สำหรับการท่องเที่ยวจังหวัดต่างๆ รอบทะเลในเซโตะ หรือจังหวัดแถบ SETOUCHI นี้ สะดวกสบายเพราะมีเฟอร์รี่ให้บริการเชื่อมต่อถึงกันเกือบหมด จะเที่ยวแบบ Day Tour ก็ได้ อยากค้างคืนบนเกาะเล็กเกาะน้อย หลายๆ เกาะก็มีที่พักเจ๋งๆ ให้บริการ ที่สำคัญโซนนี้ภาษาอังกฤษเพียบนะค๊าาาา ลองไปกันดู ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่น่าสนใจทีเดียว
จากท่าเรือ Uno (จังหวัด Okayama) เรานั่งเฟอร์รี่ไปประมาณ 20 นาทีเอง แวะเที่ยวที่เกาะ Naoshima กัน อ้อ! ลืมบอกว่าสำหรับคนที่เดินทางด้วยรถอย่างเรา ก็สามารถเอารถลงเรือเฟอร์รี่ไปด้วยได้นะ สะดวกดี เพราะเวลาขึ้นเกาะต่างๆ ไปเที่ยว มันทำให้เราสะดวกในการเดินทางในเกาะนั้นๆ มากขึ้นมาเลยล่ะ

มาเล่าถึงเกาะ Naoshima กันต่อ เกาะนี้ได้รับการพัฒนาจากขาใหญ่เรียกว่า Benesse Holdings, Inc. แล้วราวปี 1989 ก็จับมือกับขาใหญ่อีกเจ้า Fukutake Foundation สร้างให้เป็นหนึ่งในเกาะแห่งงานอาร์ตของทะเลในเซโตะ (Seto Inland Sea) หรือเรียกรวมกันว่า Benesse Art Site Naoshima ซึ่งประกอบไปด้วยเกาะ 3 เกาะ คือ Naoshima (จ. Kagawa), Teshima (จ. Kagawa), และ Inujima (จ. Okayama) พัฒนาให้เกาะที่ในอดีตเคยเป็นเพียงแหล่งถลุงแร่ มีชื่อเสียงด้านงานอาร์ตขึ้นมา ฟากหนึ่งของเกาะ Naoshima ที่เราแวะมากันนั้น จึงกลายเป็นเส้นทางชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะเจ๋งๆ ที่ส่วนใหญ่หาชมจากไหนไม่ได้

ภายในเกาะ นักท่องเที่ยวจะสามารถนั่งรถเมล์ เดิน หรือเช่าจักรยานปั่นเพื่อเที่ยวชมกันได้ โดยที่นี่มีจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ เอาใจคองานศิลป์หลายแห่ง อาทิ Benesse House Museum, Lee Ufan Museum, Chichu Art Museum, Ando Museum, Miyanoura gallery 6, Art House Project เป็นต้น และนอกจากนี้ยังมีผลงานศิลปะกลางแจ้ง (Outdoor artwork) ให้เราได้เสพงานศิลป์อีกหลายจุด ใครจะว่าไงไม่รู้ แต่นักท่องเที่ยวมาเยือนเกาะนี้กันคับคั่งอย่างที่เรารู้สึกตกใจเลยทีเดียวล่ะ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นต้องมีแน่ๆ อยู่แล้ว แต่เพิ่งรู้เหมือนกันว่านักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จักที่นี่กันเยอะมาก โดยเฉพาะกลุ่ม “ฝรั่ง” ส่วนใหญ่ก็มากันเป็นแก๊งค์เล็ก แก๊งค์น้อย อย่างเพียบเลย ดูคึกคักมาก …ตอนลงจากเรือเฟอร์รี่ที่ท่าเรือ Naoshima ตอนแรกนึกว่ามาเที่ยวพีพี หรือภูเก็ตไรงี้เลยล่ะ ฮะ ฮะ ที่ตกใจหนักมากคือระหว่างชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะบนเกาะ เจอคนไทยด้วย มีน้องๆ นักศึกษาไทยมาแบบเป็นแก๊งค์ แล้วก็ปั่นจักรยานเที่ยวแบบมาเป็นคู่มี … รู้สึกตกข่าว ประมาณว่า “เฮ้ย! นี่คือที่ของคนมาเสพศิลป์ที่มีชื่อเสียงเหรอเนี่ย!!!”
แถมใกล้ช่วงที่จะมีอีเว้นท์เอาใจคนชอบงานศิลป์ที่ชื่อว่า Setouchi Triennale 2016 ด้วย ตอนช่วงงาน Setouchi นักท่องเที่ยวคงเพียบ โดยงานปี 2016 กำหนดของงานคือระหว่างวันที่ …
20 มี.ค. – 17 เม.ย. (Spring)
18 ก.ค. – 4 ก.ย. (Summer)
8 ต.ค. – 6 พ.ย. (Autumn)
ในช่วงวันงาน ก็จะมีบัตรเฟอร์รีรวม 3 วัน แล้วก็บัตรรวมเข้างานทั้ง 3 ฤดู แบบว่ามาชมกันให้ครบทุกฤดูกาลกันไปเลย สามารถจองล่วงหน้าได้ด้วย
Setouchi Triennale 2016 >> http://setouchi-artfest.jp/en/

