信頼 SHINRAI
มีนาคมของญี่ปุ่นในปี 2011 แอบคล้ายๆ กับโลกในวันนี้ … มีนาคม 2020
พวกเรากำลังถูกทดสอบจากธรรมชาติครั้งใหญ่ ว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราเข้มแข็งแค่ไหน…
信頼 SHINRAI
มีนาคมของญี่ปุ่นในปี 2011 แอบคล้ายๆ กับโลกในวันนี้ … มีนาคม 2020
พวกเรากำลังถูกทดสอบจากธรรมชาติครั้งใหญ่ ว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเราเข้มแข็งแค่ไหน…
<<<<<<<<<< 2011 @โตเกียว >>>>>>>>>>
ประเทศญี่ปุ่นเจอแผ่นดินไหวใหญ่ระดับประวัติศาสตร์ มี after shock แค่สี่ร้อยกว่าครั้ง โรงไฟฟ้าปรมาณูฟุคุชิมะก็ระเบิด
แผ่นดินที่สั่นไหว ทำให้ตลาดหุ้นต้องสั่นคลอน
ผู้คนไม่กล้าออกจากบ้าน เพราะไม่มั่นใจว่าถ้าออกไปจะได้กลับบ้านอีกไหม
ข่าวความเสียหายของฟุคุชิมะเละเทะ คนในญี่ปุ่นเองก็ไม่มั่นใจเลยว่าปัญหากัมตรังสีจะเอาอยู่ไหม
พวกเราทุกคนหวาดกลัว กลัวที่จะสูญเสียชีวิตประจำวันที่ปกติสุขไป… และทุกคนไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรที่แย่ๆ ขึ้นอีก
ตัดกลับมาสู่โลกที่ทำงาน ณ โตเกียว ที่พวกผมยังต้องนั่งทำงานโดยเปิดไฟใช้แค่ครึ่งเดียวจากปกติ (เพราะรัฐบาลขอความร่วมมือประหยัดไฟ)
“วินคุง เราให้ทีมเทสต์ API* ตัวใหม่ครบทุกเคสแล้วใช่ไหม?”
มันก็คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตัวนึง ที่อนุญาติให้คนอื่นๆ เอามาใช้ได้โดยไม่ต้องมาเขียนโปรแกรมใหม่ให้เสียเวลา เช่น google map ที่ใครๆ ก็เอามาใช้ได้ ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งเก็บข้อมูล เขียนโปรแกรมแผนที่ทั้งโลกใหม่
“เทสต์แล้วครับ” ผมตอบ แต่ความจริงแล้วผมทำไม่ครบ คิดว่าถ้าเทสต์เคสหลักผ่าน พวกเล็กๆ น้อยๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่แล้วบรรยากาศมาคุก็อุบัติขึ้น หัวหน้ามองตาผมแบบเอาเป็นเอาตาย
“คุณแน่ใจนะ ผมจะโทรไปคอนเฟิร์มคุณทากาฮาชิเดี๋ยวนี้เลย ถามอีกที ว่าแน่ใจใช่ไหม” คราวนี้เสียงหัวหน้าแข็งกร้าว
ระบบหลายส่วนพังยับเพราะสีนามิ คนหลายคนก็มาทำงานไม่ได้ นั่นทำให้ทุกอย่างช้าลง ทีมเทสต์ก็ทำงานได้น้อยลง ผมไม่อยากให้หัวหน้าต้องกังวลมากกว่านี้ ก็เลยคิดว่ารายงานแบบนี้น่าจะดีกว่า มาอธิบายว่า สองร้อยกว่าเคสที่เทสต์คืออะไร ที่กังวลคืออะไร เรื่องเล็กน้อยที่ผมคิดเองว่าน่าจะปล่อยข้ามได้ แต่นี่คือหายนะ…
“เดี๋ยวผมตรวจสอบอีกที แล้วจะอัพเดทนะครับ” ผมใส่เกียร์ถอยหลัง หน้าหดเหลือนิ้วกว่าๆ
“คนจะไม่ฉลาด ไม่ขยัน มันยังพอทนได้… แต่ถ้าไม่ซื่อ มันอภัยกันไม่ได้ เรามีเวลาตรวจสอบงานน้อยลง เราต้องเชื่อใจทีมที่เหลืออยู่อย่างมาก แต่ถ้าเธอพูดไม่จริงจากที่รู้ ทุกอย่างจะพัง วิธีเดียวที่ทำให้เรารอด คือการไม่โกหกซึ่งกันและกัน…”
<<<<<<<<<< 2020 @กรุงเทพฯ >>>>>>>>>>
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คุณแม่คนหนึ่งมาหาหมอ
เธอไอ จาม แต่พอหมอซักประวัติไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยงโควิดเลย ก็เลยตรวจไป โดยไม่ได้ใส่ชุดแบบจัดเต็มอะไร
แต่หลังจากนั้น เราพบว่าลูกเธอติดโควิด!!
