คั่นรายการโดย Lordofwar Nick
ถอดรหัส “รัฐนิยม” (2) “ญี่ปุ่นมหามิตร” เพื่อเพื่อน น้อยกว่านี้ได้ยังไง
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลังจากที่ตอนที่แล้วเปิดไปเบาๆ วันนี้จะขอเล่าเหตุการณ์สองอย่างที่ทำให้ “ญี่ปุ่น” ในสายตาไทย จากที่เคยเป็น “ฮีโร่” ที่ชื่นชม มาเป็น “มหามิตร” ในแบบที่ “เราช่วยท่าน ท่านช่วยเรา” ดังนี้นะครับ
ที่ประชุมสันนิบาตชาติเรื่องปัญหาแมนจูเรีย
ญี่ปุ่นเข้ายึดครองดินแดนแมนจูเรียในปี พ.ศ. 2474 เพราะอยากได้ทรัพยากรและที่ตั้งยุทธศาสตร์ (อ่านแล้วอยากเล่นเกม Civilization จัง) พอรัฐบาลจีนโวยไปที่สันนิบาตชาติ (พูดแบบหยาบๆ มันคือร่างต้นแบบของสหประชาชาติ) ญี่ปุ่นก็ชิงลาออกจากสันนิบาติชาติเฉยในปี พ.ศ. 2477 พอถึงปี พ.ศ. 2480 ได้มีการจัดประชุมที่กรุงบรัสเซลล์เพื่อ “ตำหนิ” (จริงๆ ต้องเรียกว่า ประณาม) นโยบายของญี่ปุ่นในเรื่องนี้ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส บอกว่า ควรไกล่เกลี่ย จีนกับรัสเซียบอก ต้องดำเนินการขัดขวางโดยตรง (แน่ล่ะสองประเทศนี้มันกระทบเพราะพรมแดนติดกันนี่) ส่วนไทยนั้น “งดออกเสียง” (นัยว่าไม่อยากโดนญี่ปุ่นเคือง กลัว แต่ฝรั่งบอก ไม่เชื่อหรอก แอบตกลงเป็นพวกเดียวกันแล้วใช่มั๊ย?)
ญี่ปุ่นบอกซึ้งใจหลาย แถมบอกว่า ถ้าไทยมีเรื่องกับฝรั่งเมื่อไหร่ ขอให้บอก เดี๋ยวจะช่วย (เอาจริงดิ)
การทวงคืนดินแดนในอินโดจีน
อย่างที่ทราบกันว่า สมัยรัชกาลที่ ๕ ไทยเราเสียดินแดนในอินโดจีน คือดินแดนในประเทศลาวและกัมพูชาปัจจุบันให้แก่ฝรั่งเศสไปหลาย ปัญหาอะไรไม่แย่เท่ากับการที่ฝรั่งเศสอ้างเอาดินแดนแบบกินลึกข้ามฝั่งน้ำโขงมาเลย (แทนที่จะเอาร่องน้ำลึกเป็นเขตแดนตามอย่างสากล) ไทยยื่นเรื่องตรงนี้ขอคุยกับฝรั่งเศสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 ข้ามมาถึง พ.ศ. 2482 ก็ยังไม่เกิดผล จนมาปี พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสเสื่อมอำนาจ พ่ายแพ้และต้องขอทำสัญญาสงบศึกกับเยอรมัน คราวนี้แหละ ญี่ปุ่นส่งทหารมาที่อินโดจีนฝรั่งเศส 25,000 นายเลยแบบฉ่ำๆ
ไทยเราพยายามจะคุยกับฝรั่งเศสอีกรอบ เรื่องเส้นเขตแดน แน่นอนว่าฝรั่งเศสจะจะยืนกรานอย่างเดียว ไมยอมถอยให้ ไม่ยอมแก้ไขอะไรทั้งนั้น ประชาชนชาวไทยประท้วงบอกรัฐบาลให้ “ทวงคืนดินแดน” ซะ เกิดการปะทะกันชายแดน ถึงขั้นเครื่องบินรบของอินโดจีนฝรั่งเศสมาทิ้งบอมม์ใส่โรงพักที่นครพนม ไทยก็ส่งเครื่องบินไปทิ้งบอมม์ที่สุวรรณเขตบ้าง (เอาคืนแบบเจ็บกว่า เพราะทิ้งระเบิดใส่
คลังน้ำมัน) รบกับอินโดจีนฝรั่งเศสกันทุกทางทั้งทางบกทางน้ำ (ทะเล) ทางอากาศ รบไปรบมาจนพอเข้าปี พ.ศ. 2484 จึงได้เจรจาหยุดยิง
คราวนี้แหละ ที่ญี่ปุ่นเข้ามาขอเป็น “คนไกล่เกลี่ย”
(ก็บอกแล้ว ไทยมีเรื่องกับฝรั่งเมื่อไหร่ ขอให้บอก เดี๋ยวจะช่วย 555)