เหลือเวลาไม่มาก เราจึงแวะเที่ยวที่ Chichu Art Museum แค่ที่เดียว … คือเรามีรถน่ะ เลยไม่เป็นปัญหา วิ่งตรงไปที่พิพิธภัณฑ์เลย (นั่งรถเมล์จากท่าเรือมา 100 เยนจ้า ป้ายมีภาษาอังกฤษ ไม่ต้องกังวล) ระหว่างทางก็มองเห็น Outdoor artwork และโรงแรมดีๆ บนเกาะด้วย ที่กลัวเป็นพิเศษ..คือคนจะเยอะจนต้องรอคิวนาน เราโชคดีมากที่เจอคนไม่เยอะจนเกินไป ยังสามารถเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์ได้ แม้ว่าแต่ละห้องจัดแสดง อาจจะต้องรอคิวบ้าง เพราะหลายๆ ห้อง ต้องเข้าไปในจำนวนจำกัด เพื่อเสพงานศิลป์โดยเฉพาะ




และนั่นคือเหตุผลให้ไม่ต้องแปลกใจเมื่อเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแล้ว นักท่องเที่ยวทุกคนจึงค่อนข้างสงบปากสงบคำ ยิ่งเข้าไปในแต่ละห้องแล้ว ยิ่งเงียบ เสพงานศิลป์กันไปอย่างดื่มด่ำ อินกันไปตามจริตของแต่ละคน … เงียบนะ แปลกแต่จริง ทั้งๆ ที่นักท่องเที่ยวเยอะเยอะมากมาย (แต่ระหว่างที่เดินไปแต่ละห้อง แน่นอนว่ามีเสียงจอแจบ้าง เพราะบางคนมีไกด์เขาจะอธิบายอะไรได้ก็ตอนนี้ หรือบางคนจะก็พูดคุยวิจารณ์งานศิลป์กันก็ทำได้ตอนนี้แหล่ะ) แต่ที่ไม่ต้องแปลกใจใดๆ คือไม่มีรูปจ้า! ที่นี่เข้มงวดเรื่องการถ่ายภาพมาก เพราะงานศิลป์หลายอย่าง เป็นผลงานของศิลปินดังระดับโลกทั้งนั้น ถ้าพูดชื่อศิลปินออกมา ขนาดเราไม่ค่อยคลั่งงานศิลป์ ชื่อยังคุ้นหูเลย
Benesse Art Site Naoshima >> http://benesse-artsite.jp/en/

เรานั่งเฟอร์รี่ ออกจากเกาะ Naoshima ข้ามทะเลในเซโตะย้อนกลับไปยัง จ. Kagawa บนเกาะชิโกกุ (ที่ที่เราลงเครื่องกันในวันแรก) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 60 นาที ก็จะถึงท่าเรือ Takamasu ระหว่างทางเป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน (ตกน้ำ) พอดี เราจึงใช้เวลาตากลมชมวิวกันอยู่บนด้าดฟ้าเรือ ร่วมกับเพื่อนๆ ต่างชาติอีกเพียบเลยล่ะค่ะ



ลงจากเรือ แล้วเราก็เอากระเป๋าไปโยนที่โรงแรม Takamatsu Washington Hotel Plaza ที่พักใจกลางเมือง ราคาไม่แพง จากนั้นก็ไม่หาอะไรกินกันที่ร้าน Heshin อยู่ในย่านช้อปปิ้งไม่ไกลโรงแรมค่ะ เป็น Izakaya
Takamatsu Washington Hotel Plaza >> http://washington.jp/takamatsu/en/






