วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (21) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): สิบเอ็ด เรื่องลำดับที่สามของเบื้องหน้า
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลังจากที่ผมไปพักข้อมือซ้ายมาเป็นสัปดาห์ ก็ได้กลับมาลงเบาะอีกครั้ง ก็เป็นอะไรที่รู้สึกดีมากมายครับ เสียอย่างเดียว กลับบ้านต้องรีบอาบน้ำนอน แล้วตื่นมารุ่งเช้าจะหิวมาก ท้องร้องเลยทีเดียว ช่วงนี้ยอมรับว่ามีความอยากกินอาหารมากมายแต่ชีวิตประจำวันไม่ค่อยอำนวย เช้ามาได้กินแค่ซาลาเปาไส้ถั่วดำ กลางวันก็ตามมีตามเกิด ได้ซื้อข้าวไก่กระเทียมไข่ดาวมากินบ้าง ไม่มีให้ซื้อต้องกินโรงอาหารบ้าง เย็นมาก่อนไปซ้อมบอกตรงๆ คิดไรไม่ทันก็ซับเวย์ (แต่กินบ่อยไม่ได้ แพง) ซ้อมเสร็จก็ ไม่กินอะไรยกเว้นน้ำเปล่า มันก็เลยหิวด้วยประการฉะนี้ ทุกวันนี้วันหยุดแค่ได้กินก๋วยเตี๋ยว ข้าวซอย ข้าวหมกไก่ ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ เย็นตาโฟ นี่ก็ดีใจหลายแล้ว กลายเป็นของนานๆ ทีได้กินไปซะงั้น (ฮา) อากาศที่เป็นฝนสลับแดดนั้นก็ชวนให้ป่วยเสียจริงๆ แต่ก็พยายามทำกิจวัตรต่างๆ ให้เป็นปกติครับ การทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นปกติ ฝึกฝนตัวเองให้เป็นปกติ นั่นแหละคือดีสุดแล้วครับ
ขอเข้าเนื้อหาหลักเลยนะครับ
คำแปลข้อความต้นฉบับ
水の巻
คัมภีร์แห่งอาโป
一一 一 おもて第三の次第の事
สิบเอ็ด เรื่องลำดับที่สามของเบื้องหน้า
`第三の構 `下段に持ひつさげたる心にして敵の打かくる所を下より手をはる也 `手をはる所を亦敵はる太刀を打落さんとする所をこす拍子にて敵打たるあと二のうでを横にきる心也 `下段にて敵の打所を一度に打留る事也 `下段の構道をはこぶにはやき時も遅き時も出合もの也 `太刀を取て鍛錬有るべき也
การตั้งท่าที่สาม ตั้งดาบปลายดาบชี้ลงล่าง (เกดัง 下段) ให้ตั้งจิตว่าดึง (ศัตรู) ลงต่ำ ขณะศัตรูฟันค้าง (เอาดาบ) พาดมือคู่ต่อสู้จากข้างล่าง ขณะจะพาดมือ (ศัตรู) หรือขณะที่ศัตรูจะตีทะจิที่พาดมือลงไป อาศัยจังหวะที่ข้ามผ่าน (คือหลบหลีก) หลังศัตรูตี ให้ตั้งจิตฟันขวางใส่ต้นแขน (ของศัตรู) ด้วยการตั้งดาบปลายดาบชี้ลงล่าง จักตีหยุดในทีเดียวขณะศัตรูตี การตั้งดาบปลายดาบชี้ลงล่าง เมื่อเคลื่อนไป (ฝึกตนไป) ตามวิถี แม้ยามเช้าหรือยามสาย (ไม่ช้าก็เร็ว) ก็จะได้ประสบ สมควรจับทะจิฝึกฝน
