วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (11) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): บทนำ
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ในช่วงสองสัปดาห์มานี้ ตัวผมเองร่างกายจิตใจเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางทีอ่อนล้าสับสน บางวันรู้สึกเจ็บปวดเนื้อตัวเหลือเกินหลังซ้อม บางทีก็แอบคิดว่า แล้วคนอย่างมูซาชินี่ เคยมีวันที่ร่างกายอ่อนแรง จิตใจอ่อนล้า ไหม ผมคิดว่าต้องมี คนเราทุกคนไม่มีใครอยู่ในจุดพีคได้ตลอด และยิ่งเราใช้เวลาและพลังงานกับการต่อสู้มากเท่าไหร่ ยิ่งต้องเจอกับความเจ็บปวดอ่อนล้ากายใจ บ่อยขึ้นถี่ขึ้นหนักขึ้นเท่านั้น มันอยู่ที่ว่าเราจะบริหารจัดการอย่างไร บริหารจัดการร่างกาย เวลา จิตใจ อารมณ์ ทำอย่างไรก็ได้ให้กายใจยังทรงอยู่ได้คือยังมีสภาพพอจะรับการฝึกต่อไปได้ ไม่พังเสียก่อน
พอพูดถึงตรงนี้ ผมก็หวนนึกถึงคำหนึ่งคือคำว่า “ขันติ” ซึ่งคนทั่วไปมักแปลว่า “อดทน” ปัญหาคือคนทั่วไปมักแปลความคำว่า “อดทน” หมายถึงการ “ฝืนใจแบกรับ” (ซึ่งบางทีแบกกันจนหลังหักไปเลยก็มี) เช่นทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบไม่ถนัด ทนไม่ปริปากเรียกร้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตน ซึ่งในทัศนะของผม มันไม่ถูกต้อง ไม่มีเหตุผลที่จะต้องแบกหากอะไรที่ทำให้จิตของเรารู้สึกว่าตัวเองด้อย ไม่อิสระ กลายเป็นทาส (ของใครสักคน ของวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ความเชื่อ บลาๆ) เป้าหมายของการพัฒนาตัวเองมันควรเป็นการ “ทำจิตใจให้เป็นอิสระ” ต่างหาก
คำว่า “ขันติ” ในพุทธศาสนานั้น มีความหมายที่แยบคายกว่านั้น “ขันติ” หมายถึง “การรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยอะไร” คำว่า “รักษาปกติภาวะ” นั้นก็มีนัยของคำว่า “บริหารจัดการ” อยู่ในตัวอยู่แล้วนะครับ! อย่างผมเหนื่อย เจ็บ เวลาที่ซ้อม ก่อนอื่นก็ต้องทำจิตใจให้ยอมรับมันได้ก่อนในระดับหนึ่ง ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเจอ จะเหนื่อย ร้อน (ซ้อมตอนวันเสาร์กลางวันนี่ร้อนจริง) เล่นได้ไม่ดี โดนซับมิชชั่นแบบงี่เง่าสุดๆ ฯลฯ เราต้องคอยดูระวังจิตใจเราว่า เออ เท่านี้เรายังไหว ประคองตัวได้ ขนาดนี้เราต้องถอยนะ ต้องพักนะ ต้องเซฟตัวเองนะ คอยดูตัวเอง เตือนตัวเอง ผ่อนหนักผ่อนเบา นี่คือความหมายที่แท้ของขันติ คือทำยังไงให้เราประคองตัวประคองใจไปได้
ถึงผมจะเจ็บ เหนื่อย บางทีก็ ไม่มั่นใจตัวเอง รู้สึกคับข้องใจ ฯลฯ แต่ถ้าผมยังประคองกายใจให้เล่น bjj ไปได้เรื่อยๆ นั่นก็แปลว่าผมยังฝึก “ขันติ” ไปได้ และถึงตอนนี้ผมอาจจะเป็นสายน้ำเงินห่วยๆ หรืออีกสิบปีข้างหน้าไปผมอาจจะเป็นสายดำแก่ๆ ที่สักวันอาจโดนสายขาวอัดจนหมอบ อย่างน้อยผมก็พิสูจน์ตนเองแล้วว่าผมได้เรียนรู้การมี “ขันติ” มาพอตัวแล้ว ซึ่งได้เท่านี้ก็ดีแล้วในฐานะที่เกิดมาเป็นคน
