ต่อจากตอนที่แล้ว แรลลี่วันพีซ (One Piece) ณ อามาคุสะ จังหวัดคุมาโมโต้ …รอบนี้รวดเดียวจบทริปไปเลย ส่วนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเราจะรวมมาเขียนอีกตอนเป็นพิเศษ เพื่อให้ทริปการเดินทางแรลลี่ครั้งนี้ จะได้จบอย่างสมบูรณ์ในตอนที่ 2 นี้ไปเลย (^^)/
ตอนที่ 2 แรลลี่วันพีซ ณ อามาคุสะ จังหวัดคุมาโมโต้ ใครยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 เรียนเชิญนะคะ >> https://www.marumura.com/one-piece-1/
ต่อจากตอนที่แล้ว รอบนี้รวดเดียวจบทริปไปเลย ส่วนเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเราจะรวมมาเขียนอีกตอนเป็นพิเศษ เพื่อให้ทริปการเดินทางแรลลี่ครั้งนี้ จะได้จบอย่างสมบูรณ์ในตอนที่ 2 ไปเลย
เราเริ่มการเดินทางจาก เมืองฐาน ฟุกุโอกะ เดินทางด้วยการนั่งรถไฟชินคันเซน อิชั้นซื้อ JR Northern Kyushu pass เอาไว้ ซึ่งเดินทางจากฟุกุโอกะไป คุมาโมโต้ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงไวมากๆ
ชินคันเซน เป็น 1 ในรถไฟในฝันสำหรับนักเดินทางในญี่ปุ่น ด้วยชื่อเสียงที่มีมายาวนานถึงความเร็ว สะดวกสบายและตรงเวลา และทำให้การเดินทางระหว่างเมืองใหญ่ๆ ในญี่ปุ่นเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งอิชั้นก็ชอบมาก นอกจากรถไฟจะใหม่ ทันสมัย ดูดี วิ่งไวแล้ว ยังมีสิ่งนี้อยู่ที่ทุกที่นั่งเพื่อให้คนตาบอดสามารถหาตำแหน่งที่นั่งได้ด้วยตัวเอง ดีมากๆ
อิชั้นเลือกการเดินทางเที่ยวแรก เพราะต้องเผื่อเวลาที่ใช้ไว้เยอะๆ เลยเลือกไปเช้าสุดกลับดึกสุดเท่าที่ทำได้ เมื่อรถไฟมาถึง สถานีคุมาโมโต้ ก็ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นพอดี สวยงาม
พอมาถึงสถานี ก็ได้รับการต้อนรับจาก มาสคอตสุดดังประจำเมือง เจ้าคุมะมง พอลงบันไดมาเจอ หัวคุมะมงขนาดยักษ์ ลงไม่ผิดสถานีแน่นอน
สำหรับการแต่งตัวไปแรลลี่ จริงๆ คิดไว้แต่แรกว่าจะคอสวันพีซ ไม่ก็ แต่งตัวธีมๆ วันพีซ แต่อากาศที่หนาว 7-9 องศา และมีการออกตจว. และขึ้นเขา จึงต้องใส่เสื้อหนาวหนาๆ ตามปกติ ส่วนหมวกตอนแรกเลือกหมวกโจรสลัดไว้ให้มันเข้าธีม เพราะขนหมวกฟางมาลำบาก
แต่พอใส่แล้วขับรถลำบากมาก เลยเลือกหมวกหมีแทน เพราะอุ่นและไหนๆ ก็ไปเมืองหมีคุมะมงจะได้เข้ากันได้มั๊ง
ก่อนแรลลี่ ขอเริ่มที่พาหนะในการเดินทางก่อนเลย เริ่มจากภารกิจนี้ต้องใช้รถในการเดินทาง เลยต้องมองหารถเช่า เราเลือกรถที่ไม่ใหญ่ เพราะเส้นทางที่ไปแม้มีขึ้นเขาแต่ก็ไม่น่าเป็นปัญหา จึงเลือกเช่ารถจาก โตโยทูโช โดยจองผ่านเอเย่นต์เจ้าหนึ่ง ซึ่งจริงๆ ก็จองออนไลน์ได้เองจะถูกกว่าจองผ่านเอเย่นต์ แต่ตรงนี้เราคิดเผื่อไว้ เพราะเป็นทริปที่สำคัญ ยอมซื้อแพงกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อป้องกันปัญหา อาทิ สื่อสารไม่รู้เรื่องในระหว่างขับ, เกิดอุบัติเหตุกับตัวรถ, หรือเกิดปัญหาต่างๆ “การจองผ่านเอเย่นต์เราจะได้มีคนที่เป็นสื่อกลางในการสื่อสารให้เรา” ซึ่งราคาต่างกับจองเองไม่มาก และเราเช่าวันเดียวด้วย จองผ่านเอเย่นต์จึงดีกว่า
กรณีเช่ารถผ่านเอเย่นต์ หรือจองเองก็ตาม ถ้าเราขับเอง ตรงนี้อิชั้นมีทิป มาฝากคนเช่ารถขับเองทุกคน
1. ตอนที่ฟังพนักงานอธิบายเกี่ยวกับรถ มีคำถามอะไรให้ถามให้ครบ ถ้าสื่อสารได้ ถ้าไม่ได้ ให้หาคำถาม-คำตอบในไทยก่อนไป คำถามที่ควรรู้อาทิเช่น
- ขึ้นทางด่วนต้องทำอย่างไร ?
