รวมพลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 4) พื้นที่ ทรัพยากร สิทธิบัตร และบทเรียนจากญี่ปุ่นในวันที่โลกหมุนเร็วกว่าเดิม
ในสามตอนก่อนหน้า เราได้พูดถึงการปรับโครงสร้างภายในมหาวิทยาลัยไทย การบริหารงานบุคคล การรวมคณะวิชา และบทบาทของผู้นำมหาวิทยาลัยที่ต้อง “กล้าพอจะยกเครื่อง” แต่ในตอนจบของซีรีส์ “Failed University” นี้ เราจะชวนคุณผู้อ่านมาดูอีก 4 มิติสำคัญที่หลายมหาวิทยาลัยไทยยังขาดกลไกในการปรับตัว ได้แก่
- การใช้พื้นที่และทรัพยากรให้เกิดมูลค่าสูงสุด
- การสร้างสิทธิบัตรที่ใช้ได้จริง
- การปรับทิศทางมหาวิทยาลัยที่หลงทาง
- บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้จริง
บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่น: ปรับตัวอย่างไรให้รอดในระยะยาว (2000–2025)
ประเทศญี่ปุ่นเริ่มเผชิญกับวิกฤตประชากรและเศรษฐกิจชะลอตัวตั้งแต่ต้นยุค 2000 ส่งผลให้จำนวนนักเรียนที่เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยลดลงเรื่อย ๆ แต่แทนที่จะปล่อยให้มหาวิทยาลัยอ่อนแอลงไปเฉย ๆ รัฐบาลญี่ปุ่นกลับใช้โอกาสนี้ “ปฏิรูปโครงสร้างอุดมศึกษา” ผ่านแนวทางที่จับต้องได้ดังนี้:

1. การควบรวมและการตั้งองค์กรกำกับตนเอง (Independent Administrative Institutions – IAIs)
ตั้งแต่ปี 2004 มหาวิทยาลัยของรัฐทั้งหมดในญี่ปุ่นถูกเปลี่ยนสถานะเป็น “องค์กรปกครองตนเอง” (National University Corporations) เพื่อให้สามารถจัดการงบประมาณ พื้นที่ และบุคลากรได้อย่างยืดหยุ่น เช่น
- University of Tokyo และ Kyoto University ได้สิทธิ์ในการกำหนดตำแหน่งอาจารย์ อัตราเงินเดือน และงบวิจัย โดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากรัฐบาลกลาง
- มีการควบรวมสถาบันเพื่อสร้าง “super university” เช่น การรวม Tokyo Institute of Technology กับ Tokyo Medical and Dental University ในปี 2024
ข้อคิด: มหาวิทยาลัยไทยสามารถนำแนวคิดนี้มาประยุกต์เพื่อให้แต่ละสถาบัน “มีมือมีไม้” มากขึ้นในการบริหารทรัพยากรตนเอง ไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลางในทุกเรื่อง
2. การใช้พื้นที่อย่างมีกลยุทธ์ (Space and Asset Utilization)
หลายมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นเผชิญปัญหา “ห้องเรียนร้าง” และ “อาคารว่าง” คล้ายไทย แต่พวกเขาแก้ปัญหาด้วยแนวคิด “เปิดพื้นที่ให้เศรษฐกิจและสังคม”
ตัวอย่างเช่น
- Kyushu University (Ito Campus) ปรับผังมหาวิทยาลัยใหม่ให้เชื่อมต่อกับเมือง โดยเปิดพื้นที่ให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีมาร่วมลงทุน เช่น Panasonic, Fujitsu เป็นต้น
- สร้าง Innovation Hub ให้ startup ใช้งานพื้นที่ร่วมกับนักวิจัยของมหาวิทยาลัย
- พื้นที่บางส่วนกลายเป็น “smart city sandbox” ให้ทดลองใช้ IoT, AI และระบบพลังงานใหม่
ข้อคิด: มหาวิทยาลัยไทยควรรีดีไซน์พื้นที่ให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของชุมชน ไม่ใช่แค่แหล่งเรียนในห้องสี่เหลี่ยม
3. สิทธิบัตรที่จับต้องได้ สร้างรายได้ได้จริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงาน และไม่ใช่เพียงเพื่อรับรางวัลเกียรติยศ
ญี่ปุ่นเริ่มจากการมีสิทธิบัตร “เยอะมากแต่ใช้น้อย” แต่ในช่วงปี 2010 เป็นต้นมา รัฐบาลและมหาวิทยาลัยต่างๆ หันมาใช้โมเดล “จากห้องแล็บสู่ตลาด” (Lab-to-Market)
ตัวอย่างคือ
- Tohoku University มีศูนย์ TLO (Technology Licensing Organization) ที่จับมือกับนักวิจัยตั้งแต่ต้นทาง ให้คำแนะนำตั้งแต่ก่อนขอจดสิทธิบัตร ว่าจะเอาไปใช้จริงในอุตสาหกรรมใดได้บ้าง
- มีเป้าหมายเชิงธุรกิจ เช่น รายได้จากเทคโนโลยีถ่ายทอดต้องเติบโตปีละ 10%
