วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (54) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): หก สิ่งที่เรียกว่า การรู้สภาวการณ์
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลังจากที่วันก่อนผมทำในสิ่งที่ “ใจสั่งมา” ด้วยการไปซ้อม (ฮา) (เรื่องที่ผมเล่านี้คือ ณ เวลาที่เขียนอยู่คือปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว) แบบว่า เฮ่ย แผลยังไม่ตัดไหมเลย ซึ่งก็ได้เหงื่อและก็ได้ทดสอบแนวคิดบางอย่างผ่านการลองเล่นปล้ำแขนกับคนในยิม ซึ่งพอได้เล่นได้ลองแล้วก็เกิดปิติสุขใจเบิกบานใจไป ช่วงนี้รู้สึกสนุกกับการเล่นท่าขาใน No-gi ถึงจะเรียกได้ว่ายังเป็นเด็กประถมในวิชานี้อยู่แต่ก็รู้สึกดีว่าเออได้ลองอะไรใหม่ๆ นั่นแหละครับการเดินไปบนหนทางของ BJJ มันก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยววันนี้หลังอภิปรายตีความเนื้อหาหลักแล้วจะมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ มาเล่าให้ฟังนะครับ
คำแปลข้อความต้นฉบับ
火の巻
คัมภีร์แห่งเตโช
六 一 けいきを知ると云事
หก สิ่งที่เรียกว่า การรู้สภาวการณ์
`景気を見る `と云は `大分の兵法にして敵の栄え衰へを知り相手の人数の心を知り其場の位を受け敵の景気を能見受け我人数何としかけ此兵法の理にて慥に勝と云所をのみこみて先の位を知て戦所也 `又一分の兵法も敵のながれを弁へ相手の人柄を見うけ人の強き弱き所を見付け敵の気色にちがふ事をしかけ敵のめりかりを知り其間の拍子を能知りて先をしかくる所肝要也 `物事の景気と云事は我智力強ければ必見ゆる所也 `兵法自由の身に成ては敵の心を能計て勝道多かるべき事也 `工夫有べし
ที่เรียกว่า “การรู้สภาวการณ์” นั้น คือ สำหรับพิชัยสงครามส่วนใหญ่ รู้ความรุ่งและเสื่อมของศัตรู รู้จิตของจำนวนคนของคู่ต่อสู้ รับตำแหน่งของที่ดังกล่าว เห็นรับสภาวการณ์ของศัตรูให้ดี จำนวนคนของตน ต้องเข้าทำอย่างไร ด้วยหลักของพิชัยสงครามนี้ จักชนะเป็นแน่แท้ กลืนที่กล่าวนี้ลงไป รู้ตำแหน่งของทางไปข้างหน้าแล้วต่อสู้ อีกอย่าง แม้นพิชัยสงครามของส่วนเดียว รู้ซึ้งซึ่งกระแสของศัตรู เห็นรับลักษณะของคู่ต่อสู้ มองดูที่เข้มแข็งอ่อนแอของคน (นั้น) เข้าทำเรื่องที่ผิดจากสภาวะจิตของศัตรู รู้เสียงสูงเสียงต่ำของศัตรู รู้ให้ดีซึ่งจังหวะระหว่างนั้น เข้าทำก่อน เป็นข้อใหญ่ใจสำคัญ สิ่งที่เรียกว่าสภาวการณ์ของสิ่งต่างๆ นั้น หากกำลังปัญญาของตนกล้าแข็ง จักต้องมองเห็นแน่ เมื่อพิชัยสงครามเป็นกายอิสระดังใจตนแล้ว อาจสามารถหยั่งวัดจิตของศัตรู หนทางชนะมากมีขึ้นได้ สมควรคิดให้แยบคาย
การตีความและอภิปราย
เอาสั้นๆ เลย สมัยก่อนผมเป็นสายขาว ผมน่าจะเคยเขียนถึงนะว่าผมถูกครูแบงค์คอมเมนต์ว่าเป็นคนดึงดันจะใช้อยู่ท่าเดียว ควรมองหาหนทางที่จะเข้าทำให้หลากหลายกว่านี้ ซึ่งเอาจริงๆ ไม่แปลก เพราะผมเป็นสายขาว คือมีภูมิความรู้เรื่องกระบวนท่าน้อยมากๆ เมื่อรู้ท่าน้อย จริงขาดการอ่าน “สภาวการณ์” ว่าในเวลาแบบไหนควรใช้กระบวนท่าไหน เพราะพูดง่ายๆ เลย “ทำไม่เป็น” (ตอนผมฟังครูแบงค์พูด ผมก็มีคำถามในหัวนะ ว่า แล้วจะให้อาตมาทำไง ถึงจะมองหาช่องทางเข้าทำได้หลากหลายกว่านี้?)