- GPS ใช้งานอย่างไร ?
- น้ำมันที่เติม ชนิดไหน ?
- สถานีที่ใกล้จุดคืนรถที่สุด ?
- ในกรณีถูกตำรวจเรียกจอด ต้องทำอย่างไร ?
- ในกรณีเกิดอุบัติเหตุต้องทำอย่างไร ?
2. การตรวจสภาพก่อนขับ ตรงนี้เป็นทิปสำคัญ การตรวจสภาพรถที่เช่าทางเจ้าหน้าที่จะทำการแจ้งว่าต้องเช็คสภาพก่อนนำออกไปจากศูนย์ ถ้าตรงไหนไม่โอเค ให้แจ้งได้เลย ตอนแรกเราก็วางใจกับบริการของคนญี่ปุ่น แต่จากประสบการณ์ เช็คเองดีกว่า มาดูขั้นตอนกัน
2.1 เริ่มที่ ถ่ายด้านหลัง พร้อมป้ายทะเบียนไว้ เผื่อจอดรถแล้วลืมที่จอด หรือ รถหายจะได้แจ้งความได้
2.2 เดินเช็ครอบคันเลย ถ้าเจอรอย ลองเอาผ้าถูๆ ดูก่อน ถ้าไม่ใช่คราบ เรียกเจ้าหน้าที่มาจดลงไปใน รายการตำหนิ โดยเราต้องถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วยนะ
คันนี้ดีทุกอย่างยกเว้น รอยขูดแถวฝากระทะล้อเยอะ ซึ่งเราก็ถ่ายไว้ทั้งหมด ใกล้-ไกล เผื่อถูกหาว่าไปปีนฟุตบาทมา เราก็จะได้มีหลักฐาน
2.3 สอบถามมาตรวัดทั้งหมดของหน้าปัดรถ แม้จะคุ้นเคยกันดี แต่รถญี่ปุ่นมักมีระบบมากกว่าปกติที่จำหน่ายมาในไทย แม้เป็นอีโคคาร์ก็ตาม เช่นบางรุ่น จะมีไฟสูงอัตโนมัติ มีระบบปิดไฟสูงเมื่อมีรถสวน ดังนั้นสอบถามให้แน่ใจว่ามันคืออะไรบ้างก่อนขับ จะดีที่สุด
3. การใช้งาน GPS ตรงนี้สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ นอกจากคุณจะชินทาง ชำนาญพื้นที่ มากๆจริงๆ ซึ่งระบบ GPS หรือระบบนำทาง ของญี่ปุ่นจะแตกต่างจากบ้านเรา ขอข้ามด้านเทคนิคไป แนะนำแต่ส่วนสำคัญพอ
3.1 ตอนที่รับรถ ตอนที่ เจ้าหน้าที่สอน ให้จำให้แม่นๆ หรือถ่ายคลิปไว้จะช่วยได้มาก ถ้าจำไม่ได้ให้ถามจนมั่นใจเลยนะ หลักๆที่เขาจะสอนคือ การเลือกพิกัดที่ไป การใส่สถานที่ การยกเลิก การวิ่งย้อนกลับ และจุดสำคัญเช่น สัญลักษณ์ปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล สถานีตำรวจ เป็นต้น
3.2 GPS ของญี่ปุ่น นอกจากใส่พิกัดได้ ยังสามารถใส่เบอร์โทรศัพท์ ของสถานที่ที่จะไปได้ ซึ่งความแม่นยำสูงเพราะระบบแผนที่มีการอัพเดทการเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก จึงค่อนข้างอัพเดท
3.2 ในกรณีที่จำทางกลับไปคืนรถไม่ได้ หรือ หาสถานที่คืนรถไม่เจอ GPS ทั่วไปของร้านเช่า จะมีการเซ็ทพิกัด HOME ไว้ที่ศูนย์ที่รับรถออกมา ดังนั้น กดไปที่ HOME ลองตรวจสอบว่าใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็ ขับตามเส้นทางที่บอกได้เลย (ไม่เหมือนกันทุกรุ่นนะ แค่ส่วนมาก ลองตรวจสอบก่อนนะ)
พอตรวจสอบเรียบร้อยก็ ออกเดินทาง