โดยยื่นข้อเสนอสุดน่ารัก แบบ “คนกันเอง” ดังนี้
(๑) ญี่ปุ่นจะสนับสนุนให้ไทยได้ดินแดนที่เสียไปคืน ตามความประสงค์
(๒) ญี่ปุ่นรับรองว่าจะไม่เรียกร้องบำเหน็จรางวัลอย่างใดกับไทย ทั้งในขณะนี้และในกาลข้างหน้า โดยเฉพาะหากญี่ปุ่นจะมีข้อพิพาทกับประเทศใด ญี่ปุ่น จะไม่ลวงละเมิดอธิปไตยของไทย
ส่วนฝรั่งเศสถ้าไม่ยอมให้ญี่ปุ่นเป็นคนกลางซะดีๆ ก็จะใช้กำลังทหารทำให้ยอม (นะ)
ในที่สุดเราก็ได้ดินแดนบางส่วนคืนมา ทั้งนี้ การที่ญี่ปุ่นมาเสนอตัวไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ ลึกๆ ก็เป็นเพราะญี่ปุ่นเองก็ได้ประโยชน์ด้วย กล่าวคือ ญี่ปุ่นต้องการใช้อินโดจีนเป็นฐานทัพและแหล่งป้อนทรัพยากรในการขยายอำนาจในแถบนี้ แต่ยังไงเสีย เรื่องราวตรงนี้ก็ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็น “มหามิตร” ของไทยไปเลย (ณ ตอนนั้น) แถมยังดูหล่อมากในสายตาของประชาคมโลกยุคนั้น (จริงดิ)
ในส่วนของเรื่องราวประวัติศาสตร์ ขอหยุดตรงนี้ไว้ก่อน
ได้เวลาถอดรหัส “รัฐนิยม” แล้วครับ
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยรัฐนิยมใช้ชื่อประเทศ, ประชาชน และสัญชาติ
โดยที่ชื่อของประเทศนี้มีเรียกกันเป็นสองอย่าง คือ “ไทย” และ “สยาม” แต่ประชาชนนิยมเรียกว่า “ไทย” รัฐบาลเห็นสมควรถือเป็นรัฐนิยมใช้ชื่อประเทศให้ต้องตามชื่อเชื้อชาติและความนิยมของประชาชนชาวไทย ดั่งต่อไปนี้
ก. ในภาษาไทย
ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ ให้ใช้ว่า “ไทย”
ข. ในภาษาอังกฤษ
๑.ชื่อประเทศ ให้ใช้ว่า Thailand
๒.ชื่อประชาชนและสัญชาติ ให้ใช้ว่า Thai
แต่ทั้งนี้ ไม่กะทบถึงกรณีที่มีบทกฎหมายบัญญัติคำว่า “สยาม” ไว้
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๒ เป็นต้นไป
ประกาศมาณวันที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๒
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยรัฐนิยม ฉะบับที่ ๒
เรื่อง การป้องกันภัยที่จะบังเกิดแก่ชาติ
ด้วยรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า ชาติไทยต้องเป็นที่เทอดทูนของชาวไทยอย่างสูงสุดเหนือสิ่งใด ๆ การป้องกันรักษาชาติย่อมเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนที่ร่วมชาติกันจักต้องป้องกันอันตรายหรือความเสื่อมโทรมของชาติที่อาจจะมีมาด้วยประการต่าง ๆ จึ่งประกาศเป็นรัฐนิยมไว้ ดั่งต่อไปนี้
๑.ชนชาติไทยต้องไม่ประกอบกิจการใด ๆ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์และความปลอดภัยของชาติ
๒.ชนชาติไทยต้องไม่เปิดเผยสิ่งซึ่งอาจเป็นผลเสียหายแก่ชาติให้ชนต่างชาติล่วงรู้เลยเป็นอันขาด การกระทำเช่นนั้นเป็นการทรยศต่อชาติ
๓.ชนชาติไทยต้องไม่ทำตนเป็นตัวแทนหรือเป็นปากเสียงของต่างชาติโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์แห่งชาติไทย ต้องไม่ออกเสียงหรือแสดงตนเข้าข้างต่างชาติในกรณีที่เป็นปัญหาระหว่างชาติ การกระทำเช่นนั้นเป็นการทรยศต่อชาติ