การตีความและอภิปราย
สิ่งที่ผมจะอภิปรายได้ มีเพียงคำเดียวครับ
Survive First, Win Later
เอาตัวให้รอดก่อน ค่อยเอาชนะ
ซึ่งการจะเอาตัวรอดให้ได้ก่อนนั้น ก็ต้องตั้งจิตตัวเองให้ดีให้รู้ทางที่คู่ต่อสู้จะโจมตีเข้ามาให้ได้ก่อน เรารู้ทางว่าเขาจะเข้ามาทำอย่างนี้ๆ เราก็หลบเลี่ยงเสียให้การโจมตีของเขาที่เข้ามานั้นสูญเปล่าไปแล้วเราเป็นฝ่ายตีกลับ
อันที่จริงอย่างที่ผมได้เกริ่นอยู่บ่อยครั้งว่า ผมเองรู้ตัวเองดีว่า ร่างกายผมนั้นกำลังเดินถอยหลังไปสู่ความแก่ (ความเสื่อม) ฉะนั้นการที่จะรักษาตนให้พ้นภัย ให้มีความสามารถที่จะเล่นบีเจเจต่อไปได้นั้น มันต้องพัฒนาไปด้วยกันทั้งกาย เทคนิค ใจ โดยเฉพาะเรื่องของใจ เรื่องของ Mindset วิธีคิดนี่ สำคัญมากเพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นตัวแปรสำคัญเลยนะ จะไปต่อหรือจอดแค่สายน้ำเงิน (แบบที่ฝรั่งเขาเรียก Blue Belt Blues) อยู่ที่ใจ อยู่ที่หลักคิดวิธีคิด (ซึ่งย่อมมีผลต่อวิธีการปฏิบัติฝึกหัดตนเอง) แท้ๆ เลย ตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้ก็มีแค่ว่า
๑ ทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นปกติประจำ (เป็นนิตย์) คือซ้อมอย่างต่อเนื่องให้เป็นปกติ มาให้บ่อย เล่นให้ต่อเนื่อง แบบขอให้ได้เล่นถี่ๆ จันทร์อังคารพฤหัสศุกร์ (วันพุธตอนเย็นยิมหยุดจ้า ขอเวลาผมพักร่างด้วย 555)
๒ เวลาโรล ทำหัวให้ว่าง เล่นไปตามโฟลว์แบบไม่คิดกะการอะไรล่วงหน้า ทำอะไรให้ง่ายๆ โดนจับมาก็สลัดแล้วจับกลับ เจอเขาการ์ดก็พยายามพาส ไปซ้ายไม่ได้ก็ไปขวา เดินหน้าไม่ได้ก็ถอยหลัง ทำชีวิตและความคิดให้มันง่ายๆ โล่งๆ คล้ายๆ กับที่อาจารย์ไอคิโดเคยสอนผมว่า ถ้าเจอกำแพงแล้วเราชนให้ทะลุไม่ได้ เราก็ไถลไปตามกำแพงสิ?