หลังจากรับรถแล้ว ก็ออกเดินทาง ระหว่างขับออกจากเมืองได้เห็นภาพในเมืองตามทาง ก็ยังอยู่ในช่วงปรับปรุงจริงๆ บ้านบางบ้านยังมีร่องรอยความเสียหายอยู่เลย และมีตึกที่อยู่ในระหว่างก่อสร้างและปรับปรุงพอสมควร
และในขณะที่ดูอะไรไปเรื่อย ก็เจอกับ พนักงานกูเกิ้ลแมพ/กูเกิ้ลสตรีท กำลังเดินสำรวจด้วยอุปกรณ์สำรวจและวางพิกัดแผนที่ DGPS ซึ่งหลายคนคงไม่เคยเห็นเท่าไหร่ นั่นเพราะหลังแผ่นดินไหวที่คุมาโมโต้ มีการปรับเปลี่ยนเส้นทาง ทำถนนใหม่ ย้ายป้ายรถเมล์ เลื่อนที่จอดรถ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งทางเมืองน่าจะถือโอกาสทำใหม่ทั้งที ของเดิมไม่ดีก็ปรับซะเลยก็เป็นได้ ทางกูเกิ้ลจึงต้องส่งพนักงานมาสำรวจใหม่ (เรื่องนี้เดี๋ยวมาเล่าแยกอีกที)
โดยในการเดินทางครั้งนี้ จุดหมายแรกก็คือ ต้องไปลงทะเบียนการแข่งขันกันก่อน จุดหมายแรกเราเลยต้องไปที่ ศาลากลาง อามาคุสะ ซึ่งจากประสบการณ์ เราเลือกที่จะใส่พิกัดทีละจุด ซึ่งหลักๆทั้งหมดมี 7 จุดที่ต้องไปและกลับ แต่เราเลือกใส่ทีละจุดตามที่ศึกษามาแทน เพราะมีบางจุด ใกล้กันและมีทางเลือกหลายเส้นทาง อาจทำให้เราสับสนได้ จึงเลือกใส่ทีละพิกัดที่จะไปแทน การเดินทางเริ่มด้วยออกจากร้านเช่ารถ และขับไปทางแถบอามาคุสะ โดย GPS เลือกให้วิ่งเลาะทะเลไป อากาศที่เย็นและลมทะเลทำให้เปิดกระจกขับรถตอนแรกจะสดชื่นมาก แต่พอสักพักเริ่มง่วงเพราะลมและความเย็นเลยต้องปิดกระจกขับ ประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึง
จุดที่ 1 Shiro Amakusa Memorial Hall หรือ หออนุสรณ์อามาคุสะชิโร่
ทางด้านในหออนุสรณ์ มีการจัดวางกิจกรรมวันพีซ อยู่เต็มพื้นที่ มีทั้งป้ายอธิบายการแข่งขัน ป้ายของรางวัล ที่ระลึก
หลังจากพบเจ้าหน้าที่และลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ได้โบร์ชัวร์กิจกรรมมา และตอนลงทะเบียนทำให้เราได้ทราบว่า เราเป็นคนไทยคนแรกที่เดินทางมาแรลลี่การกุศลครั้งนี้ ซึ่งก็ถามว่า ชาวต่างชาติมีมาแข่งบ้างไหม? จนท. บอกว่ามี เป็นฝรั่งเศส ออสเตรเลีย อิตาลี ส่วนมากเป็นยุโรป เพิ่งมีคนไทยคนแรก
ในส่วนของโบร์ชัวร์ ด้านในระบุถึงลายละเอียดในการแข่งขัน มีแผนที่ให้ มีพิกัดให้ พร้อมเงื่อนไขการแข่งขันและของรางวัลที่จะได้ ซึ่งเพิ่งรู้ตรงนี้เลยว่า มีกติกาอื่นด้วย คือ ไป 2 รอบจะได้ของรางวัลพิเศษ แต่ด้วยเวลาจำกัด ขอรอบเดียวให้สำเร็จพอใจแล้ว ก่อนเดินออกจากบูธ ทางเจ้าหน้าที่ตามจนท. อีกท่านที่พูดภาษาอังกฤษได้มาให้ และก็เริ่มอธิบายกติกาเป็นภาษาอังกฤษ เลยมั่นใจละว่าต้องทำอะไรบ้าง ที่สำคัญคือ ต้องไปถึงจุดหมาย และหาตราประทับลับที่ไม่บอกว่าเป็นตราอะไร ให้ครบตามพื้นที่แปะตราด้านหลัง และพอพูดจบ จนท.ก็นำตราประทับลับ อันแรกมาปั้มให้ ในด่านแรกตราประทับลับก็คือ ลูฟี่ พระเอกของเรานี่เอง