๔.ชนชาติไทยต้องไม่แอบอ้างซื้อขายที่ดินแทนชนต่างชาติในทางที่เป็นภัยแก่ชาติ การกระทำเช่นนั้นเป็นการทรยศต่อชาติ
๕.เมื่อปรากฏว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดทรยศต่อชาติ เป็นหน้าที่ของชาวไทยต้องเอาใจใส่รีบระงับเหตุนั้น
ประกาศมาณวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยรัฐนิยม ฉะบับที่ ๓
เรื่อง การเรียกชื่อชาวไทย
ด้วยรัฐบาลเห็นว่า การเรียกชาวไทยบางส่วนไม่ต้องตามชื่อเชื้อชาติและความนิยมของผู้ถูกเรียกก็ดี การเรียกชื่อแบ่งแยกคนไทยออกเป็นหลายพวกหลายเหล่า เช่น ไทยเหนือ ไทยอิสาณ ไทยใต้ ไทยอิสลาม ก็ดี ไม่สมควรแก่สภาพของประเทศไทยซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้
จึ่งประกาศเป็นรัฐนิยมไว้ ดั่งต่อไปนี้
๑.ให้เลิกการเรียกชาวไทยโดยใช้ชื่อที่ไม่ต้องตามชื่อเชื้อชาติและความนิยมของผู้ถูกเรียก
๒.ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก
ประกาศมาณวันที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒
ผมจะไม่ขอพูดมาก ถึงข้อวิจารณ์ของคนบางกลุ่มในเรื่องของคำว่า “ไทย” ซึ่งบางคนถึงกับบอกว่า “ชนชาติไทยไม่มีอยู่จริง” พึงรู้ไว้ว่าคำพูดของบุคคลที่พูดทำนองนี้ จะโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ถือเป็นการทำลาย “ความเป็นเอกภาพ” ของคนในประเทศนี้ ซึ่งควรจะทำให้มันมี เพราะอย่างที่ได้บอกไปในตอนที่แล้ว ว่า ในเมื่อจุดกำเนิดของชาตินิยม ความรักชาติของคนญี่ปุ่นนั้น มันมาจาก “สำนึกของการเป็นคนชาติเดียวกัน” มันถึง “ร่วมแรงกัน” พัฒนาประเทศชาติได้
บางที “อัตตา” ของคนที่ได้ชื่อว่า “นักวิชาการ” ที่อยากจะอวดความรู้ว่าเรียนมาเยอะ ค้นคว้ามาเยอะ รู้สึกดีที่ได้โชว์พาวเอาความรู้ไปหักล้างคนอื่น หักล้างนั่น หักล้างโน่น หักล้างนี่ไปเรื่อยๆ อาจสนุกจนเลยเถิด หักล้างทำลาย “ประเทศชาติ” ของตนเองก็ได้นะ พึงสังวร
ฉะนั้น ถ้าจะพัฒนาประเทศ (ตามอย่าง “เจแปนโมเดล”) ก็ต้องสร้าง “สำนึกของการเป็นคนชาติเดียวกัน” ให้มันเกิดมีให้ได้ เพราะสิ่งที่มันเป็นอุปสรรค ต่อทั้งความเจริญและความมั่นคงของชาติ มันก็มาจากสำนึกที่ว่า “แตกต่างกัน” เป็นคนคนละเชื้อชาติ คนละหมู่คนละพวก นี่แหละ
นี้จึงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกวางไว้ในรัฐนิยมฉบับที่ 3 ซึ่งพอผมลองอ่านย้อนกลับไปยังรัฐนิยมฉบับที่ 1 จะยิ่งเห็นเลยว่าทำไมจะต้องตั้งชื่อภาษาอังกฤษว่า THAILAND ที่ผมขอแปลแบบบ้านๆ ว่า LAND of คนไทย THAI เพราะในเมื่อเราเป็น “คนไทย” แล้ว เราจึงได้มี “แผ่นดิน (ประเทศ) ของคนไทย” มันคือการยึดโยงอันง่ายๆ แต่ทรงพลังผ่านถ้อยคำ
ท่านผู้อ่านคิดว่า ประเทศไทยเราทุกวันนี้สงบสุข ไม่มีภัยใดๆ ที่จะคุกคามความมั่นคงของชาติหรือไม่?
