วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (89) คัมภีร์แห่งอากาส (ที่ว่าง)
ท่านผู้อ่านที่เคารพรักครับ…
เรามาถึง “ตอนสุดท้าย” คัมภีร์เล่มสุดท้าย ของ “คัมภีร์ห้าห่วง” แล้วนะครับ
ไม่รู้ว่าจะพูดว่าไงดีเลยครับ ไปอ่านกันก่อนเถอะครับแล้วค่อยมาอภิปรายกัน
คำแปลข้อความต้นฉบับ
空の巻
คัมภีร์แห่งอากาส
一 (段)
หนึ่ง (ย่อหน้า)
`二刀一流の兵法の道 `空の巻 `として書顕はす事 `空 `と云心は物毎のなき所しれざる事を `空 `と見たつる也 `勿論 `空 `は `なき `也 `有所を知りて無所を知る是則空也
การเขียนสำแดงวิถีแห่งพิชัยสงครามของสำนักนิเท็นอิจิริวในฐานะ “คัมภีร์แห่งอากาส” (นี้) จิตที่เรียกว่า “อากาส” (ที่ว่าง) นั้น คือการวินิจฉัยว่า ที่ที่ไม่มีสิ่งทั้งหลาย การที่ไม่เป็นที่รู้ได้ คือ “อากาส” แน่นอนว่า “อากาส” คือ (ความ) “ไร้” หากรู้ถึงที่มีแล้ว ย่อมรู้ถึงที่ไร้ นี้เรียกอีกอย่างว่าอากาส
`世の中に於てあしく見れば物を弁へざる所を空と見る所実の空には非ず皆迷ふ心也 `此兵法の道に於ても武士として道を行ふに士の法を知らざる所空には非ずして色々迷有りてせんかたなき所を `空 `と云なれ共是実の空にはあらざる也 `武士は兵法の道を慥に覚え其外武芸を能つとめ武士の行ふ道少しもくらからず心の迷ふ所なく朝々時々におこたらず心意二ツの心をみがき観見二ツの眼をとぎ少もくもりなく迷ひの雲の晴たる所こそ実の空と知るべき也
ในโลกนี้ หากมองอย่างเลวๆ การที่มองว่า ที่ไม่รู้ซึ้งซึ่งสิ่ง (หนึ่ง) คืออากาสนั้น หาใช่อากาสที่แท้ไม่ ล้วนเป็นจิตที่หลง แม้ในวิถีแห่งพิชัยสงคราม ในการปฏิบัติซึ่งวิถีในฐานะนักรบ การที่ไม่รู้ซึ่งหลัก (วิธี) แห่งนักรบนั้น หาใช่อากาสไม่ แม้มีความหลงไปต่างๆ เรียก ที่ไม่รู้หนทาง (ว่า) จะทำไรได้ ว่า “อากาส” (สิ่ง) นี้จะเป็นอากาสที่แท้ก็หาไม่ นักรบต้องจำได้หมายรู้ซึ่งวิถีแห่งพิชัยสงครามให้แน่แท้ พากเพียรศิลปะอื่นๆ ให้ดี วิถีปฏิบัติของนักรบไม่มืดมัวแม้แต่น้อย ไม่มีที่หลงของจิต ไม่เกียจคร้านทุกโมงยาม ขัดเกลาทั้งจิตและเจตนา ลับคม (ของ) ตาที่มองและดู ยามเมื่อเมฆครึ้มหายไปไม่มีแม้แต่น้อย ณ ที่เมฆแห่งความหลงฟ้าแจ้งนั่นแหละ จะรู้ได้ว่า (นี่แหละ) คืออากาสที่แท้