เกาะนี้ขึ้นชื่อเรื่องสวนมะกอก อารมณ์ประมาณแหล่งเพาะปลูกมะกอกแห่งแรกๆ ในญี่ปุ่นอ่ะค่ะ ไปถึงก็บึ่งรถขึ้นไปที่จุดชมวิวกันก่อนเลย มีนักเรียนตัวน้อยๆ มาทัศนศึกษากันด้วย ถ้าไม่ขับรถขึ้นมา ก็มีจุดที่กระเช้าขึ้นถึงนะค่ะ ในอุทยานแห่งชาติ Setonaikai National Park นี่มีจุดวิวหลายจุด เราไปชมวิวมา 2 จุด วิวสวยดี มีของฝากขาย สงสัยอยู่ว่าถ้าอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ สงสัยต้องนอนที่ Shodoshima นี่แหล่ะ แถมเส้นทางเดินชมธรรมชาติก็น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ จะได้ชมวิวหลายๆ จุดเลย




สุดท้ายมาดูที่มุมของฝากนิดหน่อย (อยู่ตรงสถานีกระเช้านั่นแหล่ะ) ได้ซุปหัวหอมใส่มะกอกมาชิมแล้วอร่อย เลยโดนไปซะ เล่ๆ มุมอาหารกลางวันด้วย ร้านอาหารใหญ่และวิวดีเชียวแหล่ะ (แต่ยังเช้าไป เราจึงไม่กินกันที่นี่ แค่แอบถ่ายอาหารเขามา อิ อิ) ส่วนที่ชอบมากคือห้องน้ำค่ะ ทำห้องน้ำเป็นรูปโค้ง ตกแต่งก็ราวกับยกป่าเก๋ๆ มาไว้ในห้องน้ำ และมีม้านั่งให้ด้วยอ่ะ นั่งปาร์ตี้จิบน้ำชากันได้เลยทีเดียว (^^)”
มาเกาะมะกอก ก็ต้องมาเที่ยวสวนมะกอก เราไปที่สวน Kankakei Olive Garden น่าสนใจนะ เขานำมะกอกมาปั้นเป็นดาราได้เลย ไม่ใช่แค่สวนมะกอกเฉยๆ มีผลิตภัณฑ์มากมายที่ผลิตได้จากมะกอกจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ เครื่องสำอาง ของฝากของที่ระลึก ฯลฯ สมแล้วที่เปิดมานาน (ตั้งแต่ปี 1919) แล้วยังมีนักท่องเที่ยวเยอะทุกวัน ไม่ธรรมดาเลยนะคะ สำหรับที่นี่ everything มะกอกค่ะ!!




แล้วก็ได้เวลาอาหาร กินกันที่สวนมะกอกนี่แหล่ะ มีร้านอาหารอยู่ข้างใน ชื่อว่า Restaurant Olive Palace นี่เป็นมื้อกลางวัน เก๋ไก๋มาก … เราก็ไม่เคยคิดว่าจะหลงรักสลัด! กะอีแค่ราดน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์เข้าไปมันจะอร่อยเหรอ เฮ้ย! แค่นั้นก็ฟินแล้วอ่ะ เขาเอาน้ำมันมะกอกอย่างดี มาวางไว้ให้ราดสลัดตามใจชอบเลย แล้วยังโรยด้วยหมี่กรอบ (เส้นโซเม็ง) ที่ทำจากมะกอกอีก เส้นมะกอกทอดกรอบนี่พี่เขาไม่ได้มาเล่นๆ นะคะ อร่อยค่าาาาา