ด้วยหลักคิดแบบนี้เลยมีอยู่วันหนึ่งจู่ๆ ขณะที่ผมเข้าข้างหลัง back take อีกฝ่ายและก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายป้องกันเหลือเกินจนผมทำ rear naked choke ไม่ได้เลย รำคาญแขนขวาที่เขาพยายามกันนักก็เลยเอาท้องแขนขวาตัวเองรูดให้แขนวาอีกฝ่ายชูขึ้น แล้วเข้าท่า “ปีกเดี่ยว” (คาตาฮะ จิเมะ 片羽締) ไปเลย หมดเรื่อง
คาตาฮะ จิเมะ 片羽絞 ที่มา judoinfo.com
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมขอพูดถึง “เนื้อใน” ของอาการที่เรียกว่า Blue Belt Blues หน่อยนะครับ ในวงการนั้นเป็นที่พูดถึงกันว่า bjj กว่าที่ชีวิตจะผ่านจากสายขาวเป็นน้ำเงินนั้นมันยากเข็ญ แต่หลายคนพอได้เป็นสายน้ำเงินก็ไม่ได้ไปต่อสายม่วง-น้ำตาล-ดำ เพราะอะไร? ผมเองอ่านจากหลายๆ แหล่งแต่ขอยกจากเว็บนี้ https://graciebarra.com มาอ้างอิงเพราะเห็นว่ารวบรัดดี ดังนี้ครับ
1) Let down following achieving a big goal พูดง่ายๆ คือ พอบรรจุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ (และยาก) ในการขึ้นจากสายขาวมาแล้ว ก็เกิดหมดแรงเอาดื้อๆ คล้ายว่าปีนมาถึงยอดเขาละ หมดแรง หมดไฟ ไปซะงั้น อย่าเพิ่งหมดไฟครับ เราแวะพักชื่นชมความสำเร็จ มองดูวิวบนยอดเขาสักนิด ให้เวลาตัวเองสักหน่อย ไม่ต้องรีบร้อน แล้วสักพัก เราจะพบว่า ยังมีเขาลูกต่อไปให้ปีนต่อ ยังมีสิ่งที่ตอนนี้เรายังทำไม่ได้ รอให้เรามา “ทำให้ได้” อยู่อีกเยอะแยะเลย พอเราคิดได้แบบนี้ เราก็จะมีกำลังใจอยากลองท้าทายตัวเองอีกครั้งครับ
2) Increased pressure พูดง่ายๆ คือ เป็นสายน้ำเงินแล้ว มันกดดัน คล้ายๆ ว่า เอ้ยเราไม่ใช่มือใหม่นะ เราต้องเก่งขึ้นดิ ไอ้ความคิดที่ว่า “เราต้องเก่งขึ้นดิ” อันนี้แหละจะสร้างปัญหาให้คุณ เพราะสายน่ะเป็นแค่เรื่องที่ว่าเราได้ผ่านการเรียน “เทคนิค” มาแล้วในระดับหนึ่ง แต่การมีเทคนิคไม่ได้แปลว่า “ชนะ” เพราะการที่เราจะต่อสู้กับใครแล้วชนะ มันมีตัวแปรเรื่อง ร่างกาย ด้วย จิตใจ ด้วย เกิดคุณเจอ “สายขาว” แต่เป็นสายขาวที่หนุ่มกว่า กล้ามโตกว่า ผมก็ตายสิครับ เอาง่ายๆ ผมนี่โดนอเล็กซ์ผู้หนัก 102 กิโลและเรียนมวยปล้ำมาก่อน ทับทีนี่ผมก็แทบไม่ต้องไปไหนแล้วครับ 55 ถ้าคุณเรียนบีเจเจโดยเอาแต่ผลแพ้ชนะเวลาโรล (ซ้อมประลอง) มาเป็นตัวตั้ง คุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากความกดดันที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกว่าตัวเองห่วยแตก คุณควรเอา “ผลการเรียนรู้” มาเป็นตัวตั้งมากกว่า คุณได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำได้แล้วหรือยัง ถ้าได้ทำแล้ว ก็แปลว่าคุณเรียนรู้ไปอีกก้าวหนึ่งละ
เราอยู่ในโลกของการต่อสู้ จริงๆ ซึ่งการที่จะชนะหรือแพ้นั้นขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง โลกแห่งความเป็นจริงนี้กว้างใหญ่คนเก่งๆ มีอยู่มากมาย ไม่ใช่โลกสมมุติแคบๆ แบบระบบราชการที่คนยศใหญ่กว่าซีหนากว่าจะต้องเหนือกว่าเสมอ (ซึ่งแม่งก็กร่างได้แค่ในที่ทำงานแหละ) อย่าไปคิดว่าสีสายมันคือชั้นยศ คิดว่าเป็นเพียงหมุดหมายของเวลาที่ได้คลุกคลีอยู่กับวงการ bjj เท่านั้นดีกว่า
แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตจะสบายขึ้นครับเชื่อผม
3) Feeling undeserving ข้อนี้ ก็ต่อเนื่องจากข้อสอง คือถ้าเราไปกดดันตัวเองมากๆ เช่น เป็นสายน้ำเงินนี่แพ้สายขาวได้ไงวะ? อะไรแบบนี้ มันก็จะนำไปสู่ความคิดที่ว่า โอ้ฉันนี่ ช่างไม่คู่ควร กับสายน้ำเงินเลย แบบไปเล่นที่อื่นเกิดเล่นห่วย โดนสายขาวอัดเละแล้วเด๋วพวกจะค่อนขอดว่า แม่งสายน้ำเงินปลอมเป่าวะ? 555
วิธีแก้ปัญหานี้คือ “ช่างมันฉันไม่แคร์” ครับ
เราชนะครั้งหนึ่ง ก็คือครั้งหนึ่ง
แพ้ครั้งหนึ่ง ก็คือครั้งหนึ่ง
เสร็จแล้วค่อยมาตรองดูว่า ทำไมถึงชนะ? ทำไมถึงแพ้? หลายๆ ครั้งที่ผมแพ้หลังๆ มานี้เริ่มเห็นตัวเองชัดเจนว่า มาจากความใจร้อน การเลือกทางเดินผิด ที่ทำให้กลายเป็นการเผยจุดอ่อนช่องโหว่ ส่วนที่ผมชนะ มาจากการ “ด้นสด” แบบไปทางนี้ไม่ได้ก็ไปอีกทาง แล้วมันจังหวะมันได้พอดี
มันก็แค่นั้น
การกระทำเคลื่อนไหวอะไรต่างๆ ก็ดี สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องของการตัดสินใจทำในแค่ชั่ววูบหนึ่ง วูบหนึ่งที่เราอาจปิดเกมได้ทันที หรืออาจเป็นวูบหนึ่งที่เรานั่นแหละเกม ซึ่งมันเป็นเรื่องของ “ใจ” ฉะนั้นฝึกวิชาต่อสู้ก็ต้องฝึกใจด้วย และพื้นที่ที่จะฝึกใจได้มากที่สุดก็คือการโรล (ซ้อมประลอง) นั่นแหละ
ถ้าคิดว่าตัวเองยังเก่งไม่พอ ไม่คู่ควร ฯลฯ ก็ควรฝึกเป็นประจำ แล้วเดี๋ยวพอเราตั้งใจว่าจะต้องยืนระยะฝึกให้ได้เป็นประจำแล้ว เรื่องการเสริมสร้างดูแลร่างกาย การฝึกทักษะการหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ เราก็จะค้นคว้าหาหนทาง (วิธีการ) ไปได้เอง
ครับนี่ก็คือเรื่องของเนื้อหาเนื้อในของสาเหตุการเกิดภาวะ Blue Belt Blues ซึ่งผมขอแปลเป็นไทยเล่นๆว่า “โรคซึมเศร้าของชาวสายน้ำเงิน” ยาวไปไหมครับ (ฮา) พูดไปแล้วก็จะเศร้าไปทำไม หาอะไรกินดีกว่า ว่าแล้วอากาศที่ตอนเย็นๆมีแต่ฝนตกแบบนี้กินเย็นตาโฟดีกว่า (เกี่ยวไหมน่ะ)
พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (20) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): สิบ เรื่องลำดับที่สองของเบื้องหน้า
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (19) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): เก้า ลำดับของเบื้องหน้าทั้งห้า เรื่องอันดับแรก
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (18) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): สิ่งที่เรียกว่าวิถีของทะจิ
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (17) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): เรื่องของการตั้งท่าห้าแบบ
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (16) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): เรื่องของการใช้เท้า
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (21) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): สิบเอ็ด เรื่องลำดับที่สามของเบื้องหน้า