จุดที่ 2 Spa Thalasso Amakusa สปาทาลาสโซ่ อามาคุสะ
จุดที่ 2 ไม่มีอะไรมาก เพราะอยู่ห่างจากจุดแรกนิดเดียว ขับตาม GPS ไป แป๊บเดียว เริ่มคิดแล้วว่า งานนี้ไม่ยากแฮะ ซึ่งแน่นอนคิดผิด
จุดที่ 2 เป็นสปา ซึ่งไม่ต้องไปแช่เพื่อให้ได้ตราประทับมา จุดที่ 2 นี้ง่าย คือเดินถึงมีป้ายบอกเลยว่า ตราประทับอยู่นี่จ้า มีโต๊ะกางรอเสร็จสรรพ ก็รีบประทับอย่างรวดเร็วเพื่อไปจุดหมายต่อไป
จุดที่ 3 Yu Island เกาะยูชิม่า
จากจุดที่ 2 ไป จุดที่ 3 ขับตามพิกัดใหม่ที่มีการแก้ไขมาไม่นาน ก็เจอท่าเรือ แต่พอถึง “เอ ไม่มีป้ายอะไรเลย?” ที่ตู้ขายตั๋วเรือก็ไม่มีคนอยู่ แถมปิดเอาละสิ เลยเดินไปที่ท่าเรือเพราะต้องไปเกาะ พอเดินเจอท่า เห็นเรือมีธงวันพีซบนเรือ กำลังเตรียมออก “อ้าวเฮ้ยยยย” ถ้าพลาดรอบนี้ คืออีก 2 ชั่วโมง และโปรแกรมแรลลี่จะรวนหมดเลย เลยวิ่งเต็มที่ คือปกติเราต้องซื้อตั๋วเรือก่อนใช่มะ แต่ตู้มันปิดเลยกระโดดขึ้นเรือก่อนเลย ไม่สนใจละ พอขึ้นไปเรือออกทันที ทันพอดี และก็มีลุงพนักงานเดินมาเก็บค่าข้ามเกาะ จำราคาไม่ได้ละ พอออกเรือเจอคลื่นนอกทำนบ ก็ไม่ธรรมดาเลย ขนาดเป็นคนทำงานเรือมาก่อนน่าจะชิน แต่ก็แอบกลัวนิดๆ
เกาะนี้เท่าที่เช็คดู มีชื่อด้านการมาตกปลา ที่เขื่อนกันคลื่น กับแมวบนเกาะ
พอขึ้นเกาะ เวลาเราน้อย มีแค่ 20 นาที เพราะเรือเที่ยวต่อไปจะออกใน 20 นาที ถ้าพลาดรอบนี้ คืออีก 4 ชั่วโมง แรลลี่ล่มแน่นอน เลยรีบขึ้นฝั่งเดินไปดูแผนที่ ซึ่งก็เป็นแผนที่จริงๆ
คือไม่ได้บอกเกี่ยวกับกิจกรรมอะไร มีแต่จุดตกปลา และสถานที่สำคัญบนเกาะ เลยเริ่มเดินสำรวจเริ่มเจอแมวเดินมารับแขก แต่ต้องหาตราประทับก่อน และเดินไปไม่ไกลก็เจอจนได้
มายก๊อดดดดดดดดดด ทำไงดีเนี่ย เวลาก็น้อย ตัดสินใจ เคาะประตูกระจก พร้อมถือโบร์ชัวร์แรลลี่ มีผู้หญิงด้านในเห็นเลยเดินมาเปิดประตู พร้อมยกมือขึ้น เหมือนบอกให้รอ และสักพักเขาก็ถือตราประทับออกมา พี่ผู้หญิงพยายามอธิบายด้วยภาษามือและพูดญี่ปุ่น จับใจความได้ว่า “เมื่อเช้าฝนตก เลยเก็บเข้ามาในบ้าน” ซึ่งพี่ผู้หญิงถอดไปเก็บทั้งโซ่กันหายเลย
จริงๆ เราแอบเอาโปสเตอร์และอื่นๆ วันพีซมาด้วย ตอนประทับเราก็ประทับตราลงของส่วนตัวด้วยเพื่อเพิ่มมูลค่า เอ้ยย เพื่อความทรงจำ