ว่าแล้วเราก็มาศึกษาท่อนแรกของ “คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ)” ด้วยกันเถอะครับ
คำแปลข้อความต้นฉบับ
水の巻
คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ)
一 序
หนึ่ง บทนำ
`兵法二天一流の心水を本として利方の法を行ふによつて `水の巻 `として一流の太刀筋此書に書顕すもの也 `此道いづれもこまやかに心の儘には書分がたし `縦ことばつづかざると云ふ共利は自ら聞ゆべし `此書に書付たる所ことごと一字一字にて思案すべし `大形に思ひては道のちがふ事多かるべし `兵法の利に於て一人と一人との勝負の様に書付たる所なり共万人と万人との合戦の利に心得大きに見立所肝要也 `此道に限つて少なり共道を見違へ道の迷ひ有りては悪道へ落るもの也 `此書付計を見て兵法の道には及事に非ず `此書に書付たるを我身にとつて書付を見ると思はずならふと思はずにせものにせずして則ち我心より見出したる利にして常に其身になつて能々工夫すべし
หัวใจแห่งพิชัยสงครามสำนักนิเท็นอิจิริว คือเอาน้ำเป็นแก่น อาศัยปฏิบัติซึ่งหลักแห่ง “วิชาที่มีประโยชน์” เขียนสำแดงในหนังสือนี้ซึ่งแนวของทะจิ (ดาบ) ของสำนัก เป็น “คัมภีร์แห่งอาโป” วิถีนี้ไม่ว่าอันไหนก็ยากที่จะเขียนจำแนกตามใจให้ยิบย่อย แม้ถ้อยคำจะไม่ต่อเนื่องกัน แต่ประโยชน์นั้นควรเข้าใจได้เอง สิ่งที่เขียนใส่ไปในหนังสือนี้นั้น ควรขบคิดทีละคำทีละคำทีละอักษรทีละอักษร หากนึกคิดเป็นภาพใหญ่แล้วการพลั้งผิดซึ่งวิถีย่อมมีมาก ความดีของพิชัยสงครามนั้น แม้เขียนใส่ไว้ในอาการที่ว่าคนหนึ่งคนสู้เอาแพ้ชนะกับคนหนึ่งคนก็ตาม การวินิจฉัยให้ใหญ่หลวงรู้เข้าใจประโยชน์ในการสัประยูทธ์หมื่นคนกับหมื่นคนนั้น เป็นข้อใหญ่ใจสำคัญ แม้จำกัดในวิถีนี้ หากมองวิถีผิดไป หลงวิถีไปแม้แต่น้อย จะตกสู่วิถีอันชั่ว หนังสือนี้หากมองดูแต่มาตรแล้วจะไม่มี (ทาง) ไปถึงวิถีแห่งพิชัยสงครามเลย เอาสิ่งที่เขียนใส่ไว้ในหนังสือนี้ใส่ลงในตัวเอง ไม่คิดดูสิ่งที่เขียนใส่ไว้ ไม่คิดลอกเลียน ไม่ทำเป็นของปลอมแปลง กล่าวอีกอย่างคือ ให้มันป็นความดีที่มองออกมาจากใจตน ให้ติดตัวเป็นนิตย์ คิดให้แยบคายให้มากๆ
การตีความและอภิปราย
ถ้อยคำแรกที่ผมสะดุดใจก็คือคำว่า
此道に限つて少なり共道を見違へ道の迷ひ有りては悪道へ落るもの也
โคโนะ มิจิ นิ คางิตเตะ สุโคชินาริโตโมะ มิจิ โวะ มิจิงาเฮะ มิจิ โนะ มาโยฮิ อะริเตะ อะคุโด เอะ โอะจิรุ โมโน นาริ
แม้จำกัดในวิถีนี้ หากมองวิถีผิดไป หลงวิถีไปแม้แต่น้อย จะตกสู่วิถีอันชั่ว
ผมอ่านประโยคนี้แล้วนึกถึงคำว่า “มิจฉาทิฎฐิ” ขึ้นมาในหัวก่อนอย่างอื่นเลย “มิจฉาทิฎฐิ” แปลตรงตัวก็คือ “ความเห็นผิด” จะผิดจากความจริง หรือผิดทำนองคลองธรรมก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งในพุทธศาสนานั้นกล่าวว่า ปัจจัยให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ มีอยู่ 2 อย่าง ได้แก่
“ปรโตโฆสะ” คือฟังแต่คำบอกเล่าชักจูง คำโฆษณาของผู้อื่น กับ
“อโยนิโสมนสิการ” คือไม่ใช้ปัญญาพิจารณา ไม่รู้จักคิด
…ฟังดูคุ้นๆ ไหมครับ?
