NFT เมื่อศิลปะ มาบรรจบกับศาสตร์บล็อคเชน
“โลกใบนี้ กำลังจะไม่ใช่โลกใบเดิมที่เรารู้จัก”
เมื่อมนุษย์ค้นพบไฟ และควบคุมมันได้ เผ่าพันธุ์ของเราก็กลายเป็นอยู่บนสุดของช่วงโซ่อาหาร
เมื่อวันนึงมนุษย์ค้นพบ อิเล็คตรอน และควบคุมมันได้ เผ่าพันธุ์ของเราก้าวกระโดดไปถึงดวงจันทร์
และวันนี้ เราค้นพบเทคโนโลยีทั้งอินเตอร์เนต บล็อกเชน ควอมตัม มันทำให้โลกที่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเราตกตะลึง
(มีคนบอกว่า ถ้าเราควบคุมคลื่นแรงโน้มถ่วงได้ เราอาจจะไปถึงปลายจักรวาลหรือเดินทางข้ามเวลาได้)
สมัยนึง เรากล่าวหาว่า การเล่นเกมมีแต่จะเสียเวลา เสียเงิน แต่วันนี้ มันเป็นช่องทางทำเงินได้
ช่วงเวลานึง เราถูกสอนว่ากัญชา อันตรายเป็นยาเสพติด ผิดกฎหมายแต่วันนึง จู่ๆ โลกก็เปิดรับให้พวกเราปลูกกัญชาได้
ราวๆ 25-30 ปีที่แล้ว คนที่เกิดยุคหลัง 2000 อาจจะไม่เชื่อ แต่ในตอนนั้น ทั้งรายการทีวี หนังสือ ต้องมีการพูดถึง และอธิบายว่า internet (อินเตอร์เนต) คืออะไร และก็อธิบายเข้าใจได้ค่อนข้างยาก เพราะสมัยนั้นทั้งสิ่งที่เรียกว่า เว็บไซต์, web browser หรือแม้แต่สิ่งที่เรียกว่า แอพพลิเคชั่น ก็ยังเป็นเรื่องใหม่ของโลกมนุษย์ในวันนั้น
คงไม่ต่างกับเวลานี้ ที่เว็บไซต์ สื่อออนไลน์ทุกที่พยายามจะพูดถึง บล็อกเชน บิตคอยน์ smart contract DEFI หรือแม้แต่ NFT
และก็จะอธิบายได้ค่อนข้างยาก เพราะมันยังก็ยังถือว่าใหม่สำหรับโลกมนุษย์วันนี้
ผู้เขียนไม่ต้องการและคิดว่าจะอาจหาญมาอธิบายว่าบล็อกเชนคืออะไร ในบทความนี้… แต่อยากจะคอมเมนท์แค่ว่า โลกน่าจะวิเศษขึ้น ถ้าเรามีเดต้าเบส ระบบในการจดบันทึกที่ไม่ใช่แค่คนๆ นึงหรือบริษัทนึงๆ เป็นเจ้าของ แต่ให้คนทั้งโลกเป็นเจ้าของแทน
และบล็อกเชนทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ และนั่นเป็นส่วนนึงที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า NFT ที่จู่ๆ โลกทั้งใบก็เอามาพูดกัน
NFT ที่ใครๆ เซิสเน็ตดูตอนนี้จะรู้ว่ามันย่อมาจาก Non-Fungible Token ยิ่งพูดยาวยิ่งน่าสับสน เอาเป็นว่า มันคือการที่เราเอาของพวกภาพวาด คลิปวิดีโอ หรืออะไรก็ได้ ที่มันเป็นงานชิ้นเดียวในโลก เข้าไปวางอยู่ในโลก (หรือเรียกว่าแพล็ตฟอร์ม) ที่มี บล็อกเชน คอยควบคุมก็แล้วกัน
หรือถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากกว่านี้ คงประมาณว่า คุณเอาผลงานตัวเอง ชิ้นเดียวในโลก ไปวางขายบนแพล็ตฟอร์มที่ซื้อขายกันด้วยเงินดิจิตอล แทนที่จะไปวางขายบน shopee ที่ซื้อขายด้วยเงินบาทได้
แล้วมันดียังไงล่ะ แล้วมันต่างกับไปวางขายบน Shopee หรือเว็บขายของตอนนี้ยังไงล่ะ ?