ฉะนั้นในตอนนี้ที่มูซาชิได้เขียนไว้นั้น จึงจำเป็นต้อง “คิดให้แยบคาย” ว่า การที่จะไปถึงจุดที่ “รู้สภาวการณ์” ได้ จำเป็นต้องสั่งสมความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องของกระบวนท่า (ทั้งวิธีการทำกระบวนท่า การมองหาช่องที่จะอำนวยให้ใช้กระบวนท่าได้) พอสั่งสมจน “มีกำลังปัญญากล้าแข็ง” แล้ว จะ “มองเห็น” ช่องที่จะเข้าทำได้เอง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เพิ่งประสบมาด้วยตัวเองบนเบาะไม่นานมานี้เองครับ เอาง่ายๆ แค่จากตำแหน่ง closed guard ตำแหน่งเดียวเนี่ย เอาจริงๆ มีท่าจู่โจมแขน คอ ท่ากวาด (sweep) ท่าเปลี่ยนผ่านไปหาตำแหน่งอื่น (transition) ที่เป็นไปได้รวมกันเป็นสิบอย่างแล้วนะครับ ปัญหาคือ เรามองเห็นช่องทางแล้วเข้าทำได้ทันท่วงทีไหม? ซึ่งการจะทำได้ทำไม่ได้ มันก็อยู่ที่กาละ เทศะ บุคคล อีกนั่นแหละ นานมาละตอนที่ผมพันตูกับสายขาวคนนึงที่แบบว่า กล้ามแน่น แขนใหญ่ ผมพอดีเจอช่องเลยลองทำกิโยตินจาก closed guard ประมาณนี้
ที่มา BJJ Eastern Europe
แต่แน่นอนที่ ผมไม่สามารถใช้ท่านี้ได้กับทุกคราวที่ผมทำ closed guard คนที่เก่งกว่าผมย่อมไม่เปิดช่องให้ผมทำอะไรแบบนี้ได้ง่ายๆ แน่ ดีไม่ดีผมโดนคอนโทรลกลับเข้าให้อีก นี่ก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้คิดว่า BJJ มันคือ “พิชัยสงคราม” ในตัวมันเอง ซึ่งจะฝึกจะเรียนให้ก้าวหน้าก็ต้องเอาสิ่งต่างๆ ที่ได้ประสบมาคิดใคร่ครวญด้วย
…ฉะนั้น การศึกษาให้มากๆ ผ่านสื่อต่างๆ (ยูทูปก็ส่วนหนึ่ง) ก็มีความสำคัญเช่นกันในแง่ที่ มันอาจทำให้คุณได้ไอเดีย หรือคิดอะไรออก หรือหาจิ๊กซอว์ที่หายไปมาเติมได้ บางช่องที่เขาไม่ได้ทำเป็นแค่ demonstrate แต่ใช้วิธีแบบ อัดวิดีโอเวลาสอนในคลาสเรียนมันก็มี หรือถ้าจะศึกษาการใช้ออกของกระบวนท่าในบริบทการแข่งขัน มันก็มีช่องพวกแบบช่องของ IBJJF แล้วก็ Flograppling ให้ดูนักกีฬาในระดับสูงๆ เขาใช้ท่ากันยังไง สำคัญคือต้องเตือนตัวเองว่า เราดูเพื่อสร้างไอเดีย ดูเพื่อหาอะไรมา “สะกิด” ความคิดเรา ไม่ใช่เพื่อเลียนแบบอย่างตะพึดตะพือ ดูแล้วต้องกรองว่าอันไหนมันทำได้จริงหรือไม่ในสภาพใด คือต้องมีการคิดใคร่ครวญไปด้วย ช่วงปีใหม่นี่ผมขออนุญาตลูกเมียละ ขอทำตัวเป็นนีโอตอนโหลดวิชาเข้าหัว สักวันสองวันนะ
ที่มา twitter
…คราวนี้เราเข้าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมเกริ่นไว้ดีกว่าครับ
ในวงการ BJJ นั้น นอกจากจะมีคำว่า Blue Belt Blues แล้ว ยังมีอีกคำหนึ่งที่เอามาพูดกันมาก นั่นคือคำว่า Imposter Syndrome
…ผมขอแปลตามความเข้าใจตัวเองละกันนะครับว่า “โรคชอบคิดด้อยค่าตัวเอง”
ถ้าอย่างง่ายๆ ก็คือ อย่างในบีเจเจเนี่ย อ่ะ ได้ขึ้นสายน้ำเงินละ หรือสายม่วงละ เกิดอารมณ์ประมาณว่า “ฉันไม่คู่ควรจะได้รับสายนี้”
ผมอยากจะบอกว่าโรคแบบนี้ มาจากทัศนคติที่คนเรานั้นมองอะไรแบบ “เอาผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง” เช่นการโดนคนอื่นแทป หรือการแพ้ในการแข่ง หรืออาจแค่ว่าทำไมทำท่านี้เรียนท่านี้ไม่ได้สักทีวะ ฯลฯ เก็บเอามาเป็นทุกข์แก่ตนเอง