ครับ โลกเราทุกวันนี้เต็มไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อ เพราะถ้ามีคนหลงเชื่อยอมทำตามคำโฆษณา คนโฆษณาเขาก็ได้ประโยชน์ และคนโฆษณามักจะมาในคราบของคนที่ดู “ชวน” ให้น่า “เชื่อ” เช่นเป็นนักวิชาการ เป็นครู เป็นหมอ เป็นท่านผู้ทรงเกียรติ อาจเป็นถึงระดับรัฐมนตรี ลงมาจนถึง ผู้ว่าฯ จนถึงผู้ใหญ่บ้าน อสม ฯลฯ แล้วคนเราเนี่ยสังคมไหนก็ตามถ้าลองเอาความเชื่อนำหน้าแล้วการใช้ปัญญาคิดพิจารณาด้วยตัวเองจะไม่มี ซึ่งถ้ามันไม่มีมากๆถึงจุดนึงจะเรียกว่าเข้าขั้น “ไม่มีสามัญสำนึกกันเลยทีเดียว” เขาจูงจมูกไปไหนก็ไป เขาบอกให้ทำอะไรก็ทำ เรียกว่าหมดสิ้นความเป็นคนกันเลยทีเดียว บางทีหารู้ไม่ว่าคนที่เราไปเชื่อคำโฆษณาน่ะ “เขาหลอกพาเราไปตาย”
ฉะนั้นขอท่านผู้อ่านจงเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังอะไร ขอให้คิดพิจารณาก่อนว่า มันถูกหลักความเป็นจริงไหม ถูกทำนองคลองธรรมไหม (ใช้ “สามัญสำนึก” ของเรานี่แหละครับ) อย่าสักแต่ว่าฟังโฆษณาแล้วเคลิ้ม เห็นคนพูดดูมีดีกรีมีตำแหน่งหน่อยก็เชื่อเขาไปหมด เพราะชีวิตคนเราถ้าคิดผิด เห็นผิด ตัดสินใจผิด “อาจถึงตายได้” ขอให้คิดพินิจให้ดีๆ
書付を見ると思はずならふと思はずにせものにせずして
คาคิซึเคะ โวะ มิรุ โต๊ะ โอโมวาซุ นาราฮุ โต๊ะ โอโมวาซุ นิเสะโมโนะ นิ เซซุ ชิเตะ
ไม่คิดดูสิ่งที่เขียนใส่ไว้ ไม่คิดลอกเลียน ไม่ทำเป็นของปลอมแปลง
則ち我心より見出したる利にして常に其身になつて能々工夫すべし
สึนาวาจิ กะชิน โยริ มิดาชิตารุ ริ นิ ชิเตะ ทสึเนะ นิ โซโนะ มิ นิ นัตเตะ โยคุโยคุ คุฟู สิเบะชิ
กล่าวอีกอย่างคือ ให้มันป็นความดีที่มองออกมาจากใจตน ให้ติดตัวเป็นนิตย์ คิดให้แยบคายให้มากๆ
ผมอ่านข้อความตรงนี้แล้วอดหวนนึกถึงประเด็นเรื่องของ YouTube warrior ในวงการ bjj ไม่ได้ ที่ว่าบังฮิมบางค่ายนั้นมีทัศนคติรังเกียจคนที่ทำตัวเป็น YouTube warrior คือชอบไปจำกระบวนท่าแปลกๆ จากใน YouTube แล้วก็เอามาโชว์บนเบาะเพื่อที่จะแสดงว่าข้าเจ๋ง
จริงๆแล้วผมฟังทัศนคติแบบนี้ส่วนนึงก็ตะขิดตะขวงใจเหมือนกันเพราะว่าโดยส่วนตัวผมเองนั้นผมก็ชอบดู YouTube ชอบติดตามดูช่อง bjj ต่างๆ รวมไปถึงยูโดและแซมโบด้วย และบางครั้งหรือหลายครั้งผมก็ได้อาศัยพวกกระบวนท่าที่เรียนมาจากใน YouTube นั่นแหละเอามาเป็นตัวตั้งต้นในการฝึกฝนตัวเองบนเบาะไปด้วย แต่ในอีกด้านผมก็เข้าใจนะเหตุผลที่มีคนตั้งแง่รังเกียจการทำตัวเป็น YouTube warrior เนี่ย
หากท่านผู้อ่านจำคำสอนของมูซาชิในคัมภีร์แห่งปฐวี ข้อที่ว่า “เครื่องมือรบนั้น ให้เหมาะมือไปตามร่างกายของตน อย่าไปเลียนแบบคนอื่น” ได้ ก็คงจะเข้าใจสิ่งที่ผมอยากจะพูดต่อไปนี้นะครับว่า กระบวนท่าใดๆ ทั้งหลายของบีเจเจที่เขาสอนหรือแสดงสาธิต ใน YouTube เนี่ย เราก็ต้องเลือกให้เหมาะไปตามร่างกายของตนด้วย บางท่าใช้การเคลื่อนไหวซับซ้อนหลายขั้นตอน บางกระบวนท่าพึ่งพาความยืดหยุ่นของร่างกายหรือสมรรถนะทางร่างกายในระดับนักกีฬา (athletic) บางกระบวนท่าก็เหมาะกับคนตัวใหญ่มีพลังกดดันเยอะ บางกระบวนท่าก็เหมาะกับคนตัวเล็กแขนขาเล็กแต่ว่องไว การที่เราสักแต่ว่าเห็นกระบวนท่าใน YouTube อันนั้นแล้วมันดูเท่ดีดูเจ๋งแล้วเอามาเล่นโดยไม่ดูสภาพของตัวเอง ระวังจะทำให้ตัวเองบาดเจ็บ หรือแย่กว่านั้น คือไปทำให้คู่ซ้อมบาดเจ็บ