ถึงจะเที่ยวในทะเลในเซโตะ ไม่ได้เยอะมาก เพราะเราก็อยากเที่ยวที่อื่นๆ ด้วย แต่ยังไงก็มีโอกาสได้ไปลองมาแล้วล่ะ เอาไว้คราวหน้าจะลองนั่งเฟอร์รี่เที่ยวให้ได้หลายๆ เกาะกว่านี้ละกันนะ
สำหรับทะเลในเซโตะในแถบนี้มีเรือเฟอร์รี่ให้บริการเชื่อมต่อถึงกันเกือบหมด นอกจากนักท่องเที่ยวจะสามารถท่องเที่ยวแบบวันเดียวไปกลับได้แล้ว ยังเที่ยวแบบพักค้างคืนได้ด้วย เพราะแต่ละเกาะมีที่พักเจ๋งๆ ให้บริการ ออนซง ออนเซน มีหมด และแม้ละแวกนี้จะเน้นว่าถูกพัฒนามาเป็นแหล่งงานศิลป์ แต่มีจุดท่องเที่ยวประเภทอื่นและกิจกรรมอื่นๆ ไว้สนองนักท่องเที่ยวเพื่อความหลากหลายอีกด้วย (อย่างที่เราไปเกาะมะกอกนี่ไง) ที่สำคัญโซนนี้ภาษาอังกฤษเพียบนะค๊าาาา ก็ลองไปกันดูนะ ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่น่าสนใจทีเดียว
สำหรับทริปนี้ พอสำเริง … สำราญ กับการทัวร์เกาะ Shodoshima ช่วงเช้าไปแล้ว ช่วงบ่ายเราไปจัดกันต่อบนเกาะชิโกกุ นั่งเฟอร์รี่ย้อนกลับไปดูกันว่าในเมืองนี้จะมีอะไรให้เราเที่ยวกันบ้าง …
ก่อนกลับเมืองไทย เราไม่ลืมตั้งแต่มาถึง จ. Kagawa เรายังไม่ได้เที่ยวในเมืองกันเลย นอกจากไปเฉียดๆ เฉี่ยวๆ แหล่งช้อปปิ้งหลังมื้อค่ำเมื่อคืนก่อน ที่จังหวัดนี้มีไฮไลท์หลายจุดเหมือนกันนะ ตามมาดูกันเล้ยยยย
เริ่มจากไปเดินชมสวนสวยๆ จิบน้ำชายามบ่ายที่สวน Ritsurin ดื่มด่ำความงามในมุมมองของชาวญี่ปุ่นกันค่ะ สวนนี้ถือเป็นไฮไลท์ของจังหวัด Kagawa เป็นสวนดัง สวนเด่น ของเมือง Takamatsu มีประวัติยาวนานย้อนไปได้ถึงราวปี ค.ศ. 1625 ที่นี่ถูกแบ่งเป็นสวนทิศเหนือ (จะเป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นเก่าๆ หน่อย ราวๆ ต้นสมัยเอโดะ) และสวนทิศใต้ (เคยถูกใช้เป็นที่ล่าเป็ด ก่อนจะปรับมาเป็นสวนสไตล์โมเดิร์นขึ้นมาหน่อย) มีสระน้ำ 6 สระ และมีเนินเตี้ยๆ ถึง 13 เนิน กว้างมาก ขอบอก!! เดินเมื่อยทีเดียว



ไปแวะจิบชาเขียวกันที่ Kikugetsu-tei (น่าจะแปลประมาณว่า ‘จันทร์เต็มดวง’) อะไรอย่างนี้.. เรือนชาใหญ่ในสวนแห่งนี้ ที่สามารถนั่งชมนักท่องเที่ยวล่องเรือในสระ ชิลๆ สงบจิตสงบใจได้ เย็นสบายจนไม่อยากลุกไปไหน เป็นอีกจุดในสวนที่เอาไว้พักขาและดื่มด่ำกับบรรยากาศได้อย่างมากค่ะ