ระหว่างกลับมารอเรือ ก็ได้เวลาเล่นกับเจ้าถิ่นที่นี่ ซึ่งต้องตามอารมณ์เขาเลย บางตัวหน้าบากมา แววตาดุร้าย เดินมามองแล้วก็หายไป บางตัวก็ เมี๊ยวๆ เรียกก็มา เสียดายแค่ไม่มีของกินติดตัวมาเลย มีแต่น้ำอัดลม
พอได้ตราประทับแล้วก็ นั่งเรือย้อนกลับมาที่ท่าอีกทีเพื่อไปจุดที่ 4
พอข้ามฝั่งมาถึงรถก็กรอกพิกัดใหม่ พอเห็นแล้วเลยต้องจอดแวะซื้อของกินไปกินระหว่างทาง และเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะจุดที่ 4 ไกลมาก
จุดที่ 4 Amakusa Visitor Center ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอามาคุสะ
เส้นทางนี้ยิงยาวตามทางไม่ยาก ตอนแรกรู้แล้วว่าต้องผ่านสะพานยาวๆ สูงต่อๆ กันหลายสะพาน แต่พอไปถึง โอ้โห สะพานอะไรเนี่ยยาวและสูงมาก คือพอขึ้นสะพาน เห็นเลยว่ามันคือสะพานข้ามทะเล ที่เชื่อมเกาะเล็กๆ ไว้ให้สามารถเดินทางได้ ภาพสวยมากระหว่างที่ขับผ่าน ขออภัยจริงๆ ที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา สำหรับคนที่คิดจะขับรถเที่ยวคุมาโมโต้ ขอแนะนำเส้นนี้เลย ขับสนุก เลาะริมทะเล ข้ามเกาะหลายเกาะสวยเลย
จุดหมายของเราเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอามาคุสะ จุดนี้มีโต๊ะวางให้ พร้อมพนักงานยืนรออยู่ ก็ประทับตราเสร็จ จนท.ก็ผายมือไปให้เห็นจุดชมวิวขึ้นชื่อของจุดที่ 4 เป็นเนินเขา มองเห็นทะเลและเกาะหลายเกาะ วิวสวยจริงๆ เลยหยุดยืนดูวิวสักพักแล้วเดินทางต่อ
จุดที่ 5 Himedo Regional Promotion Center ศูนย์พัฒนาเทศบาลตำบลฮิเมโดะ
จุดนี้สำคัญ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมต้องไปที่ ห้องสมุดประชาชน แต่จากการอัพเดทล่าสุด ย้ายมาที่นี่ ซึ่งเป็นสถานที่เกี่ยวกับเยาวชนในชุมชนอยู่ติดทะเล เลยต้องวิ่งเลียบทะเล และทะลุอุโมงค์ วิวระหว่างขับรถผ่านริมทะเล มีนกบินตีคู่ริมทะเล เลยเปิดกระจกขับรถ ได้บรรยากาศมาก
พอไปถึง ไม่มีป้ายบอกกิจกรรม เอาแล้วไง ผิดรึเปล่าเนี่ย พอเดินเข้าไป ปรากฏว่าเขาเอาไปไว้ด้านใน เพราะลมแรงชอบพัดป้ายล้ม พอเข้าไป มีเจ้าหน้าที่แนะนำ ให้ถอดรองเท้า ณ จุดนี้ ล้างมือจุดนี้ และให้ใช้เสียงน้อยที่สุด ก่อนจะเดินเข้าไปประทับตรา (เข้าใจว่าเหมือนเป็นศูนย์ให้คำปรึกษาเด็กเล็ก มีจนท. หรือหมอกำลังคุยกับเด็กด้วย)
จุดที่ 6 Mui Observatory หอดูดาวมิวอิ
เอาล่ะ จุดสุดท้าย ที่ประเมินแล้วว่าไปยากสุด เพราะ เป็นหอดูดาวอยู่บนเขา