`実の道を知らざる間は仏法によらず世法によらずおのれおのれは `慥なる道 `と思ひ `よき事 `と思へ共心の直道よりして世の大かねにあはせて見る時は其身其身の心のひいき其目其目のひずみによつて実の道にはそむくもの也 `其心をしつて直なる所を本とし実の心を道として兵法を広く行ひ正しく明らかに大きなる所を思ひとつて空を道とし道を空と見るべき也
ระหว่างที่ยังไม่รู้วิถีที่แท้นั้น โดยไม่อิงหลักทางธรรม ไม่อิงหลักทางโลก ตัวเองต่างคนนั้น แม้คิดว่า (นี่คือ) “วิถีที่แน่แท้” (นี่คือ) “สิ่งดี” ก็ตาม อาศัยวิถีตรงของจิต ยามเทียบดูกับมาตรวัดของโลกนั้น (จะเห็นว่า) เป็นการหันหลังให้วิถีที่แท้ โดยอาศัยเหตุแห่งฉันทาคติของจิตของคนนั้นๆ ความบิดเบี้ยวของตานั้นๆ ควรรู้ซึ่งจิตนั้น เอาที่ตั้งตรง (ที่เป็นอยู่อย่างนั้น) มาเป็นแก่น เอาจิตที่แท้มาเป็นวิถี ปฏิบัติให้กว้างซึ่งพิชัยสงคราม รู้แจ้งซึ่งที่ใหญ่ชัดเจน เอาอากาสเป็นวิถี มองอากาส (ว่า) เป็นวิถี
`空有㆑善無㆑悪 `智は有也 `利は有也 `道は有也 `心は空也
อากาส มีความดี ไร้ความชั่ว ปัญญาคือมี ประโยชน์คือมี วิถีคือมี จิตคืออากาส
`正保二年五月十二日 新免武蔵
`寺尾孫之丞殿
วันที่สิบสอง เดือนห้า ปีที่สองแห่งศักราชโชโฮ ชินเม็งมูซาชิ
ถึง เทราโอะ มาโกะโนะโจ
`寛文七年二月五日 寺尾夢世勝延 花押
`山本源介殿
วันที่ห้า เดือนสอง ปีที่เจ็ดแห่งศักราชคัมบุน เทราโอะมุเซคัตสึโนบุ ลงเครื่องหมายแทนชื่อ
ถึง ยามาโมโตะ เก็นสุเกะ
การตีความและอภิปราย
ผมจงใจใช้คำบาลีว่า “อากาส” อย่างใน “อากาสกสิณ” นั้น มีเหตุผลที่มาดังนี้
หนึ่ง เพื่อล้อตามแนวคิดเรื่องกสิณ อันมีธาตุ ๔ (ดิน น้ำ ไฟ ลม บาลีว่า ปฐวี อาโป เตโช วาโย) เป็นปฐม
สอง เพื่อไม่ให้เกิดการตีความเลยเถิดจนวุ่น เหมือนอย่างที่เคยมีคนแปลว่า “คัมภีร์แห่งความว่าง” แล้วเดี๋ยวก็จะตีความคำว่า “ความว่าง” กันวุ่นวาย กลายเป็นสูญญตาอนัตตาเป็นอะไรที่แลดูนามธรรมจนลี้ลับ จะทำให้แลดูเป็นอะไรที่เข้าถึงเข้าใจได้ยากไปเปล่าๆ
สาม เพื่อล้อความหมายของคำไทย (ที่มาจากบาลีสันสกฤต) อีกสองคำ คือคำว่า “โอกาส” กับ “อวกาศ”
อะไรคือ “อากาส” หรือ “ที่ว่าง”?