ที่นี่เลือกชาได้ จะเป็น Matcha (700 เยน) หรือ Sencha (500 เยน) ก็แล้วแต่ชอบ แต่ถ้าจะเข้าไปนั่งพัก ชมวิวสระเฉยๆ (ตรงนี้ถือหนึ่งในจุดชมวิวสวนนี้ที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ล่ะ) ทำไม่ได้!! Kikugetsu-tei ไม่รับค่าเข้าชม … ท่านต้องสั่งชา ถ้าอยากจะเข้าไป เพราะที่นี่คือเรือนน้ำชา ก็ต้องดื่มชาสิเจ้าคะ เหอ เหอ
เราอยู่ที่สวนแห่งนี้กันจนเย็นย่ำเลยค่ะ แต่ละมุมเรียกได้ว่า “งาม” ทั้งนั้น ทั้งเรือนชาเล็ก เรือนชาน้อย สะพาน สระน้ำ และบรรดาต้นสนเก่าบ้าง เด็กบ้าง แต่รูปทรงเลอค่าทุกต้น แบบว่าใส่ใจในการเลี้ยงมากๆ
เลี้ยงเหมือนลูก…ประหนึ่งบอนไซยักษ์ ^^”
เห็นชัดๆ เลยอันไหนตัดแต่งแล้ว อันไหนยัง … เห็นจนท. เขาค่อยๆ เลาะกันทีละใบเลย ไม่ใช่จู่ๆ เอากันๆ ตัดฉับๆ นะ กว่าเจ้ายอดบน ตรงหน้า จนท. เขาจะเข้ารูปอย่างที่เห็นนี่ ดูท่าจะกิน-นอนอยู่บนนั้น เหอๆ
สวนแห่งนี้มีค่าเข้าชมเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับคุณค่าของสถานที่ แค่ 410 เยนเอง
Ritsurin Garden >> http://ritsuringarden.jp/en.Top/en.top.html
ช่วงเย็น เราไปเช็คอินกันที่ Kotohira Hotspring Kotosankaku โรงแรมสไตล์ญี่ปุ่น อยู่ที่เมือง Kotohira แต่ออกนอกเมืองนิดนึง โรงแรมใหญ่มากกกก (เรียกว่าแทบหลงในโรงแรม ฮะ ฮะ)
Kotohira Hotspring Kotosankaku >> http://www.kotosankaku.jp/english/




เข้าโรงแรมกันเร็วหน่อยเพื่อจะได้อาบน้ำแร่ แช่ออนเซ็นกันหลายๆ รอบ เพราะที่นี่มีออนเซนถึง 3 จุด แต่ละจุดก็ให้บรรยากาศไม่เหมือนกัน วิวก็ต่าง อยากได้มุมไหนก็จัดไป ว่าแล้วก็ไปโดนสักครั้งก่อน พอสบายตัวแล้วก็ค่อยไปจัดหนักกับอาหารค่ำ ก็ในโรงแรมนี่แหล่ะ
ห้องอาหารค่ำที่นี่ก็เยอะ การเดินตามหาห้องอาหารช่างสนุก เพราะที่นี่ทางเดินตกแต่งสวย อย่างกับพิพิธภัณฑ์ เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ เหมือนกำลังตามล่าสมบัติเลยทีเดียว 555



เช้าแล้วไปขอพรก่อนกลับไทยเนอะ ไปศาลเจ้าชินโตชื่อ Kotohiragu (Kotohira Shrine) กัน อยู่ใกล้โรงแรม ที่นี่เป็นศาลเจ้าดังของถิ่นนี้ พิสูจน์ได้จากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทั้งจีน ไต้หวัน เกาหลี เพียบ!! และศาลเจ้านี้ก็ไม่ใช่เดินชิลๆ ธรรมดานะคะ ปีนค่ะปีน! ปีนบันไดขึ้นไป หอบเบาๆ ค่ะ แต่วิวสวยเว่อร์ เห็นวิวเมือง Kotohira ทั้งเมืองเลยค่ะ อ้อ! ลืมบอก ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่คนทำธุรกิจเดินเรือ ค้าขายสินค้าโดยทางเรือ หรือชาวประมง จะให้ความศรัทธากันมาก … ลองมากันดูนะคะ





ปีนขึ้นไปถึงก็แวะจิบกาแฟชมวิวที่ร้าน Kamitsubaki (Shiseido Parlour) เป็นคาเฟ่บนภูเขาที่เงียบสงบ คงเพราะอยู่ใกล้ศาลเจ้า และป่าเขา แต่วิวดี๊ดี มีศิลปินคนดังมาตกแต่ง การจัดร้านจึงมีงานอาร์ตๆ ผสมอยู่บ้าง แหม..ถ้ามีบ้านอยู่แถวนี้ คงมานั่งจิบเครื่องดื่ม อ่านหนังสือ ชมวิวเพลินๆ ได้บ่อยๆ แน่เลย (เพ้อออออ)