ตอนนี้ก็เห็นๆ กันอยู่แล้วว่า ไม่
รัฐนิยมสามฉบับแรกที่ผมยกมานี้ ล้วนลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาในปี พ.ศ. 2482 ทั้งสิ้น แปลว่า เป็นช่วงที่กำลังมีเรื่องกับฝรั่งเศสในข้อเรื่องอินโดจีนพอดีเลย
ในห้วงเวลาตอนนั้น ผมมองว่า แนวคิดแนวปฏิบัติใน “รัฐนิยม” ทั้งสามฉบับแรกนี้ “จำเป็นอย่างยิ่ง” ที่จะต้องทำให้มันเป็น
แล้วไม่คิดว่า “ตอนนี้ก็จำเป็น” บ้างเหรอครับ? เรามีทั้งพวกชังชาติที่สนุกกับการก่นด่าทุกอย่างที่ติดป้ายเป็นของประเทศเราเอง เรามีพวกเสรีนิยมที่อ้างความหลากหลายของชาติพันธุ์แล้วต้องการให้เราเรียกคนพวกนี้แยกเป็นกลุ่มๆ (โดยไม่สนใจว่าคนพวกนี้เมื่อรวมกันมากเข้าอาจตั้งกลุ่มอิทธิพล หรืออย่างแย่สุดก็ “รัฐซ้อนรัฐ”) เท่ากับเรายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าประเทศนี้มีชนหลายเผ่า (ตอกลิ่มความแตกต่างเพื่อสะดวกในการแบ่งแยก) เรามีพวกที่รับเงินแล้วเป็นกระบอกเสียงให้ต่างชาติ
เรามีปัญหาเกือบทุกอย่าง ที่คนเมื่อเกือบแปดสิบปีก่อน “มองเห็น” และได้บอกแนวทางที่จะ “แก้ไข” มันแล้ว
แต่สิ่งที่ผมเห็น คือการด้อยค่าแนวทางเหล่านี้ โดยใช้ “การโจมตีตัวบุคคล” เป็นอาวุธ แล้วก็ปล่อยให้บ้านเมืองนี้ดิ่งลงเหวไปเรื่อยๆ
มีแต่ความรู้ในตำรา แต่ไม่มีปัญญาแยกแยะดีชั่ว มันก็ไอ้แค่นั้น
วันนี้เอาแค่นี้ก่อน ไว้ค่อยมาเล่าเรื่องราวกันต่อสัปดาห์หน้านะครับสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ถอดรหัส “รัฐนิยม” (1) “เจแปนโมเดล” เมื่อไทยเราจะเอาญี่ปุ่นเป็นแบบอย่าง (แทนฝรั่ง)
– ว่าด้วย “ชาตินิยมใหม่” (Neo-nationalism) กับปรากฎการณ์ล่าสุดในญี่ปุ่นและไทย
– เมื่อผมสนทนากับ Gemini (2) การกลับมาของ “นีโอคลาสสิก” ใน Gen Alpha
– เมื่อผมสนทนากับ Gemini (1) ว่าด้วยเรื่อง “ความซาบซึ้งกับชีวิตวัยรุ่น”
– SIAM CUP BJJ Summer Edition 2025 ลาก่อนชีวิตวัยรุ่นของฉัน (さようなら青春)
#ถอดรหัส “รัฐนิยม” (2) “ญี่ปุ่นมหามิตร” เพื่อเพื่อน น้อยกว่านี้ได้ยังไง