งานก็เข้าเลย…เพราะเจ้าหน้าที่ต้องไปสืบกระจายว่าพวกเขาติดมาได้ยังไง
“สงสัยไปติดจากเพื่อนเกาหลีที่มาเที่ยวไทย”
เจ้าหน้าที่ต้องถามต่อว่าไปกินที่ไหน วันไหน เพราะจะได้ track ถูกว่าร้านอาหารร้านไหนต้องปไปตรวจสอบฆ่าเชื้อ
แต่คุณแม่ก็ให้การแบบเต็มไปด้วยความขัดแย้งทั้งเวลา สถานที่… ทุกอย่างเหมือนแต่งเรื่องไปหมด

จนในที่สุดก็โดนจับได้ว่าคุณยาย (แม่ของผู้หญิงคนนี้) ไปกดโปรไฟไหม้เที่ยวญี่ปุ่น ตอนต้นมีนาคม มันถูกจนอดใจไม่ไหว และคุณยายที่แหล่ะก็เอาโควิทอิมพอร์ตรงจากเจแปน มาเป็นของฝากหลานๆ เลย
หมอก็เก็กซิม เพราะวันนั้นดันตรวจโดยไม่ได้ใส่ชุดป้องกัน… แพทย์พยาบาลกลุ่มนั้นก็เลยต้องหยุดงาน เก็บตัว 14 วันไปตามระเบียบ
“แล้วอีแม่นั่น มันโกหกทำไมฟะ” เจ้าหน้าที่หลายคนของขึ้น
คำตอบง่ายมาก… วันนี้ใครกลายเป็นต้นตอโควิด มันจะโดนสังคมโจมตีว่าไม่ระวัง โลภมากเลยไปทำอะไรที่ไม่คิดถึงสาธารณชนเพียงพอ ฯลฯ
ตอนผมทำงานที่ญี่ปุ่น บทเรียนอันหนึ่งที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญมากคือ การทำงานอย่างจริงจัง และจริงใจ
จริงจังคือ ประณีตและใส่ใจในงานทุกบรรทัด คิดให้ครบ ซึ่งเรื่องนี้คนไทยรู้ดีแล้วล่ะ ส่วนจริงใจ คือต้องห้ามโกหก แม้ว่าเหตุการณ์จะบีบให้ อยากทำแค่ไหนก็ตาม ทำได้ก็บอกให้ชัด ทำไม่ทันหรือทำไม่ได้ก็ต้องพูดจริง เพราะในส่วนลึกของมนุษย์ทุกคนล้วนอยากปกป้องตัวเองให้ดูดีกันทั้งนั้น
มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาถกอีกแล้วว่าผู้นำหรือผู้ตาม โง่หรือฉลาด แล้วเราจะรอดหรือตายกันหมด
มันเป็นเรื่องแค่ว่า เราเชื่อใจกันได้มากแค่ไหน
วิธีเดียวที่ทำให้เรารอด คือการไม่โกหกซึ่งกันและกัน…
มันคือ “ความเชื่อใจ” ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน…
คนญี่ปุ่นเรียกสิ่งนี้ว่า 信頼…ชินไร… “Trust”
ปล. ภาพประกอบคือคุณหมอที่ต้องตรวจคนไข้เสี่ยงโควิด 19 ของจริง แต่ผู้เขียนขอสงวนแหล่งที่มาของภาพนะครับ
เรื่องแนะนำ :
– [ดราม่าฤดูโควิด-19] ประสบการณ์สุดพิเศษ “ไปญี่ปุ่น ได้อะไรมากกว่าที่คิด”
– คำถามสิบปีกับวันที่โตเกียว ไม่มีมาราธอน…
– [ทดความคิด] ดราม่าโอลิมปิก – เป้าหมายคุณแน่แค่ไหน?
– อวสาน SUN BOOKS – Book off version Thai “เพราะโลกต้องหมุนไปและตะวันก็ต้องลับฟ้า”
– วินัยจะซื้อชัยชนะได้ไหม?