จุดสุดท้ายนี้ขับตามทางมาไม่มีอะไรน่าห่วง แต่เริ่มห่วงตอนที่เริ่มขึ้นเขา เพราะทางแคบมาก เลนรอบทางขึ้นเขา พอพ้นช่วงแรกไป กลายเป็นทางแคบๆ ประมาณ ECOCAR 2 คันสวนกันแบบเกือบพอดี เราขับไปด้วยความเข้าใจว่า มันเป็น วันเวย์ ซึ่งพอขับขึ้นไปได้สักพักก็เจอ รถบรรทุกเล็ก ขับสวนมา เขาหลบเข้าข้างแบบชิดสุดให้เรา เราก็ค่อยๆ ขับสวนไปช้าๆ ดูระยะแล้ว เหลือนิดเดียว พอผ่านไปเลยขับช้าลง เพราะอาจมีรถสวนมาอีก ขับไปจะเจอโค้งเยอะมาก เป็นโค้งลับตา เราจะมองไม่เห็นอีกด้าน เมื่อไปถึงจุดเลี้ยวหรือทางโค้งบนเขา อิชั้นจะ บีบแตรเช็ค 1 ที “ปิ๊น” เพื่อเช็คว่ามีรถสวนหรือไม่ ก็เช็คไป 7-8 โค้ง ไม่มีเสียงตอบอะไร แต่พอมาถึงโค้งต่อมา บีบเช็คไป “ปิ๊น” มีเสียงตอบรับ “ปิ๊นปิ๊น” เลยชะลอหลบให้ รถที่สวนมาเป็นรถเล็ก PINTO ที่เล็กๆ สีสวยๆ มี 2 สาวขับ-นั่งมา ตอนสวนมาเหมือนเขาพยายามโบกมือบอกอะไรสักอย่าง แต่เราตีความว่า “เซย์ฮาย”เรา ก็เลยขับไปต่อ
ซึ่งพอขับขึ้นมาสักพักก็พบว่า “ทางขาด”
เราเห็นแต่ไกล เลยชะลอแล้วจอดหน้าทางที่ขาด คือ ทางด้านซ้ายมือเป็นเหว แล้วมี ทางบางส่วนน่าจะถล่มลงไป ซึ่งทางขึ้นมีทางเดียว (เหมือนจะมีอีกทางแต่ต้องกลับลงไปขึ้นใหม่ ที่อีกลูกนึงค่อยลัดมาอีกที)
เอาล่ะสิ ไม่ว่าจะการเดินทาง หรือผจญภัย ยังไงความปลอดภัยต้องมาก่อน เราเลยลองพิจารณาดู เมื่อกี้รถที่สวนเรามาจากทางนี้แน่นอน แปลว่ารถเขาผ่านมาได้ เลยลงจากรถไปนั่งก้มๆ เงยๆ มุม ดูพื้นที่ถล่ม ก็พบว่า มันเหมือนส่วนที่กั้นราวทางโค้ง น่าจะถูกหินใหญ่กลิ้งลงมาแล้วตกลงไปตรงนั้นพร้อมรั้ว ลองเช็คพื้นถนน ไม่ได้เสียหาย ยังแข็งแรง เลยตัดสินใจ “เดินหน้าต่อ” ตอนขับชิดขวาสุดๆ บีบแตรเช็คแล้ว ไม่มีเสียงตอบก็ค่อยๆ ขับผ่านไปอย่างช้าๆ ระยะที่ทางขาด ยาวประมาณ 4-6 เมตร อึดใจเดียว พอผ่านได้โล่งเลย จากนั้นขับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ก็เจอหอดูดาว
มองจากด้านบนเขา จะพบวิวที่ อ.โอดะอยากให้แฟนๆ เห็น นั่นคือ วิวของ เกาะจำนวนมากของคุมาโมโต้
ที่หอดูดาวไม่มีใครเลย ไม่มีเจ้าหน้าที่ เข้าใจว่าเพราะหอดูดาวเปิดช่วงเย็นถึงดึกเลยอาจจะปิดช่วงกลางวัน แต่ก็มีป้ายชี้ทาง และมีแพะนั่งเฝ้าบริเวณโต๊ะพอดี และตราสุดท้าย บนภูเขา จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก จินเบ
และ เมื่อได้พบ จินเบ ก็แปลว่า ครบแล้วววววววววววววว
จุดหมายสุดท้าย : จุดเริ่มต้น Shiro Amakusa Memorial Hall หรือ หออนุสรณ์อามาคุสะชิโร่
ถ้านึกตามเนื้อเรื่องในวันพีซ นี่มันใช่เลย เมื่อเดินทางพิชิตแกรนด์ไลน์ได้แล้ว ก็จะต้องวนกลับมาที่จุดเริ่มต้น
เมื่อพิชิตแกรนด์ไลน์ได้แล้ว เส้นทางแห่งรัฟเทล สถานที่ซ่อนสมบัติลับวันพีซ ก็มาถึง เงื่อนไขคือ ต้องกลับมาให้ทันเวลาปิด ซึ่งก็คือเวลา ณ ตอนนั้นเวลาประมาณ 13.50 น.