ฉะนั้นคำสอนที่สำคัญที่สุดของมูซาชิในตอนนี้ก็คือ การที่เราจะศึกษาอะไรจากสื่อนั้น อย่าสักแต่ดูสิ่งที่ปรากฏเห็นผิวเผินแต่ภายนอก ถ้าเป็นหนังสือก็คืออย่ายึดติดแต่ถ้อยคำตามตัวอักษร (ให้คิดไปให้ถึงความหมายโดยนัยด้วย) ดู YouTube ก็อย่าไปดูแต่ท่วงท่า (ให้ศึกษาพิจารณาไปถึงหลักการ กลไก ของกระบวนท่านั้น วางตำแหน่งร่างกายส่วนต่างๆ ยังไง เคลื่อนไหวยังไง ถ่ายน้ำหนักตัวยังไง) ถ้าเราดูอะไรจำอะไรมาแต่เพียงเปลือกภายนอกเอามาทำ มันจะกลายเป็นแค่การเลียนแบบ กลายเป็นของปลอมไปเท่านั้น ถ้าต้องการจะ “เรียนรู้” ไม่ใช่แค่ “เลียนแบบ” ก็ต้องเอามาหัดทำหัดสังเกตและปรับปรุง มองดูหาจุดที่จะทำให้มันดีขึ้น ให้มันเป็นการคิด “แก้ไขปรับปรุง” ที่ออกมาจากใจตัวเองจริงๆ ฝึกฝนทำไปจนมันทำได้แบบออกมาจากใจตัวเองจริงๆ นั่นแหละชื่อว่าได้เรียนรู้แล้ว
นานมาแล้วที่ผมดูวิดีโอสาธิตการใช้ท่าต่อเนื่อง ankle pick คว้าช้อนข้อเท้าคู่ต่อสู้จับยกขาข้างขวา แล้วเข้าทำ kouchi gari เอาขาขวาตัวเองเกี่ยวขาซ้ายอีกฝ่ายให้ล้ม กว่าที่จะผมจะจู่ๆ ทำท่านี้ได้โดยบังเอิญ (เพราะตอนอีกฝ่ายยืน ผมนั่ง แล้วมือขวาเหนี่ยวคอเสื้อ มือซ้ายจับข้อเท้าขวาอีกฝ่ายพอดี นึกไงไม่รู้เด้งขึ้นมายืนเอามือช้อนข้อเท้าเฉย) เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้เอง พูดง่ายๆ ได้เรียนได้เห็นมาแต่ปีก่อน เพิ่งเข้าใจ (ด้วยร่างกายและปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวบนเบาะ) และใช้มันได้เอาปีนี้? นั่นแหละครับสิ่งที่ผมอยากจะสื่อกับท่านผู้อ่าน
วันนี้ด้วยความเพลียก็ขอจบแบบดื้อๆ เท่านี้ก่อนนะครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าสวัสดีครับ
เพื่อให้เป็นบทความที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นผมจึงขอลงรูป…พอได้ละมุกนี้ 555 สัปดาห์หน้าอย่าลืมติดตามกันต่อนะครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (10) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): เรื่องของจังหวะแห่งพิชัยสงคราม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (9) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): การที่ว่ารู้ซึ่งความดีของอาวุธในพิชัยสงคราม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (8) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): การรู้ซึ่งความดีของตัวอักษรสองตัว เฮียวโฮ (兵法 พิชัยสงคราม)
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (7) คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): การตั้งชื่อสายสำนักนี้ว่านิโต (สองดาบ)
– เซนกับบราซิลเลี่ยนยูยิตสู (ตอนพิเศษ) ยูยิตสูเพื่อชีวิตที่ดีกว่า (จริงๆ นะ)
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (11) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): บทนำ