พอไต่กลับลงมาด้านล่าง เราก็แวะที่ร้าน Nakanoya Koto ย่านนี้เป็นย่านดังเรื่องอุด้งค่ะ เรามาทำอุด้งกันค่ะ (เมินร้านค้าของฝากเป็นร้อยร้าน ที่มีสารพัดของขึ้นชื่อของ Kotohira แต่มุ่งมาที่ร้านนี้เราเดียวให้จบไปเลย เพราะร้านนี้ก็มีของฝากเยอะอยู่ ชั้นล่างเป็นร้านของฝาก ชั้นบนเป็นที่สอนทำอุด้ง)
ครั้งนี้เป็นการทำอุด้งที่มัน! ที่สุด ตั้งแต่เคยทำมา ขอบอกเลยว่าต้องลอง.. แล้วคุณจะหลงรักคุณป้า โอบะซังทั้งหลายที่มาสอน เป็นการทำอุด้งที่สนุกที่สุด ออกสเต๊ปกันมันมาก 555 (และเนื่องจากต้องใส่ถุงมือทำอาหาร .. จึงไม่ภาพตอนทำมาฝาก แหะ แหะ)
ทำเองกินเอง พิสูจน์มาแล้วว่าทุกครั้งที่ลองทำพวกเส้นๆ ของญี่ปุ่น … ทำปุ๊บ ต้มปั๊ม ถ้าสูตรไม่เพี้ยน ยังไงก็อร้อยยยย อร่อย! (^@^) แต่ร้านนี้ความฟินอีกอย่างคือได้ออกสเต๊ปตอนทำ หุ หุ






อนกลับไป Takamatsu เราแวะดูโรงแรมแห่งหนึ่งชื่อ Koubaitei ก็เป็นโรงแรมใหญ่ในย่านนี้ ก็อยู่ใกล้ๆ โรงแรมที่เราพักเมื่อคืนนั่นแหล่ะ นักท่องเที่ยวเยอะอยู่นะ แต่คนไทยไม่เห็นมี
ห้องพักก็มีทั้งแบบตะวันตก (เตียงใหญ่มาก) และแบบญี่ปุ่น มีห้องสำหรับครอบครัว คู่ฮันนีมูน ห้องหรูๆ มีหมด ห้องรับประทานอาหารก็ดูอบอุ่นเป็นกันเอง มีห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ (ที่เราแอบตกใจว่า อ้อ! เห็นคนเงียบๆ ในโรงแรม ที่แท้มารวมตัวอยู่ที่นี่กันนี่เอง คนแน่นเชียว แล้วที่หน้าห้องอาหารก็เป็นเหมือนถนนคนเดินเชียว ร้านช้อปน่ะ นี่มันในโรงแรมแน่เหรอ คึกคักยิ่งกว่าห้างฯ) มีบาร์เก๋ๆ และแน่นอนโรงแรมนี้มีห้องออนเซ็นด้วย และโรงแรมนี้ยังมีความน่ารักตรงที่ห้องทุกห้องมีชื่อเป็นดอกไม้กำกับด้วย ส่วนใหญ่ก็เป็นดอกไม้ญี่ปุ่นแหล่ะ (ห้องเขาเยอะ) เวลาเดินผ่านหน้าห้องแต่ละห้อง เหมือนได้เรียนรู้ชื่อดอกไม้ไปด้วยเลย ฮะ ฮะ
เดินไปสถานีรถไฟกันเลย ที่ Kotohira นี่มีทั้งสถานีรถไฟเอกชน (Kotoden-Kotohira) แล้วก็ JR Kotohira ที่นี้เราจะแวะไปช้อปกันในจุดที่เกือบจะเรียกว่าขาดไม่ได้ สำหรับทุกทริปเวลามาญี่ปุ่น อีออนค่ะ 😉 ที่ Aeon Mall Ayagawa เป็นสาขาใหญ่เบิ่ม ไม่น้อยหน้าอีออนใกล้เมืองใหญ่อื่นๆ ค่ะ ไปด้วยรถไฟจะสะดวกมาก