เลือกเส้นทางกลับทางเดิม เส้น 33.9 กม. ซึ่งมางานเข้าตรงสะพานข้ามทะเลสุดสวย วิ่งมาเจอด่านเก็บค่าทางด่วน ซึ่งก่อนมาสำรวจแล้วว่าเราจะไม่มีเส้นให้ขึ้นทางด่วนเลย ก็เลยไม่ได้เตรียมข้อมูล หรือซื้อบัตรทางด่วนอะไรไว้เลย พอขับเจอเกิดความไม่มั่นใจ เลยชิดซ้ายตรงจุดจอดชั่วคราว แล้วเช็ค GPS ของรถ กับ GPS มือถือ ว่าเรามาผิดทางไหม ? ซึ่ง GPS บอกว่าถูกทั้งคู่ แต่กลัวว่าขึ้นไปแล้วมันไปที่อื่น และกลัวจะคนละเส้นทางไม่มีทางออกมันจะไปกันใหญ่ นั่งคิดสักพัก เลยตัดสินใจขับเข้าไป พร้อมถามพนักงานประจำตู้ ชี้ภาพในแผนที่มือถือให้เขาดู จนท. สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยตัดสินใจ ถามดื้อๆ ชี้ไปที่ เส้นทั้งเส้น เขาขอไปดู แล้วพยักหน้าบอกว่า ใช่ สรุปคือ ตรงนั้นเป็นจุดผ่านทาง มีค่าธรรมเนียมเฉยๆ ลงที่เดียวกันหรือขึ้นทางด่วนไปอีกที่ได้
เมื่อมาถึงรีบวิ่งไปที่จุดลงทะเบียน เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นก็ได้ตื่นเต้นกับอิชั้นอีกครั้ง เขาบอกประมาณว่า “คุณเก็บครบได้เร็วมากๆ” และเจ้าหน้าที่ก็นำตราประทับไปตรวจสอบ นำเข้าระบบ จากนั้น ก็มาถึงช่วงนาทีทองลุ้นโชค
เนื่องจากกติกาของการแข่งขัน คือ สำหรับคนแข่งแบบ วันเดย์ (มันมี 2 วันด้วย แต่เค้าไม่รู้) เมื่อได้ตราประทับครบ จะได้รับตราพิเศษ อีก 1 ดวง สำหรับลุ้นรางวัล ซึ่ง รางวัล (เรียงตามลำดับ) จะมี โปสการ์ดที่ระลึก ลิมิเต็ด, โปสเตอร์งาน ลิมิเต็ด, เสื้อยืด ลิมิเต็ด, ที่เหลือจะเป็นของรางวัลพรีเมี่ยม ลิมิเต็ด ซึ่งแน่นอนเราเล็งของรางวัลสูงสุด ลายเซ็นต์ อ.โอดะ (กับใครก็ไม่รู้)
ของรางวัลต้องจับสลากเอาตามดวงของท่าน ซึ่งอิชั้นมีลูกทีมมาด้วย 1 ท่าน ทำให้ได้รับสิทธิ์จับ 2 ครั้ง
ตัดสินใจ ล้วงเข้าไป กำสลากได้ชิ้นนึง ในใจนึก “โกมุโกมุโนววววว”
โนวววววววววววว ยังเหลือจับสลากอีกครั้ง โอกาสสุดท้าย แรลลี่ที่วางแผนมายาวนาน โอกาสสุดท้าย
เอาล่ะ จับตามดวง ฮึบ
ฮว๊ากกกกกกกกกกกกก ได้แต่ยอมรับในชะตากรรม จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็นำของรางวัลมาให้เซ็นต์รับ และก็มีเซอร์ไพรซ์ เจ้าหน้าที่ท่านนึงอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่า “เนื่องจากคุณเป็นคนไทยคนแรกที่มาแข่งแรลลี่ครั้งนี้ เราให้คุณจับรางวัลได้อีก 1 ครั้ง”
มายก๊อดดดดดด โอกาสมาแล้ววววว โอกาสสุดท้ายจริงๆ ยื่นมือลงกล่อง หลับตาใช้ฮาคิสัมผัส หยิบขึ้นมา 1 ใบ ได้โปสเตอร์ อีก 1 ใบ
.
