“ชุดนักเรียนญี่ปุ่นxชุดนักเรียนไทย: จำเป็นต้องมีหรือไม่”
ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีหลายประเทศที่เด็กนักเรียนต้องใส่ชุดนักเรียน แต่บางประเทศอนุญาตให้เด็กมีเสรีภาพในการแต่งกายและการแสดงออก ประเทศญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่เด็กนักเรียนต้องแต่งกายตามกฎระเบียบที่แต่ละโรงเรียนกำหนดไว้ ชุดนักเรียนญี่ปุ่นมีความเป็นเอกลักษณ์ในเรื่องของความน่ารักและมีความหลากหลาย คนทั่วไปรู้จักเครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่นผ่านสื่อต่างๆ เช่น มังงะ, อะนิเมะ, หนัง/ซีรี่ย์ (รวมถึงหนังเอวี)
ต้นกำเนิดของชุดนักเรียนญี่ปุ่นมาพร้อมกับการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยเหมือนอย่างตะวันตกตั้งแต่ยุคเมจิปี 1868 แรกเริ่มเด็กที่ได้เข้าเรียนและแต่งเครื่องแบบนักเรียนจะเป็นคนในราชวงศ์/ชนชั้นสูงเท่านั้น ที่ต้องมีการแต่งกายให้แตกต่างจากสามัญชนทั่วไปมีที่มาจากค่านิยมของคนตะวันตกที่ให้ความสำคัญกับเครื่องแบบที่บ่งบอกถึงสังกัดทางสังคม ชนชั้นและอาชีพ ช่วงแรกเด็กนักเรียนชายจะใส่เครื่องแบบ “กักคุรัน” (学ラン) มีลักษณะคล้ายเครื่องแบบของทหาร คือ เป็นชุดแขนยาวสีดำและกางเกงขายาวสีดำ ใส่หมวกปีกทรงเหลี่ยม/กลมที่มีตราของโรงเรียน ส่วนเครื่องแบบนักเรียนหญิงมาพร้อมกับการจัดตั้งโรงเรียนสตรีโตเกียว (東京女学校) ในปี 1872 มีการดัดแปลงให้แตกต่างจากชุดของนักเรียนชายเป็นชุด “ฮากามะ”
ในปี 1916 เกิดสงครามโลกขึ้น ทำให้ต้องหยุดการผลิตสิ่งทอ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบชุดนักเรียนให้เรียบง่ายขึ้นเป็นชุดกะลาสี (ชุดนาวีของยุโรป) ที่เป็นต้นแบบของชุดนักเรียนในปัจจุบัน ต่อมาช่วงหลังๆเริ่มมีโรงเรียนที่ดัดแปลงไปใช้ชุดตามโรงเรียนสอนศาสนาคาทอลิก เด็กนักเรียนโรงเรียนเอกชนและรัฐบาลส่วนใหญ่ที่เรียนระดับชั้นมัธยมจะถูกบังคับให้ใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียน (制服/ 学生服) ส่วนเด็กประถมมักจะได้รับอนุญาตให้แต่งกายตามสะดวก
ชุดนักเรียนชายระดับชั้นมัธยมในแต่ละโรงเรียนมีลักษณะคล้ายกัน คือ ใช้ชุดกัคคุรัน (学ラン) ส่วนมากเป็นสีดำ (บางโรงเรียนใช้สีกรมท่า/น้ำเงินเข้ม) เป็นชุดมีปกที่กลัดกระดุมจากบนลงล่าง ที่กระดุมมีตราของโรงเรียน (มีเรื่องมุ้งมิ้งของกระดุมเสื้อที่มาจากนิยายเรื่องหนึ่ง ผู้เขียนให้นิยามกับ “กระดุมเม็ดที่สองของเสื้อ” ว่าเป็นตัวแทนของหัวใจผู้ชายคนนั้น ดังนั้นในวันจบการศึกษาผู้ชายจะนำกระดุมเม็ดนี้ไปสารภาพรักกับผู้หญิงที่ตัวเองชอบ) ใส่กางเกงขายาว เข็มขัดสีดำหรือสีเข้ม ๆ รองเท้าที่ใส่เป็นรองเท้าส้นเตี้ยหรือรองเท้ากีฬา บางโรงเรียนบังคับให้นักเรียนติดเข็มกลัดที่ปกเสื้อเพื่อบอกโรงเรียนและบอกชั้น
ส่วนชุดนักเรียนหญิงมีหลากหลายแบบมาก แต่ละโรงเรียนมีรายละเอียดปลีกย่อยไม่เหมือนกัน มีชื่อเรียกชุดนักเรียนแต่ละประเภท เช่น Sailor Uniform, Blazer Uniform, Bolero Uniform, Eton Jacket Uniform ชุดที่เห็นกันบ่อย คือ ชุดกะลาสี (แบบเซเลอร์มูน) มีลักษณะคล้ายชุดทหาร เป็นเสื้อเชิ้ตที่มีปกแบบกะลาสีและกระโปรงจีบ มีโบว์ผูกอยู่ข้างหน้า บางครั้งอาจเป็นเนคไท ผ้าพันคอ สีที่ใช้มีหลายสี เช่น สีกรมท่า, สีขาว, สีเทา มีการกำหนดระเบียบถุงเท้าและรองเท้า เช่น ถุงเท้าต้องเป็นสีกรมท่า/สีขาว ส่วนรองเท้าเป็นรองเท้าส้นเตี้ยสีน้ำตาลและสีดำ