จงดูรูปต่อไปนี้ครับ
เป็นไงล่ะ ผมวาดเองแหล่ะ 555
有所を知りて無所を知る是則空也
อารุ โทโกโระ โวะ ชิริเตะ ไน่ โทโกโระโวะ ชิรุ โคเระ สึนาวาจิ คุ นาริ
หากรู้ถึงที่มีแล้ว ย่อมรู้ถึงที่ไร้ นี้เรียกอีกอย่างว่าอากาส
ก็นี่ไงครับ มีขอบกะละมัง แล้วถึงมี “ที่ว่าง” ข้างในกะละมัง
“ที่ว่าง” บาลีเรียกว่า อากาส ฟังแล้ว ก็ละม้ายคล้ายคำว่า “โอกาส”
มีที่ว่าง ก็คือ มีโอกาส ที่จะใส่อะไรเข้าไป แทรกอะไรเข้าไป หรือมีที่จะไปไหนต่อไหน
คำว่าโอกาส เขาว่ามีรากศัพท์เดียวกับ “อวกาศ” (space) อวกาศเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ไปได้เรื่อยๆ มีอะไรอยู่บ้างก็ต้องเสาะหาดูกันต่อไป
การมีที่ว่าง คือการมีอิสระ อย่างไรก็ดี “ที่ว่าง” ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ที่ว่าง เกิดได้เพราะมีอะไรสักอย่างมาเป็นขอบ เหมือนขอบกะละมัง นั่นเอง
ฉะนั้น หากเปรียบเทียบเป็นขั้นของการเรียนรู้ในบีเจเจ “คัมภีร์แห่งอากาส” จึงเทียบได้กับ “สายดำ” คือรู้หลักการต่างๆ ที่ควรรู้ไปแล้ว ที่เหลือต่อจากนี้ก็จะเป็นอิสระละ จะเรียนรู้อะไรต่อไปจากนี้ก็เป็นหนทางของแต่ละคนไป เปรียบเหมือนการท่องไปในอวกาศละ ออกไปค้นไปหากันต่อไปตามใจตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำพูดที่ว่า…
“a black belt is just a white belt who never quit.”
สายดำคือสายขาวที่ไม่มีวันเลิกเล่น
เพราะไม่เลิกเล่นไปก่อน จึงเป็นสายดำได้
เป็นสายดำแล้ว ก็ยังเล่นต่อไป ต่อไป แล้วก็ ต่อไป…
“…จนกว่าโยมจะตายนั่นแหละ”
เดี๋ยวนะ เสียงพระอาจารย์ไทเซน ลอยมาเลย (ฮา)
ทำเป็นเล่นไปครับ Helio Gracie ตายตอนอายุ 95 ปี ว่ากันว่าแกซ้อมและสอนยูยิตสูจนถึงสิบวันสุดท้ายก่อนตาย (คือหลังจากซ้อมวันนั้นแล้วก็ป่วยแล้วก็ตาย) คนที่ฝึกฝน “…จนกว่าโยมจะตายนั่นแหล่ะ” มีอยู่จริงครับ
ฉะนั้น ยังเรียนไม่สำเร็จ (ถึงสายดำ) ก็ต้องเรียนไป ถึงเรียนสำเร็จแล้ว (เป็นสายดำ) ก็ยังต้องเรียนต่อไป วันที่ยังไม่เป็นสายดำ ยังมีหลายๆ สิ่งที่ยังมืดๆ มัวๆ (พูดถึงความรู้สึกของผมในเวลานี้) วันใดสิ่งที่เคยมืดมัวมันกระจ่างชัดเจน วันนั้นคงเป็นวันที่ผมได้สายดำละมัง
และเมื่อถึงวันที่มองเห็นฟ้ากระจ่างชัดเจนไม่มีเมฆ นั่นแหละ…เราก็จะเดินไปบนหนทางได้ ด้วยใจที่เป็นอิสระกว่าเดิม ตาที่มองเห็นอะไรมากกว่าเดิม ใจที่ปลอดโปร่งกว่าเดิม
จนกว่าจะถึงวันนั้น ต้องทำยังไง
“นักรบต้องจำได้หมายรู้ซึ่งวิถีแห่งพิชัยสงครามให้แน่แท้ พากเพียรศิลปะอื่นๆ ให้ดี วิถีปฏิบัติของนักรบไม่มืดมัวแม้แต่น้อย ไม่มีที่หลงของจิต ไม่เกียจคร้านทุกโมงยาม ขัดเกลาทั้งจิตและเจตนา ลับคม (ของ) ตาที่มองและดู”
และจนกว่าจะถึงวันนั้น เราต้องระวังอะไร
“ระหว่างที่ยังไม่รู้วิถีที่แท้นั้น โดยไม่อิงหลักทางธรรม ไม่อิงหลักทางโลก ตัวเองต่างคนนั้น แม้คิดว่า (นี่คือ) “วิถีที่แน่แท้” (นี่คือ) “สิ่งดี” ก็ตาม อาศัยวิถีตรงของจิต ยามเทียบดูกับมาตรวัดของโลกนั้น (จะเห็นว่า) เป็นการหันหลังให้วิถีที่แท้ โดยอาศัยเหตุแห่งฉันทาคติของจิตของคนนั้นๆ ความบิดเบี้ยวของตานั้นๆ”