โรคนี้แก้ไม่ยากครับ แค่เปลี่ยนทัศนคติ คือเอาผลลัพธ์เป็นตัวตั้งให้น้อยลง แล้วไปใส่ใจกับ “กระบวนการ” ที่จะทำให้อะไรมันดีขึ้นให้มากขึ้น พูดง่ายๆ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่เก่ง ก็มองหา “วิธีอะไรใหม่ๆ” ที่จะทำให้คุณเก่งขึ้นสิ!
บางทีสิ่งนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของ “การผจญภัยอันยิ่งใหญ่ครั้งใหม่” ก็ได้นะ และถึงปลายทาง “ผลลัพธ์” จะเป็นไง อย่างน้อยเราก็ได้ทำแล้ว (ดีกว่าย่ำอยู่กับจุดเดิมแล้วก็คิดลบกับตัวเอง) ก็เหมือนกับตอนนี้ที่ผมเริ่มสนใจกระคือรือร้นที่จะเป็นพวกกระบวนท่าขาใน No-gi ไง
จากจุดนี้ผมอยากจะออกมาเตือน ถึงปัญหาสังคม ที่คนรุ่นใหม่เป็นกัน (โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาถึงวัยทำงานหนุ่มสาว) นั่นก็คือ Imposter Syndrome นั้นแหละ
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย ทัศนคติแบบนี้อาการแบบนี้ ถ้าเป็นมากๆ ถึงจุดหนึ่งอาจพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าได้
ถามว่ามันเกิดจากอะไร ก็จากสังคมที่ตีกรอบให้คนต้องมองอะไรแบบ “เอาผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง” ถ่ายเดียวนั่นแหละ
เรียนหนังสือ…ก็เพ่งเล็งแต่เกรด
ทำงาน…ก็นะ KPI มั่งหละ ผลประกอบการ ยอดขาย บลาๆๆ
จนถึงจุดที่พูดออกมาเลยว่า “ผลลัพธ์คือทุกอย่าง” (อันนี้ผมได้ยินจากเจ้านายญี่ปุ่นสมัยทำงานระยอง)
…ขอโทษนะครับ ถ้าผมจะบอกว่า วิธีคิดแบบนี้นี่แหละที่ทำให้เกิด “ความเจ็บป่วยทางจิต” ในระดับสังคม
เพื่อรักษาจิตใจตัวเอง ลองหันมาสนใจที่ “กระบวนการ” หรือ “หนทาง” บ้างเถอะครับ และอยากจะบอกท่านผู้อ่านทุกท่านว่า หากท่านได้เพียรพยายาม มุ่งมั่นทำอะไรให้ดีขึ้นด้วยความสุจริตและอุตสาหะ ไม่ว่าผลลัพธ์จะได้มากได้น้อย สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ดีหรือไม่ดีในสายตาใคร…
…จงให้ค่า และชมตัวเองเถอะครับ…ชมตัวเองเยอะ อาตมานี่เก่งจังเยย แปะๆๆๆ…555
ฝากเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน พบกันใหม่สัปดาห์หน้าสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (53) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): ห้า สิ่งที่เรียกว่าการข้ามฟาก
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (52) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สี่ สิ่งที่เรียกว่ากดหัวนอน
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (51) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สาม สิ่งที่เรียกว่าลงมือก่อนทั้งสาม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (50) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): สอง สิ่งที่เรียกว่าลำดับของแห่งที่
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (49) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): หนึ่ง บทนำ
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (54) คัมภีร์แห่งเตโช (ไฟ): หก สิ่งที่เรียกว่า การรู้สภาวการณ์