เราเลือกนั่ง Kododen เหตุผลคือ เดินใกล้กว่า JR (แค่ 150 เมตรนะ 555) นั่งไปลงที่สถานี Ayagawa (410 เยน) แค่เดินข้ามถนนก็ถึง Aeon แล้ว (แต่รถชัตเติ้ลบัสก็มีหน้าสถานีนะ) นั่งรถไฟไม่นานค่ะ ประมาณ 7 ป้าย ชมวิวบ้านเรือนพอเพลินๆ เดี๋ยวเดียวถึง
Aeon Mall Ayagawa >> http://www.aeon.jp/sc/ayagawa/
ช้อปหนำใจแล้ว เราก็นั่งรถไฟต่อเพื่อไปเช็คอินที่ Takamatsu อีกครั้ง (ลงสถานี Ritsurin Koen) คราวนี้พักกันที่ Park Side Takamatsu โรงแรมนี้สะดวกสำหรับเราในตอนเช้ามาก เพราะป้าย Takamatsu Aiport Limousine Bus (หรือป้ายรถเมล์ Ritsurin Koen เนี่ยแหล่ะ) อยู่หน้าโรงแรมเลย ขากลับเรานั่งไฟล์ทเช้าน่ะ
ส่วนมื้อค่ำเราไปจัดกันที่ Kitahama Alley Umie เป็นร้านชิลโดยเฉพาะ ต้องคนชอบแนว Retro ค่ะ นั่งแท็กซี่มาไกลหน่อย แต่สนอง Need ค่ะ บรรยากาศในร้านดีทีเดียว คนญี่ปุ่นมากันเป็นคู่รัก เป็นคู่เพื่อน เลือกมุมใครมุมมัน กระหนุงกระหนิง น่ารักดี (^^)


กลับเข้าโรงแรมไปจัดกระเป๋า เพราะตอนเช้าคือล้อหมุนตอน 6.23 น. (เที่ยวแรกเลยจ้าาาา) ให้โอกาสตกรถได้แค่คันเดียว เพราะคันต่อไปออกตอน 6.26 น. หลังจากนั้น มีสิทธิ์ตกเครื่อง …
ตอนเช้าเราก็ไปรอขึ้นรถที่ป้าย นั่งเที่ยวแรก เพราะเราได้ไฟล์ทเช้าของ JL เครื่องออกตอน 07.20 น. ไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินฮาเนดะเหมือนเดิม ถึงกรุงเทพฯ ราวๆ สี่โมงเย็น เวลาดี นั่ง Airport Link ต่อ BTS กลับบ้านได้ไม่เหนื่อยมาก เพราะสวนทางชาวบ้านเขาเลิกงานกัน เขานั่งรถออกนอกเมืองกันเยอะ เรานั่งรถไฟเข้าเมืองซะงั้น 555
เอาหล่ะ ครบถ้วนกระบวนความ ทริปท่องเที่ยวทะเลในเซโตะ Setouchi (Kagawa 2 วัน) + Tottori 2 คืน สำหรับเรา ก็ถือว่าจบแบบสวยๆ นะ แต่อาจจะเป็นเพราะเราเดินทางกันด้วยรถบัสเล็กเกือบตลอด จะไปสถานที่ไหนๆ ก็เลยเข้าถึงได้ง่ายเลย ไม่ต้องเดินให้เมื่อย แถมยังพกรถลงเฟอร์รี่ไปด้วยอีกต่างหาก เลยยังไม่ได้อารมณ์ความลำบาก (หรืออาจจะไม่) ในการต่อรถไฟ ขึ้นรถเมล์ แบกกระเป๋าเดินขึ้นเรือเฟอร์รี่เหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
ถ้ามีโอกาสจะลองลากกระเป๋าน้อยๆ มาล่องเรือเที่ยวใหม่ละกันนะ สำหรับทริปนี้ลาล่ะจ้า SETOUCHI >>> mata ne!! (แล้วเจอกันใหม่นะ!!) (^^)/

เรื่องแนะนำ :
– เที่ยว SETOUCHI (4) : อำลา Tottori ได้เวลาล่องนาวาทะเลในเซโตะ
– เที่ยว SETOUCHI (3) : ท่องโลกแห่งตัวการ์ตูนในจังหวัด Tottori
– เที่ยว SETOUCHI (2) : เที่ยวทะเลทราย Tottori
– เที่ยว SETOUCHI (1) : จากชิโกกุสู่ฮอนชู…จังหวัด Tottori
ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูล :
http://www.setouchiweb.jp/en/index.html
http://setouchi-artfest.jp/en/
http://benesse-artsite.jp/en/
http://washington.jp/takamatsu/en/
http://ritsuringarden.jp/en.Top/en.top.html
http://www.kotosankaku.jp/english/
http://www.aeon.jp/sc/ayagawa/