คนญี่ปุ่น “ฝึกฝนการล้มเลิก” ไม่เพียงพอ หนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์ของคนญี่ปุ่นคุณ Nomoto ที่ย้ายมาอาศัยในประเทศมาเลเซีย และค้นพบกับวัฒนธรรม “เมื่อเห็นอะไรที่ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปฝืน”
คุณ Nomoto Kyoko ได้เขียนหนังสือเล่มที่ชื่อว่า
คนญี่ปุ่น “ฝึกฝนการล้มเลิก” ไม่เพียงพอ
日本人は「やめる練習」がたりてない
หนังสือเล่มนี้เป็นประสบการณ์ของคนญี่ปุ่นคุณ Nomoto ที่ย้ายมาอาศัยในประเทศมาเลเซีย
และค้นพบกับวัฒนธรรมของคนมาเลเซียที่
“เมื่อเห็นอะไรที่ไม่ชอบก็ไม่ต้องไปฝืน
รู้จักล้มเลิกแล้วค้นหาเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะเจอสิ่งที่ใช่สำหรับตนเอง”
ประสบการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนญี่ปุ่นอย่างคุณ Nomoto
สำหรับคนญี่ปุ่นที่ตั้งแต่เด็ก หากเข้าโรงเรียนไหนก็ย้ายออกไม่ได้ง่ายๆ
เข้าทำกิจกรรมชมรมไหนก็เปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ ต้องฝืนทำต่อไปแม้ไม่ชอบ
คุณ Nomoto ได้รู้จักกับคนต่างชาติด้วยการ Chat ผ่านโปรแกรมอย่าง ICQ และสนิทกับเพื่อนคนมาเลเซีย ทำให้เธอได้มีโอกาสมาเที่ยวที่ประเทศมาเลเซีย
ที่มาเลเซีย คุณ Nomoto พบว่า คนฐานะปานกลางก็สามารถมีบ้านกว้างๆ อาศัยอยู่ คนมาเลเซียพาเด็กไปที่ไหนก็ตาม ผู้คนก็เอ็นดู ซึ่งตรงข้ามกับประเทศญี่ปุ่นยากที่จะพาเด็กไปไหนมาไหนเพราะรู้สึกว่าเป็นการรบกวนผู้อื่น
ประเทศญี่ปุ่นที่แลดูสะดวกสบาย บ้านเมืองสะอาด แต่ทำไมหน้าตาผู้คนแลดูเป็นทุกข์กว่าผู้คนที่มาเลเซีย
คุณ Nomoto คิดว่าสังคมญี่ปุ่นที่พบเห็นเด็กได้น้อยตามตัวเมือง มันเป็นอะไรที่แปลกหรือเปล่านะ
คุณ Nomoto ตัดสินใจพาลูกของเธอมาเรียนที่มาเลเซีย เธอค้นพบการเปลี่ยนแปลงในตัวลูกของเธอ
ลูกของเธอมีความสุขกับการไปโรงเรียน นั่นเป็นเพราะว่า หากมีคำศัพท์อะไรไม่เข้าใจ ก็สามารถถามได้เลยในคาบเรียน
ประสบการณ์ต่างๆ ที่เธอเจอแล้วทำให้รู้สึกว่า ประเทศมาเลเซียนั้นอยู่แล้วสบายใจกว่าที่ญี่ปุ่นมีดังนี้
ง่ายที่จะเปลี่ยนโรงเรียน จะด้วยเนื่องเหตุผลว่าอยากไปเรียนโรงเรียนที่เน้นภาษาอังกฤษเน้นภาษาจีน หรืออาจจะด้วยเพียงเหตุผลที่ว่า “ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของโรงเรียนนี้” เมื่อมีเด็กเปลี่ยนโรงเรียนบ่อย เพราะฉะนั้นแล้วความรู้สึกว่า “ฉันมาก่อน” “คนนี้มาที่หลัง” จะไม่ค่อยมี คนที่ย้ายเข้ามาใหม่ก็ไม่ต้องกลัวโดนแกล้ง
งานกิจกรรมของโรงเรียน อย่างงานกีฬาสี หรือ ทัศนศึกษา ก็สามารถเลือกที่จะไม่เข้าร่วมก็ได้ งานแข่งขันภายในโรงเรียนอย่างเช่น แข่งเลข หรือ แข่งพูดสุนทรพจน์เป็นภาษาอังกฤษ ก็ให้เด็กเป็นคนตัดสินใจว่า “จะเข้าร่วมหรือไม่” เป็นการฝึกฝนการตัดสินใจมาตั้งแต่เด็กๆ
มีแนวโน้มให้เด็กได้ลองทำกิจกรรมหลายๆแบบให้มากที่สุด ถ้าไม่ชอบก็ล้มเลิกได้ “นิสัยการล้มเลิก” ไม่ใช่ข้อเสียแต่อย่างใด เพราะมันก็เปรียบเสมือนเป็นการ try & error สะมากกว่า
ที่สรุปมานี้เป็นเพียงแค่ 2 บทแรกจาก 5 บททั้งหมด ซึ่งบทหลังๆคุณ Nomoto จะขยายความไปถึงสภาพสังคมชาวมาเลเซียที่ “ไม่โกรธง่าย ใจกว้าง” “ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงข้อเดียว” “มนุษย์ก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับระบบสิ” “ตัดสินใจด้วยตนเอง”
ด้วยประสบการณ์เหล่านี้ที่มาเลเซีย ทำให้คุณ Nomoto เอาเรื่องราวนี้ไปเขียนในทวีตเตอร์ โดยกล่าวเริ่มต้นไว้ว่า
คนส่วนใหญ่นั้น “ฝึกฝนการล้มเลิก” ไม่เพียงพอ
ไม่เคยย้ายโรงเรียนหรือออกจากชมรมด้วยการตัดสินใจของตนเอง
หากไม่เคยมีประสบการณ์ว่า “ล้มเลิกด้วยตนเองแล้วจะเป็นยังไง”
แบบนี้จะออกจากบริษัทก็คงต้องรู้สึกกลัวสินะ
คนมาเลเซียหากรู้สึกว่า “ฉันไม่เหมาะกับโรงเรียนนี้” ก็จะย้ายโรงเรียน
นั่นเป็นเพราะว่าตั้งแต่เด็กๆ “ได้ฝึกฝนว่าหากล้มเลิกแล้วยอมรับผลที่ตามมา”
….
ทวีตเตอร์นี้ได้รับการรีทวีต 36000 ครั้ง
คุณ Nomoto เองแปลกใจว่าทำไมถึงได้รับเสียงตอบรับถึงขนาดนี้
และได้รับการไหว้วานให้เขียนหนังสือเล่มนี้เพื่ออธิบายประสบการณ์ของตนเอง
ประเด็นสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ
“การล้มเลิกไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใด”
และ
“การตัดสินใจด้วยตนเองเป็นสิ่งสำคัญ”
ครับผม
ทักทายพูดคุยกับ Wasu ได้ที่ >>> Facebook Wasu’s thought on Japan
เรื่องแนะนำ :
-忘年会スルー [โบเนงไคสุรู] = งานส่งท้ายปีเก่านี้ขอผ่าน
-เหตุผลที่จู่ๆยอดขายของร้าน “อิคินาริสเต็ก” ลดลง
-情 [โจ] ความรู้สึก, ความจริง
-公園デビュー [โคเองเดบิว] Debut ที่สวนสาธารณะ
-รากศัพท์ของคำว่า “อิคิไก”