ข้อคิด: สิทธิบัตรที่ดีต้อง “แก้ปัญหาได้จริง” และ “มีคนอยากใช้” ไม่ใช่แค่เพื่อให้ได้ KPI ของอาจารย์ จุดนี้เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยเลย ที่เน้นทำงานวิจัยเพื่อตีพิมพ์และสร้างสิ่งที่เรียกว่า นวัตกรรม แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่ใช่นวัตกรรม เอกชนหรือผู้ประกอบการไม่ซื้อไอเดียต่อ พอถามเรื่องงบประมาณ ความคุ้มทุน การคืนทุน รวมถึงตัวเลขต่างๆที่เป็นในเชิงธุรกิจ มักได้คำตอบที่ถูกต้องกลับมาน้อยมากๆ ส่วนมากเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางธุรกิจ ไม่ได้สะท้อนการผลิตจริงๆ และที่สำคัญ คือไม่สามารถเอาไปใช้ในระดับมหาภาคเพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศได้
4. ปรับหางเสือมหาวิทยาลัยที่เคยหลงทาง
มหาวิทยาลัยหลายแห่งในญี่ปุ่นที่เคยเน้นสอนเฉพาะทางแบบดั้งเดิม เริ่มขยับเข้าสู่การออกแบบหลักสูตรสหวิทยาการ (Interdisciplinary Programs)
ตัวอย่างเช่น
- Osaka University เปิด “School of Frontier Biosciences” ที่ผสานชีววิทยา ฟิสิกส์ และคอมพิวเตอร์ เพื่อผลิตนักวิจัยที่เข้าใจโลกใหม่
- หลักสูตร Data Science และ AI Ethics กลายเป็นวิชาบังคับในหลายมหาวิทยาลัย
- สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) สำหรับคนวัยทำงานโดยตรง
ข้อคิด: มหาวิทยาลัยไทยที่เคยเน้นเฉพาะสอนให้จบหลักสูตร 4 ปี ควรเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มอื่นๆ เช่น คนวัยทำงาน นักเรียนสายอาชีพ หรือ startup ที่อยาก upskill
รวมถึงสร้างบทเรียนที่นักศึกษาสามารถศึกษาได้เอง เมื่อไหร่และกี่ครั้งก็ได้ และเพิ่มเวลาในกระบวนการคิดและแก้ปัญหาจากโจทย์จริงที่เกิดขึ้นในประเทศและในภูมิภาค
ควรเน้นการลงมือทำ มากกว่าการนั่งเรียนในห้องเรียนนานๆ
สร้างหลักสูตรที่เป็นปริญญาตรีควบปริญญาโท เพิ่มโอกาสให้นักศึกษาได้ไปต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นจุดขายของสาขาที่เรียน ทำให้นักศึกษาได้เห็นว่าเรียนและได้นำไปใช้ต่ออย่างไร
ได้เปิดโลกทัศน์มากยิ่งขึ้น
บทสรุป: ล้มแล้วต้องลุก และต้องลุกให้ถูกทาง
ที่สำคัญ รู้ว่าพังแน่ๆ ต้องลุกแล้วต้องปรับเปลี่ยนและแก้ปัญหาทันที
หากมหาวิทยาลัยไทยยังคงเดินตามแนวคิดแบบ “มหาวิทยาลัยเพื่อการสอบเข้า” หรือ “ผลิตบัณฑิตตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับเดิม” อาจต้องเจอกับอนาคตที่ไม่มีใครสมัครเข้าเรียนเลยก็ได้
ขณะที่ญี่ปุ่นเผชิญวิกฤตคล้าย ๆ กัน แต่กลับหันมาปรับกลยุทธ์ จัดสรรพื้นที่ สร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม เปลี่ยนสิทธิบัตรให้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่ใช้ได้จริง และพัฒนาหลักสูตรให้ทันโลก
มหาวิทยาลัยไทยไม่จำเป็นต้องเป็นแบบญี่ปุ่นทั้งหมด
แต่ควร “เลือกสิ่งที่เหมาะกับบริบทไทย” และลงมือทำอย่างจริงจังทันที
เพราะในโลกที่หมุนเร็วกว่าเดิม…
การอยู่เฉย = การถอยหลัง (ซึ่งตอนนี้ ประเทศไทยกำลังดำเนินอยู่)
การปรับตัว = โอกาสรอด
แต่การมองไกลและกล้าทำจริง = ผู้รอดแห่งอนาคต
เรื่องแนะนำ :
– รวมพลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 3)
– รวมพลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 2)
– รวมพลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 1)
– อาหวังแห่งแดนดิจิทัล: ความหวังดี หรือเส้นบางของความหลงใหล?
– Fujii Kaze: สุดยอดศิลปินซอฟพาวเวอร์แห่งแดนอาทิตย์อุทัย
#รวมพลังไม่ให้ล้ม: บทเรียนจากประเทศญี่ปุ่นสู่สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย (ตอนที่ 4) พื้นที่ ทรัพยากร สิทธิบัตร และบทเรียนจากญี่ปุ่นในวันที่โลกหมุนเร็วกว่าเดิม #บทเรียนจากญี่ปุ่น



