วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (12) ถึงทุกสิ่งล้วนเป็น “อนิจจัง” (มุโจ 無常) ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ทุกสิ่งเป็นอนิจจังไม่เที่ยงจริงๆ นะครับ สำหรับซี่รี่ส์ “เซนกับบราซิลเลี่ยนยูยิสสู” นี้ ในตอนนี้ก็มาถึงตอนจบสุดท้ายแล้วนะครับ
พูดถึงเรื่องของอนิจจังไม่เที่ยงเนี่ยตัวผมเองก็เป็นเหมือนกันจากที่เคยเล่าให้ฟังในตอนที่แล้วว่าสัปดาห์นั้นฟิตดี มีแรงมาก ขนาดที่ว่าไปซ้อม bjj ได้ 5 วันในรออบสัปดาห์ เลยทีเดียว แต่พอสัปดาห์ต่อมาปรากฏว่า ตอนซ้อมอยู่ดีๆ กล้ามเนื้อต้นขาด้านในตรงส่วนที่อยู่เหนือข้อพับเข่าไป เจ็บทั้งสองข้างเลยเวลาที่นั่งพับเพียบ ก็เลยซ้อมไม่ได้เต็มที่
แถมความเครียดจากการงานดันมามีผลต่อ Performance ในยิมอีก คือแทนที่ปกติเวลาเครียดจากงานมาเล่น bjj แล้วจะหายปรากฏว่าคราวนี้พกความอึนมาถึงบนเบาะด้วย ผลประกอบการก็เลยห่วยแบบเห็นๆ แถมยังควบคุมแรงตัวเองไม่ได้ เขาสอนปัดขา (อาชิบาไร 足払い foot sweep) ดันกลายเป็นปัดซะแรงจนเกือบจะเหมือนเตะ ตอนโรลยังโดนสายดำคอมเม้นอีก เรียกว่า จะห่วยไปถึงไหน เลยทีเดียว
โชคดีอยู่อย่างนึง ในบรรดาผู้คนทั้งหลายทั่วโลกซึ่งเขาได้เดินมาบนเส้นทางของ bjj นี้ ไม่ได้มีผมคนเดียวที่เคยรู้สึกว่าตัวเองห่วย
Cr. Photo: https://www.princetonbjj.com/interview-with-emily-kwok-leading-the-way-for-women-in-bjj/
ขออนุญาตคัดบางตอนของบทความจาก princetonbjj.com เขียนโดย Emily Kwok ยกมาดังนี้
So… dear white belt.
I’ve sucked 1000 x more than you and my rank and ability just show you how long I’ve tolerated being humbled over and over again.
ฉะนั้น ถึงสายขาวที่รัก
ฉันเคยห่วยมาเยอะกว่าคุณเป็นพันเท่าแล้ว และขั้น (สาย) และความสามารถของฉันเป็นเพียงเครื่องแสดงให้คุณเห็นว่าฉันได้ทนกับการถูกทำให้รู้สึกว่าตัวเองกระจอกงอกง่อยมานานแค่ไหนแล้วแค่นั้นเอง
นั่นแหละครับ ตามนั้น (ฮา)
มาคิดในอีกแง่หนึ่งผมว่าผมก็เก่งพอตัวนะที่ทนกับความห่วยของตัวเอง ทนการโดนอัดมาได้ตั้ง 3 ปีแหนะ อย่างน้อยสิ่งที่ผมได้กลับมาก็คือร่างกายที่น้ำหนักตัวแทบจะเท่ากับตอนหนุ่มเมื่อ 10 ปีก่อน และความสำนึกในอะไรหลายอย่างที่ตัวเองเคยลืมไปแล้วก็กลับมาจำได้อีกครั้งหนึ่ง ความอดทนนั้นอย่างไรเสียก็ต้องมีผลตอบแทนในทางใดทางหนึ่งเสมอ แต่ทว่า ในการที่จะสามารถอดทน เดินบนหนทางที่ไกลอย่าง bjj ชื่อฝรั่งบางคนถึงกับเปรียบว่าราวกับวิ่งมาราธอนนั้น เราต้องรู้จักวิธีการที่จะจัดการกับจิตใจตัวเอง
ลองอ่านคำต่อไปนี้จากพระอาจารย์โดเง็นดูนะครับ
うを〔魚〕水をゆくに、ゆけども水のきは〔際〕なく、鳥そらをとぶに、とぶといへどもそらのきはなし。
ปลาว่ายในน้ำไป ถึงว่ายไปน้ำก็ไร้ขอบเขต นกบินบนฟ้าไป ถึงบินไปฟ้าก็ไร้ขอบเขต
ผมเขียนแค่นี้เอาไว้ทิ้งท้ายให้ไปคิดกันต่อเองครับ
มาว่ากันเรื่องของอนิจจัง (มุโจ 無常) ดีกว่าตามที่พระอาจารย์ไทเซนได้บรรยายในหนังสือดีกว่า
Of all the things that live, subject to the antagonistic and complementary effects of the two poles yin and yang in every point of space between heaven and earth, Not one escapes change and death. Mujo hangs over your head at every instant, and maybe suddenly attack before you know.
สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ล้วนอยู่ภายใต้อิทธิพลที่เป็นปฏิปักษ์กันและเสริมกันของหยินและหยางทั้งสองขั้ว ในทุกจุดของที่ว่างระหว่างสวรรค์และโลก ไม่มีใครหนีความเปลี่ยนแปลงและความตายไปได้ “อนิจจัง” (มุโจ 無常) แขวนอยู่บนหัวของท่านทุกขณะ และอาจจู่โจมก่อนที่ท่านจะรู้ตัวก็ได้
You must concentrate upon and consecrate yourself wholly to each day, as though a fire were raging in your hair. You must be prudent always, remember mujo, and never weaken.
ท่านต้องเพ่งสมาธิไปที่ตัวเองและอุทิศตัวเองอย่างเต็มที่ในแต่ละวัน ราวกับว่าไฟกำลังโหมกระหน่ำอยู่บนเส้นผมของท่าน ท่านต้องระมัดระวังอยู่เสมอ ระลึกถึงอนิจจัง และอย่าได้อ่อนแอ
เวลาที่เราคนไทยพูดถึงคำว่าอนิจจัง เรามักไพล่ไปคิดถึง “คำสอนตามสูตรสำเร็จ” ของพุทธศาสนาแบบไทยๆ ที่ว่า “เกิดแก่เจ็บตาย” แค่นั้น มันไม่ผิดหรอกนะครับ แต่ถูกแค่ส่วนเสี้ยวเดียว การที่คนเราจะรู้คิดถึงสิ่งที่เรียกว่าอนิจจังนั้น ไม่ต้องรอจนแก่หรอกครับ อนิจจังมันเกิดขึ้นได้ทุกวัน เหมือนที่ผมเล่าเรื่องของผมไปตอนต้นนั่นแหละครับ อาทิตย์ก่อนยังคึกอยู่ดีๆ พอมาอาทิตย์นี้เจ็บตัวซะแล้ว และจริงๆแล้วการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของสิ่งต่างๆ ก็ไม่ต้องรอจนแก่เหมือนกัน มันอาจเกิดขึ้นและก็หายไปได้ “ตลอดเวลา” เพราะฉะนั้นการที่เราจะมีความรู้คิดระวังตนนั้นเราก็ต้องพยายามฝึกให้เราทำได้เป็นได้ “ตลอดเวลา” เช่นกัน
Soon your death will come; never forget that, from one moment of consciousness to the next. from breathing in to breathing out. If you do not live so, you are not truly one that seeks the way.
อีกไม่นานความตายจะมาเยือน อย่าได้ลืมเลือนข้อนี้ จากชั่วขณะจิตหนึ่งไปยังชั่วขณะติดต่อไป การหายใจเข้าถึงหายใจออก ถ้าท่านไม่ใช้ชีวิตให้ได้อย่างนี้ ท่านก็มิใช่ผู้ที่แสวงหาหนทาง (มรรค) อย่างแท้จริง
Now I shall tell you the best way of solving the problem of your life and your death: practice zazen. What is called zazen is sitting on a zafu in a quiet room, absolutely still, in the exact and proper position and without uttering a word, The mind empty of any thought, good or wicked. It is continuing to sit peacefully, facing a wall and nothing more. Everyday.
บัดนี้ข้าพเจ้าจะบอกท่านถึงหนทางที่ดีที่สุดในการไขปัญหาเรื่องชีวิตและความตาย นั่นคือการฝึกนั่งฌาน สิ่งที่เรียกว่าการนั่งฌานคือการนั่งบนอาสนะ (ซะฟู 坐蒲) อยู่ในห้องเงียบๆ อยู่นิ่งๆ ในท่วงท่าที่เที่ยงตรงและเหมาะสม โดยไม่เอ่ยคำพูด จิตใจปราศจากความคิดใดๆ ไม่ว่าจะดีหรือเลว นั่งอย่างสงบสุขต่อเนื่อง หันหน้าเข้าหากำแพงเพียงเท่านั้น ทุกๆ วัน
In zazen there is no special mystery, no particular motivation. But through zazen Your life will assuredly prosper and flourish and become more perfect. Therefore you must let go of every intention and give up the idea of achieving any goal whatever, through or during zazen.
ในการนั่งฌานนั้น ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องลี้ลับเป็นพิเศษ ไม่มีแรงจูงใจอะไรจำเพาะเจาะจง แต่ด้วยการนั่งฌาน ชีวิตของท่านจะรุ่งเรืองและอุดมและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ฉะนั้นท่านต้องละจากเจตนาใดๆ ทั้งปวง และเลิกคิดเรื่องการบรรลุเป้าหมายใดๆ ในช่วงที่กำลังนั่งฌาน
Where, in your body and your mind, is the true method by which you can live and die? You must understand by engaging in profound introspection.