.
.
ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายสลากมาก คือขยำมันคามือเลย ฮือออ คนไม่มีดวงงงงง สรุปได้เสื้อยืด อีก 1 ตัว รวมเบ็ดเสร็จ วันพีซ ของอิชั้นคือ โปสเตอร์ 1 แผ่น และ เสื้อยืดที่ระลึก อีก 2 ตัว แต่ในใจไม่ได้เสียใจอะไรเลย คือเป็นความตั้งใจที่จะมา และการเตรียมการ การวางแผน และการเดินทางจริงก็ สนุกและทำให้เราได้คิดวางแผนในการตามรอย ที่ยกระดับจากเดิมไปอีก
หลังจากสนุกตื่นเต้นทั้งวันกับ แรลลี่แล้ว ก็เดินทางกลับ ก่อนกลับถือโชคลาง จริงๆ เตรียมจดหมายมาจากเมืองไทยด้วย 2 ฉบับ
หลังจากจบทริปแรลลี่ ก็นำจดหมายที่เตรียมมา ส่งไปยัง JUMP ฉบับแรกเป็น SBS ที่อิชั้นค้นคว้าขึ้นมาเองส่วนตัว คิดว่าใช่แน่ๆ ก็เลยอยากส่งมาถาม อ.โอดะ ทาง S.B.S. ส่วนฉบับที่ 2 เป็นจดหมายแฟนบอยธรรมดาจากเมืองไทย ในจดหมายบอกว่า เรามาแรลลี่ที่คุมาโมโต้ ตามที่อ.โอดะอยากให้มาแล้วนะ
โดยสรุปเป็นทริปที่สนุก สนุกตั้งแต่เตรียมแผนการเดินทาง สนุกที่ได้หาข้อมูล สนุกที่ได้คิดแผนสำรอง และเป็นแรลลี่ที่ถ้าไม่ชอบวันพีซจริงๆ คงไม่กล้าวางแผนมาเพราะการเดินทางที่ไกล และต้องเตรียมตัว เตรียมการอะไรหลายอย่าง ขอบคุณ อ.โอดะ และชาวเมืองคุมาโมโต้ สำหรับการผจญภัยที่สนุกสนานสมใจ ขอให้เมืองกลับมาเป็นปกติสมบูรณ์โดยเร็วนะ เอาใจช่วย
สำหรับคุมาโมโต้ อิชั้นจะกลับมาอีกครั้งแน่นอน เมื่อทราบว่ารูปปั้น ลูฟี่ และผองเพื่อนจะตั้งและเปิดให้ชมวันไหน จะรีบวางแผนไปทันที เพราะคุมาโมโต้ มีอะไรให้เที่ยวอีกเยอะ
แล้วจะกลับไปอีก “คุมาโมโต้ บ้านเกิดของ เออิจิโระ โอดะ นักเขียนแห่งยุค”
จ ญ น ห อ ด ม
ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ FB: เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน
เรื่องแนะนำ :
– เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามันตามรอยการ์ตูนในญี่ปุ่น ตามรอย One Piece ตอนที่ 1
– เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามันตามรอยการ์ตูนในญี่ปุ่น ตอนที่ 5 ตามรอยการ์ตูน Tetsujin 28
– เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามันตามรอยการ์ตูนในญี่ปุ่น ตอนที่ 4 ตามรอยการ์ตูนตกปลา BLACK BASS
– เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามันตามรอยการ์ตูนในญี่ปุ่น ตอนที่ 3 : ตามรอยการ์ตูนครั้งแรก Going Merry
– เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามันตามรอยการ์ตูนในญี่ปุ่น ตอนที่ 2 คนไทยอยากไปตามรอยการ์ตูนเรื่องอะไรกันนะ ?
– เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามันตามรอยการ์ตูนในญี่ปุ่น ตอนที่ 1 : ตามรอยการ์ตูนครั้งแรกกับแฟนพันธ์แท้การ์ตูนญี่ปุ่น