างที่ผมไฮไลท์มา ลมหายใจเวลาเหนื่อยหอบ ท่วงท่าที่เราเคลื่อนไหวทั้งตอนที่เป็นฝ่ายกระทำและถูกกระทำ การปะทะกันของเนื้อหนัง กระดูก ความเจ็บปวดในข้อต่อ ความอึดอัดเวลาโดนทับหรือโดนรัดคอ เหงื่อ เลือด (นานๆ ทีถ้าผิดคิว)
เมื่อเราเพ่งอยู่ในอารมณ์มากๆ สมาธิจะเกิดเอง จิตใจจะสงบ พ้นจากสิ่งรบกวนในชีวิตประจำวันจะการงาน การเมือง เรื่องโรคระบาด คอนเทนต์ขยะสร้างความขัดแย้งในโลกโซเซี่ยล ฯลฯ เมื่อถึงจุดหนึ่งหากคุณเอาสิ่งที่ได้ประสบบนเบาะมาคิดพิจารณา มันอาจช่วยให้คุณ “เข้าใจชีวิต” มากขึ้น
เอิ่ม…ไม่ต้องรัดคอจนสลบก็ได้นะฮะ (ฮา) (ภาพจาก pinterest)
นอกจากพระอาจารย์จะได้กล่าวถึงประโยชน์ของการนั่งฌานแล้ว สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างสำหรับคนสมัยนี้ เอาพูดถึงชีวิตประจำวันเลยนะครับ ยังมีอีกสองอย่างคือเรื่องการนอนหลับ กับเรื่องเซ็กส์
การนอนหลับ พระอาจารย์ไทเซนได้เขียนว่า เราควรเข้านอนและตื่นนอนให้สัมพันธ์กับเวลาที่พระอาทิตย์ตกและขึ้น พูดง่ายๆ คือเราควรนอนตอนสองหรือสามทุ่ม ตื่นตีสี่หรือตีห้า แต่ถ้าวิถีชีวิตไม่อำนวยจริงๆ อย่างน้อยอย่านอนดึกเกินเที่ยงคืนและตื่นให้เช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าทำได้ความต้องการพลังงานของร่างกายต่อวันอาจจะเหลือแค่วันละพันแคลอรี่ได้
ข้อนี้บอกตรงๆ ว่าทำได้ยากสักหน่อย ตัวผมเองเวลาไปซ้อมเสร็จกว่าจะมาถึงบ้านก็สองทุ่มกว่า ทำกิจอะไรต่างๆ เสร็จก็จะสามทุ่มแล้ว แต่อย่างแย่สี่ทุ่มกว่าต้องนอนละ เพราะตื่นมาอีกทีหกโมงกว่าต้องไปทำงาน กินอาหารพอบำรุงกายให้มีแรงไปซ้อม
เรื่องเซ็กส์ พระอาจารย์ไทเซนได้เขียนว่า ที่ผ่านมาบรรดาคำสอนในศาสนาและกรอบศีลธรรมต่างๆ ล้วนทำอย่างกับว่าเซ็กซ์เป็นของต้องห้าม (จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม) ซึ่งก่อให้เกิดความกลัว การทรมานตน และความคับข้องใจ การศึกษาสมัยใหม่นั้นสมควรนำเอาความหมายที่แท้ ความหมายตามธรรมชาติแต่เดิมของเซ็กส์กลับคืนมาสู่สังคม
เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า เซ็กซ์คือพลัง (จากชีวิตแห่งจักรวาล) เซ็กซ์นั้น เป็นสิ่งที่ “เพิ่มคุณภาพใหม่” ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ทั้งหลาย นำพาความรักและความสัมพันธ์ของมนุษย์ไปสู่มิติที่สูงสุด และนำมาซึ่งความสุขที่แท้ การฝึกนั่งฌานนั้นจะก่อให้เกิดการปฏิวัติในตัวปัจเจกบุคคล อันนำไปสู่ “จิตสำนึกที่ถูกต้อง” “การหายใจที่ถูกต้อง” “การนอนหลับที่ถูกต้อง” “เซ็กส์ที่ถูกต้อง”
ข้อนี้ท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็ลองไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันดูนะครับ
สิ่งที่ผมอยากจะเน้นย้ำในบทความตอนนี้ก็คือ คนเรามีทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ต้องดูแลครับ ซึ่งสำหรับผมในทุกวันนี้ BJJ ทำให้ผมมีสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น ได้มีความตระหนักในเรื่องของสุขภาพทั้งกายและจิตในมิติต่างๆ มากขึ้น
การกินอาหาร การนอนหลับพักผ่อน และการได้กลับมาศึกษาปรัชญาเซนอีกครั้งในรอบ 20 ปี (หรือเปล่าหว่า?) ก็ช่วยทำให้ความคิดของผมแหลมคมขึ้น มองเห็นหนทางที่เราควรจะต้องเดินต่อไปชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิม
แม้ในช่วง “วิกฤติโควิด” ซึ่งคุกคามและบั่นทอนชีวิตส่วนตัวของผมในหลายด้านๆ ก็ตาม แต่ผมไม่คิดจะยอมจำนนกับมันง่ายๆ ก็ยังตั้งใจฝึกซ้อม แม้จะโดนกักตัวตอนนี้ก็ยังพยายามออกกำลังกาย ฝึกดริลอะไรต่างๆ ไปทุกวันครับ
อย่าเพิ่งเบื่อหน้าผมนะครับ คราวหน้าคงไม่มีรูปจะลงแล้วจริงๆ คราวนี้ขอลงก่อนละกัน ภาพเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้ครับ เนื่องในโอกาสเลื่อนสายชาวคณะในยิมจากน้ำเงินเป็นม่วง และจากขาวเป็นน้ำเงิน ส่วนผมเหรอ? ขอตัวไปฝึกขาก่อนนะ (ฮา)
อันนี้เป็นภาพที่ระลึกพิธีเลื่อนสาย ฉะนั้นสมาชิกก็จะเยอะๆ หน่อย (ฮา) อาทิตย์หน้าพบกับใหม่ครับสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (5) แมวสามตัว กับการจัดการกับ Ego ของตัวเองในการเรียน BJJ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (4) กาย เทคนิค ใจ จากซามูไรถึงยูยิตสู
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (3) เรียนรู้การ “ทะลวงชีวิต” เมื่อพบกับ “วิกฤติวัยกลางคน”
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (2) “ฮิชิเรียว” 非思量 เมื่อการ “ไม่หยุดคิด” คือทางรอด
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (1) “จนกว่าโยมจะตายน่ะแหล่ะ”
#เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (6) การบำบัดใจด้วย “กายคตาสติปัฏฐาน” ผ่านการฝึก BJJ