มันดีกว่าที่ว่า พอมันเอาไปวางขายบนโลก บล็อกเชน สมมติเกิดงาน NFT ของเรากับดังขึ้นมา เรายังได้ผลประโยชน์ไง ยกตัวอย่างเช่น สมมติอาจารย์ เกตุวดี marumura วาดรูป แล้วก็เอาลงไปขายใน NFT สามปีถัดมา อาจารย์เกตุวดี ได้เป็นนายก รูปภาพอันนี้ก็ยิ่งเลอค่า คนที่ซื้อรูปไป และไปขายต่อว่านี่เป็นรูปนายกวาด คงได้ตังค์มากมาย แต่เกตุวดีจะไม่ได้เงินเพิ่มเลย
ถ้าตอนนั้นเราไปขายบน Shopee แต่ถ้าขายแบบเป็น NFT ทุกครั้งหากยังมีคนซื้อขาย ตัวคนสร้าง NFT ก็จะยังได้เงิน
ยังไม่พอ เพราะพอมันอยู่ในแพลตฟอร์มบล็อกเชน มันจะช่วยเราพิสูจน์ได้ว่าอันไหนคืองานของจริง ออริจินัล
(เพราะอย่างที่บอกบล็อกเชน สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนทั้งโลกมีระบบบันทึกข้อมูล ที่ไม่ใช่แค่ใครหรือบริษัทสักที่เป็นเจ้าของและมาลักไก่แก้ไขข้อมูลได้)
ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศนึง ที่ถึงแม้จะเข้าสู่สังคมสูงวัย มีคนรุ่นเดอะมากมาย แต่กลับเปิดกว้างให้เรื่องเกี่ยวกับ บล็อกเชน เยอะมาก ทำให้คนญี่ปุ่น มีผลงาน NFT อยู่มากมาย และยังมีตลาดไว้ซื้อขายผลงาน NFT ของญี่ปุ่นเองด้วย (ต่างกับไทยที่ถ้าจะซื้อขาย NFT น่าจะต้องไปทำที่ https://opensea.io/ หรือไม่ก็ https://rarible.com/ เพราะเท่าที่ทราบถึงจะมีบริษัทไทยเริ่มทำแล้ว แต่ผู้คนที่เข้าถึงยังไม่มากนัก)
อย่างที่เห็นนี่เป็นตัวอย่างผลงานของ คุณ Yukinori Tokoro ผู้เขียนก็รู้สึกว่า ภาพถ่ายของเขาดูติสต์ดี เช่นถ่ายรูป ตอนที่รถไฟชินกังเซน วิ่งเกือบสามร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือภาพ สาวกิโมโนที่นึกว่าทำท่า Matrix อยู่ ผลงานหลายชิ้นของพี่แก ก็ไปทำเป็น NFT เช่นกัน
โดยส่วนตัว ผู้เขียนคิดว่า มันเหมือนเป็นยุคแรกของ Youtube ที่ผู้คนจะเริ่มอยากปล่อยของ แสดงผลงานเผื่อจะเฉิดฉายขึ้นมา และเชื่อว่าคนไทย ก็มีของให้ปล่อยไม่แพ้คนญี่ปุ่นแน่ๆ
ผู้เขียนแอบคิดนะ ว่าไม่แน่ ตัวงานที่อยู่ใน marumura สักวันนึงอาจจะไปฉายแสงอยู่บนแพลตฟอร์ม NTF มาร์เกตเพลส ก็เป็นได้ (และอยากให้เป็นด้วย)
“โลกใบนี้ กำลังจะไม่ใช่โลกใบเดิมที่เรารู้จัก”
Cr. Photo: https://prtimes.jp/main/html/rd/p/000000005.000080034.html
https://xanalia.com/
เรื่องแนะนำ :
– 継続は力なり – กรุงโตเกียวก็สร้างไม่เสร็จในวันเดียว
– [เรื่องสั้น 2058] @bV6eBJOQc7bUvgO
– สัมภาษณ์หางาน กับเงินเดือน 250,000
– วิ่งสุดท้ายแข่งกับ นีล อาร์มสตรอง ?
– น้ำตา ที่โตเกียว
NFT เมื่อศิลปะ มาบรรจบกับศาสตร์บล็อคเชน