สังคมทุกวันนี้ ผมมองแล้ว เหมือนสังคนที่ขับเคลื่อนด้วยอคติ (เป็นสังคมไร้สติมีแต่อคติ) ขับเคลื่อนด้วยความคิดแบบเข้าข้างตัวเองว่าสิ่งที่กูคิดกูเป็น มันถูก แล้วพยายามจะยัดเยียดให้คนอื่นไปรับรองว่ามันถูกด้วย พยายามเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก ของปลอมเลียนแบบให้กลายเป็นของจริงต้นตำรับ อะไรที่อ้างเพื่อทำตามใจสนองกิเลสตนกลับบอกว่าเป็นโองการจากพระเจ้า อะไรแบบนี้มีมาแต่โบราณแล้วในรูปของคัมภีร์คำสอนทางศาสนา เดี๋ยวนี้มีมาในรูปข่าว การปลุกระดมโหมกระพือ กุข่าว ในโซเซียล…
การที่จะอยู่รอดปลอดภัยจากสิ่งพวกนี้ หนทางคือ จง “ฝึกฝนตนเอง” ครับ
สัจธรรมชีวิต ความรู้แจ้งใจว่าอะไรถูกผิดดีเลว อย่าสักแต่คิดเอาเองตามใจชอบ (คือเอาตามที่ตัวเองชอบใจ) อย่าเชื่อแต่สิ่งที่ตัวเองชอบใจ สัจธรรมชีวิต ต้องฝึกฝนตนเอง ต้องกระทบถูกกับความยากลำบาก เพื่อให้ได้มาครับ ทุกวันนี้ บางวันผมก็เจ็บๆ ปวดๆ นะ แต่ชีวิตบนเบาะ ผมคิดว่า มันคือการ “เอาร่างกายเข้าแลก เพื่อให้จิตได้รู้ซึ้งถึงสัจธรรม”
มูซาชิเขียน “คัมภีร์ห้าห่วง” ไว้เป็น “ไกด์ไลน์” จากประสบการณ์ตัวเองแล้ว ว่าเราควรไปในแนวทางไหน
ที่เหลือก็อยู่ที่เรา ที่จะต้องเดินหน้าต่อไป
ขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน ทั้งที่ตามอ่านกันมาตลอด และที่หลงเข้ามาอ่าน นะครับ ถ้าท่านเห็นว่าเนื้อหาที่ผมนำมาเสนอนี้มีประโยชน์แก่ชีวิตของท่าน ผมก็ดีใจแล้วครับ ผมเขียนงานตรงนี้ลงต่อเนื่องทุกสัปดาห์เกือบสองปี ใช้กำลังภายในแทบหมดตัว พอเขียนจบ เหมือนปีนขึ้นยอดเขาแล้ว มองลงไป กูมาถึงจุดได้ไงวะเนี่ย (ฮา) ฉะนั้น ในโอกาสนี้ ขอกล่าวคำว่า
จบบริบูรณ์
ครับ
สัปดาห์จะเขียนอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน (ฮา) ไม่รู้แหละดี (ฮา) แล้วพบกันครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (88) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): สิบเอ็ด ปัจฉิมลิขิต
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (87) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): สิบ สิ่งที่เรียกว่า ใน นอก ในสายสำนักอื่น
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (86) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): เก้า การใช้ความเร็วในพิชัยสงครามอื่น
– โรคซึมเศร้า สังคมญี่ปุ่น สังคมไทย เราควรเอาพุทธศาสนามาช่วยบำบัดดีไหม?
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (85) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): แปด การมีการใช้เท้าในสายสำนักอื่น
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (89) คัมภีร์แห่งอากาส (ที่ว่าง)