ท่านจะอยู่หรือตายด้วยวิธีใด แล้ววิธีที่แท้นั้นอยู่ที่ไหนในกายและในจิตของท่าน? ท่านต้องเข้าใจสิ่งนั้นโดยการเพ่งพิจารณาตัวเองที่อยู่ข้างในให้ลึกซึ้ง
หากผมจะพูดให้เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ ในเมื่อเราเชื่อว่าในโลกนี้มีสองสิ่งที่ตรงกันข้ามคือหยินกับหยาง มีเย็นมีร้อน มีอ่อนมีแข็ง ละก็ จากที่เราใช้ชีวิตอยู่กับ “การคิด” การคาดหวัง การตั้งเป้าหมายอะไรตลอดเวลามาตลอดแล้ว เราก็ควรลองฝึกหัดทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม คือจากคิดเป็น “ไม่คิด” จากคาดหวังเป็น “ไม่คาดหวัง” เสียบ้าง จึงจะรักษาสมดุลจิตใจและร่างกายไว้ได้
เมื่อผมอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผมเริ่มรู้สึกได้ทันทีว่าหลังจากที่ผมได้กระโดดโลดเต้นกับการฝึกมาตลอด (แบบที่คาดหวังกับตัวเองเยอะแต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้ดังหวัง) ผมควรจะหาเวลาหรือใช้เวลาช่วงปีใหม่นี้แหละ “พักเสียบ้าง”
ฉะนั้นการบรรยายถ่ายทอดคำสอนของพระอาจารย์ไทเซนจากหนังสือ the zen way to the martial arts โดยกระผม ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ โดยส่วนตัวผมดีใจมากที่ว่าหนังสือที่เคยเป็นแรงบันดาลใจตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อน ในที่สุดก็ได้มีโอกาสกลับมาอ่านศึกษาอีก และนำความมาถ่ายทอดแก่ท่านผู้อ่าน การตีความของผมนั้นอยู่บนเพียงพื้นฐานประสบการณ์ส่วนตัวเท่าที่ตัวผมเองมีประสบการณ์ตรงเท่านั้น อาจจะไม่สมบูรณ์พร้อมแต่ถ้าท่านผู้อ่านเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงผมก็ดีใจมากแล้วครับ
ก่อนจากกันในสัปดาห์นี้ ไม่สิ ในปีนี้ (เพราะเสาร์หน้าก็เป็นปีใหม่แล้ว) ขอเชิญท่านผู้อ่านชมภาพ “อาหารญี่ปุ่น vegan” จากร้าน Aeeen (อาอีน) ที่เขาว่าเป็น “อาหารโชจินแบบใหม่” ซึ่งคลี่คลายมาจากอาหารมังสวิรัติอย่างที่พระเซ็นท่านฉัน แต่เอามาทำให้มีความเป็นสมัยใหม่ ร้านอยู่ในซอยตรงข้ามเทศบาลตำบลสุเทพ การได้กินอาหารอะไรแบบนี้หลังจากฝึกซ้อมเสร็จมีความรู้สึกว่าเหมือนเป็นการชำระล้างทั้งกายและใจไปพร้อมๆ กัน เลยทีเดียว กินข้าวแกงกะหรี่หน้าเทมเป้ชุบเกล็ดขนมปังทอด กับสลัดเต้าหู้ ร้านนี้เต้าหู้ทำเองนะครับเจ้าของร้านโม่ถั่วเหลืองเองเลย แต่ยังไม่อิ่ม (ฮา) เลยต้องกินหมอนี่ตบท้าย
ข้าวปั้นใส่บ๊วยกับมายองเนส เปรี้ยวอร่อยสดชื่น (แจ่บๆ)
ชำระล้างกายให้สะอาดด้วยการออกกำลังกายฝึกฝนตนเองให้เหงื่อออก ทานอาหารที่สะอาด ย่อยง่าย ดีต่อสุขภาพ ก็เป็นการชำระใจด้วย
ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านใช้เวลาช่วงปีใหม่พักผ่อนกันให้เต็มที่นะครับแล้วเจอกันใหม่ปีหน้า 2565 ครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (11) ฝึกวิชาต่อสู้เพื่อ “ชีวิต” ฝึกสมาธิจิตเพื่อ “เตรียมตัวตาย”
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (10) “พลังลมปราณ” 気 (คิ) กับการจัดการกับความกลัว
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (9) ว่าด้วยการฝึกฝน “กระบวนท่า” 形 (คาตะ) และการดำรงกายใจให้มั่นในโลกที่บูดๆ เบี้ยวๆ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (7) ประชุมวิทยายุทธแมว
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (12) ถึงทุกสิ่งล้วนเป็น “อนิจจัง” (มุโจ 無常) ก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป