พักนี้เห็นละครบ้านเรา ดึงเอาละครแนวญี่ปุ่นๆ มาสร้างในละครไทยเยอะพอสมควร คราวนี้เรามาดูฝั่งญี่ปุ่นกันบ้างว่า พล็อตแบบไทยๆ จะเป็นยังไงในละครญี่ปุ่น!
พักนี้เห็นละครบ้านเราดึงเอาละครแนวญี่ปุ่นๆ มาสร้างในละครไทยเยอะพอสมควร คราวนี้เรามาดูฝั่งญี่ปุ่นกันบ้างว่า จะมีพล็อตแบบละครบ้านเรา ในละครบ้านเขาบ้างไหมนะ จริงๆ ก็มีบ้างค่ะ
แต่เป็นพล็อตที่ไม่ได้ออกตัวว่า หมายถึง “ละครไทย” โดยเฉพาะนะ แต่เป็นพล็อตที่ดูๆ ไปแล้วเนี่ย มีความคล้ายคลึงกับละครไทยบ้านเราเลยล่ะ แต่เขาจะมีการพลิกแพลง ดำเนินเรื่องที่ต่างออกไปบ้างค่ะ งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่า…พล็อตแบบไทยๆ จะเป็นยังไงในละครญี่ปุ่น!
1. สลับลูก
พล็อตแนวสลับลูกที่เราเห็นอยู่อย่างบ่อยๆ ในละครไทย ญี่ปุ่นเองก็มีค่ะ เป็นพล็อตที่อยู่ใน “ภาพยนตร์” เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่อง “Like Father Like Son” พล็อ ตนี่มาแบบเดียวกันกับของไทยเราเลยค่ะ เป็นเรื่องราวของครอบครัวสองครอบครัวที่ลูกสลับกัน อยู่มาวันหนึ่งต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าลูกที่เลี้ยงมาเป็นเวลา 6 ปีไม่ใช่ลูกของตัวเองจริงๆ!

ความต่างของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ แทนที่จะปิดบังความลับเรื่องลูกให้ไปเปิดเผยในตอนท้ายๆ เรื่อง ผู้แต่งเรื่องนี้กลับเลือกที่จะทำพล็อตให้มีชั้นเชิงกว่า ด้วยการให้ตัวละครรู้ตัวตั้งแต่แรกๆ ค่ะว่า ลูกที่เลี้ยงอยู่ไม่ใช่ลูกของตัวเองจริงๆ แล้วไปเล่นประเด็นที่ว่า “เมื่อไม่รู้ว่าเป็นลูกจริงๆ แล้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่เลือกที่จะทำอย่างไรต่อไป” จะรักเขาเหมือนเดิมหรือเปล่า อะไรทำนองนี้ค่ะ ไม่ได้ใช้ “ความลับ” เรื่องลูกสลับกันมาเล่นมาสร้างความตื่นเต้นให้คนดูลุ้นอะไรมากมาย แต่ไปเล่นชีวิตหลังจากรู้ความจริงแทน จากพล็อตภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้สร้างความประทับใจ ความซาบซึ้งให้กับคนดูมามากมายเลยค่ะ
2. “นายฮะ”
พล็อต “นายฮะ” ก็คือ แนวนางเอกต้องปลอมตัวเป็นผู้ชายค่ะ จริงๆ พล็อตนี้มันก็ไม่ถือว่าไทยจ้าซะทีเดียว เพราะไม่ว่าละครเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น ก็จะมีแนวนี้กันเยอะค่ะ แต่ถ้าเป็นในละครญี่ปุ่นแล้วล่ะก็ พระเอกมักจะจับได้ก่อนค่ะว่า…นางเอกไม่ได้เป็นผู้ชาย แต่ปลอมตัวมา แล้วก็จะเก็บเงียบไว้ แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว เพื่อที่จะได้อยู่กับนางเอกไปนานๆ
ตัวอย่างละครญี่ปุ่นแนวนี้ก็เช่น “Hanazakari no Kimitachi e” ค่ะ คนแรกที่รู้เลยว่านางเอกปลอมตัวมาเพื่อเข้ามาในโรงเรียนชายล้วน ก็คืออาจารย์ที่เป็นหมอประจำโรงเรียนค่ะ แค่แรกเห็นก็รู้แล้วว่าเป็น “หญิง” ก็ร่างกายอ้อนแอ้นซะขนาดนั้น แม้จะใส่สเตรัดหน้าอก ซอยผมสั้นก็ปิดบังไม่ได้หรอก ส่วนพระเอกรู้ว่านางเอกปลอมตัวมาก็ตั้งแต่ตอนที่ 3 ของเรื่อง เพราะแอบไปได้ยินความจริงมาโดยบังเอิญ ซึ่งถือว่าเร็วมาก แต่ถ้าเป็นละครบ้านเราแล้วล่ะก็…จะต้องให้พระเอกรู้เข้าในตอนจบ แล้วก็ทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน เกิดเป็นปมขัดแย้งให้หาทางมารักกันได้เช่นเดิม
แต่ละครญี่ปุ่นจะออกแนวประมาณว่า ถ้าพระเอกรู้แล้วจะทำตัวยังไง จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ออกแนวพล็อต “สลับลูก” ค่ะ ที่ไม่ได้เก็บความลับไปเฉลยในตอนจบ แต่จะนำเสนอการมีชีวิตอยู่ต่อท่ามกลางความจริงที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

ปล. แต่เรื่อง Hana Kimi นี้ พวกเพื่อนๆ นางเอกจะยังไม่รู้ความลับว่านางปลอมตัวมาค่ะ จะไปรู้เอาตอนท้ายๆ ก็เหมือนกับว่าจะให้พระเอกรู้ก่อน แล้วนำเสนอว่าพระเอกจะทำตัวยังไง และถ้าเพื่อนรู้ล่ะ เพื่อนจะรู้สึกแบบไหน ประมาณนี้ค่ะ ส่วนความสมเหตุสมผลในเรื่องรูปร่าง เหมือนในเรื่องจะให้เหตุผลว่า นางเอกเป็นผู้ชายตัวเล็ก ความโชคดีของนางก็คือว่า เล่นกีฬาเก่งพอๆ กับผู้ชายค่ะ มีพละพลังที่เท่าเทียมผู้ชายด้วย พอที่จะทำให้คนอื่นเชื่อได้ว่าเป็นผู้ชายจริงๆ รวมถึงเวลาเข้าห้องน้ำ นางก็จะเข้าไปทำท่ายืนฉี่ก็เขาด้วยเหมือนกัน… (. . )
3. ปิ๊งรักกับหนุ่มเทพบุตร
อืมมมมม…พล็อต แนวนี้หาเจอได้ไม่บ่อยในละครญี่ปุ่นค่ะ แนวนางเอกได้ไปรู้จัก ตกหลุมรักกับชายหนุ่มที่หล่อ และร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็มีอยู่บ้างค่ะ เช่น “Rich Man Poor Woman” หรือพวกละครที่สร้างจากมังงะอย่างเรื่อง “Hana Yori Dango” (F4) หรือเรื่อง “Ouran High School” เป็นต้น
ละครพล็อตแนวนี้ของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ มักจะเป็นเรื่องราวความรักของผู้หญิงแสนธรรมดา กับชายหนุ่มรูปงาม ที่ทั้งเก่งและร่ำรวย
เรื่องมือที่สามก็มี แต่ดูไม่ใช่ประเด็นที่น่าปวดหัวเท่าไร เพราะมีประเด็นที่น่าปวดหัวกว่าก็คือ การที่ผู้หญิงธรรมดามารักกันกับชายเพอร์เฟ็ค มันอาจจะเต็มไปด้วยปัญหาอีกอย่างเลยก็คือ “ไลฟ์สไตล์” การชีวิตที่แตกต่างกัน เขากินข้าวในร้านอาหารหรู แต่ฉันยังคงชินกับการกินข้าวข้างทาง หรือเวลาเข้าสังคมกับพวกไฮโซก็จะเป็นอะไรที่วางตัวลำบากมาก รวมถึงต้องต่อกรกับแม่ฝ่ายชาย

ก็แอบคล้ายๆ ละครไทยค่ะ แต่รู้สึกว่าจะขั้นโหดกว่า จนดูไปแล้วรู้สึกว่า ถ้าเทียบกับคู่รักที่มีชีวิตใกล้ๆ กัน น่าจะสบายใจกว่าเยอะ! จนรู้สึกว่า ฉันกับเธอรักกันก็จริง แต่มีบางอย่างที่ไปด้วยกันไม่ได้หรอก

อย่างเช่น เรื่อง “Rich Man Poor Woman” ที่จู่ๆ นางเอกก็เลือกที่จะหนีหน้าไปจากพระเอกไปซะดื้อๆ ก็คงมาจากเหตุผลแบบนี้แหละค่ะ แล้วละครก็จะเสนอต่อว่า ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะแก้ไขปัญหาต่อไปอย่างไร ซึ่งมันทำให้เราเห็นว่า… ชีวิตแบบนี้ มันก็มีนะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแฮปปี้ เอ็นดิ้งเลยจริงๆ ถ้าอยากแฮปปี้ ทั้งคู่ต้องรู้จักปรับตัวเข้าหาซึ่งกันและกันค่ะ (เรื่องนี้จะมีตอนหนึ่งที่พระเอกถูกไล่ออกจากบริษัท ชีวิตจมดิ่งมาก กลายเป็นคนจน ช่วงนั้นเลยทำให้พระเอกปรับตัวเข้าสู่ชีวิตของสามัญชนคนธรรมดาได้ค่ะ)
4. ยั่วโมโหแล้วจับปล้ำซะเลย
พล็อตแบบนี้ละครญี่ปุ่นก็มีค่ะ แต่มักจะไม่ใช่ฉากที่พิศมัย รื่นเริงใจกันสักเท่าไร ก็มีบ้างบางเรื่องที่จะจับให้พระ-นางมาปะทะอารมณ์กัน จนพระเอกโมโหแล้วจัดการซะเลย แต่พระเอกญี่ปุ่นมักจะทำไม่สำเร็จค่ะ! เพราะถ้านางเอกไม่ยินยอม นางจะสู้อย่างสุดชีวิต! ถ้าได้เอ่ยปากว่าบอกให้ “ปล่อย” ก็คือต้องปล่อยจริงๆ แบบนี้…

5. หนี้แค้นแสนรัก
พล็อตนี้ก็จะออกแนวนางเอกติดหนี้ก้อนโตกับพระเอก แล้วไม่มีเงินไปใช้หนี้ หนทางออกแบบคลาสิกก็คือ “เอาตัวขัดดอก” จะบอกว่าพล็อตแนวๆ นี้ในละครญี่ปุ่นก็มีเช่นกันค่ะ แต่พระเอกในละครญี่ปุ่นจะมีวิธีการที่ต่างออกไป ยกตัวอย่าง เช่น เรื่อง “Zeni no Sensou” ใน เรื่องเนี่ย พ่อของนางเอกติดหนี้กับบริษัทสินเชื่อแห่งหนึ่ง แล้วเผอิญว่าพระเอกก็ทำงานที่นี่เช่นกัน ต้องมาตามเก็บหนี้จากครอบครัวนางเอก แล้วทางนางเอกเนี่ยก็ไม่มีเงินไปใช้หนี้ค่ะ สิ่งที่พระเอกละครเรื่องนี้ทำก็คือ “หาทางให้เงินมันงอกขึ้นมา” โดยการเดินดุ่มๆ เข้าไปในบ้านเลยค่ะ ค้นหาทรัพย์สินที่พอจะขายต่อเอาเงินมาได้ แล้วก็เหลือบไปเห็นหนังสือหายาก ที่ดูเป็นของที่ขายได้ราคามากที่สุด พระเอกเลยจัดแจงเอาหนังสือไปขาย และเอาเงินนั้นมาใช้หนี้แทน

สรุปก็คือ นางเอกไม่ต้องเอาตัวเข้าแลก ได้เงินใช้หนี้ แถมฝ่ายพระเอกก็ได้เงินไปด้วย พระเอกก็คงคิดว่า เอาตัวนางเอกไป นอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว ยังอาจต้องเสียเงินในการเลี้ยงดูเพิ่มอีก เอาเป็นว่าหาวิธีอื่นที่จะได้เงินแบบจับต้องได้ดีกว่า แหม! ช่างเป็นพระเอกที่แก้ปัญหาได้ถูกจุดจริงๆ เลยค่ะ!
นี่ก็เป็นพล็อตที่เราเห็นบ่อยๆ ในละครไทย แต่ก็มีในละครญี่ปุ่นค่ะ จะเห็นได้ว่าก็มีบางอย่างที่คล้ายกัน แต่ก็มีส่วนที่แตกต่างกันด้วยวัฒนธรรม รวมถึง “ความสมจริง” และอะไรหลายๆ อย่าง ที่ต้องปรับให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น จากพล็อตเดิมๆ แต่นำเสนอในมุมที่แตกต่าง ออกแนวพล็อตธรรมดาแต่มีชั้นเชิง!