ชุดนักเรียนของญี่ปุ่นไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียวที่จะใส่ตลอดเวลา แต่ยังต้องมีชุดพละ, ชุดว่ายน้ำ และชุดเครื่องแบบนักเรียนที่แตกต่างกันตามแต่ละฤดู เพราะประเทศญี่ปุ่นมีหลายฤดูที่มีอุณหภูมิต่างกันมาก ทางโรงเรียนจะกำหนดวันเปลี่ยนชุด (衣替え) ชุดฤดูร้อนจะเป็นชุดแขนสั้นเสื้อสีขาวผ้าเนื้อบาง ส่วนฤดูใบไม้ผลิกับใบไม้ร่วงจะแต่งเหมือนชุดฤดูหนาวเป็นเสื้อแขนยาวผ้าเนื้อหนา มีเสื้อกั๊กหรือเสื้อโค้ทให้ใส่ตามความหนาวร้อนของแต่ละช่วง คนต่างชาติหลายคนอยากแต่งชุดนักเรียนแบบชาวญี่ปุ่นที่ดูสวยงามน่ารัก แต่คนญี่ปุ่นเองจำนวนไม่น้อยคิดว่าเครื่องแบบนักเรียนเป็นเรื่องที่สิ้นเปลือง เป็นภาระค่าใช้จ่าย เนื่องจากเครื่องแบบราคาสูง นอกจากนี้ยังต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อเครื่องประดับชุดนักเรียน เช่น เนคไท, ป้ายสลักชื่อ, ป้ายเลขห้อง/ชั้นปี, เข็มตราโรงเรียน, ป้ายชื่อติดชุดพละ และอื่นๆอีกมากมาย
เมื่อมองกลับมาดูที่ประเทศไทยเองที่พล้อตเรื่องชุดเครื่องแบบนักเรียนคล้ายญี่ปุ่นมาก ความเห็นเรื่องการที่โรงเรียนจะต้องบังคับให้เด็กนักเรียนทุกคนใส่เครื่องแบบเหมือนกันมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
>> เหตุผลสนับสนุนให้มีชุดเครื่องแบบนักเรียน:
. ชุดนักเรียนทำให้เกิดการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน (collectivism) ส่งผลให้นักเรียนมีความสามัคคี อยู่ในระเบียบวินัย ปกครองได้ง่าย
. สร้างความเท่าเทียมเสมอภาค ลดการเปรียบเทียบ ดูเรียบร้อย
. ประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเสียเงินไปกับการแต่งตัวแฟชั้นอวดกัน
. เพิ่มความมุ่งมั่นจริงจังตอนเรียนในห้องเรียนเพราะมีเครื่องแบบเป็นตัวกำหนด
. ใช้เวลากับการเรียนได้เต็มที่เพราะไม่ต้องคิดถึงเรื่องการแต่งตัว/ การค้นหาอัตลักษณ์ของตนเอง
. สร้างความภาคภูมิใจในสถานศึกษา/ บ่งบอกสถานภาพชัดเจน
>> เหตุผลคัดค้านการใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียน:
. เด็กควรมีอิสระที่จะได้แสดงความเป็นตัวเอง
. การบังคับให้เด็กใส่ชุดนักเรียนไม่ได้ทำให้เด็กมีความรับผิดชอบหรือตั้งใจเรียนมากขึ้น เด็กที่ตั้งใจเรียนไม่ว่าจะแต่งชุดอะไรก็ย่อมตั้งใจเรียน (ตอนไปเรียนพิเศษไม่ได้ต้องใส่เครื่องแบบนักเรียน)
. ชุดนักเรียนบางทีราคาแพงเกินไป การใส่เสื้อที่มีตำหนิหรือแตกต่างจากเพื่อนจะทำให้ถูกล้อ
. เป็นการแบ่งแยกพวกเขาพวกเรา (discrimination) เด็กนักเรียนที่เรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงจะได้รับการยอมรับและยกย่อง เป็นการเรียงลำดับชั้นกันทางสังคมโดยอัตโนมัติ
>> การหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน (collectivism) มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ?
_ ระบบที่สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นระบบที่มุ่งเน้นให้คนในสังคมนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายที่สังคมตั้งไว้ (collective goal) โดยไม่สนใจความต้องการของปัจเจกบุคคล
_ ในโลกปัจจุบันยังมีประเทศที่เลือกใช้ระบบนี้อยู่ เช่น ประเทศกลุ่มอาหรับ, ประเทศกลุ่มเอเซียใต้
@ ข้อดีของ Collectivism
> มีความเป็นเสถียรภาพ (stability) และสันติภาพ (Peace)
_ สมาชิกทุกคนไม่ต้องคิด แค่ทำตามสิ่งที่สังคมบอกให้ทำ
_ เมื่อไม่มีความแตกต่างก็ไม่เกิดปัญหา เพราะทางเลือกมีแค่หนึ่งเดียว
> เมื่อเรามีปัญหาจะมีคนช่วยเหลืออย่างแน่นอน (Help)
_ ในเมื่อทุกคนถูกหลอมให้เป็นแค่ 1 หน่วย ดังนั้นความเดือดร้อนของเราถือเป็นความเดือดร้อนของคนอื่นด้วย ทำให้ทุกคนยื่นมือให้ความช่วยเหลือ
> มีประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency)
_ เมื่อทุกคนมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อเป้าหมายเดียวกันย่อมเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะไม่มีคนคิดที่จะไปทำอย่างอื่นที่ทำให้เสียกำลังการทำงานไป
> เห็นแก่ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตัวเอง (Encourage Selflessness)
_ แต่ละคนละทิ้งความต้องการส่วนตัว ทำให้เห็นแก่ส่วนรวมเท่านั้น ไม่ต้องมีการตัดสินใจ ให้ผู้นำของสังคมตัดสินใจแทน แล้วทำสิ่งนั้นไปเลยโดยไม่ต้องคิด
@ ข้อเสียของ Collectivism
> สูญเสียจิตวิญญาณและความเป็นตัวเอง
_ ไม่มีพื้นที่ให้คนมีความฝันและความหวังที่เกิดจากตัวเอง เพราะเป้าหมายที่ต้องทำเป็นไปเพื่อส่วนรวมเท่านั้น
> ไอเดียเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ขัดกับธรรมชาติของมนุษย์
_ ตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์มีความคิดและความรู้สึกเป็นของตัวเอง ไม่มีใครที่จะคิดและทำเหมือนกันได้ 100%
การที่ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองทำให้เกิดความเจ็บปวดทางใจ
_ สังคมแบบ collectivism เป็นสังคมที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ แม้มีจุดมุ่งหมายให้ทำตามก็จริง แต่จุดหมายนั้นมักจะเปลี่ยนไปไม่ทันโลก ทุกคนยังฝังตัวกับความเชื่อและยุคสมัยเก่าๆ เปลี่ยนแปลงอะไรยาก
> เหมือนจะเท่าเทียมแต่ไม่เท่าเทียม (inequality)
_ ไม่ว่าใครจะลงมือลงแรงทำงานมากน้อยแค่ไหน สุดท้ายผลตอบแทนที่ได้รับก็เท่ากัน ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม เช่น ตามปกติคนที่ทำงานหนักกว่าควรได้ผลตอบแทนที่มากกว่า
_ สุดท้ายคนในระบบจะเกิดการเรียนรู้ว่าไม่ต้องทำงานก็ได้ผลตอบแทนที่เท่ากัน ดังนั้นมีแนวโน้มที่จะทำให้คนทำงานน้อยที่สุด
ความเห็นเรื่องชุดนักเรียนของหมอ คือ ควรให้แต่ละครอบครัวหรือเด็กเป็นคนเลือกว่าจะใส่ชุดนักเรียนหรือชุดไปรเวตก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆของครอบครัวนั้น โรงเรียนควรมุ่งเน้นวัดผลนักเรียนจากเรื่องอื่นๆมากกว่าการมาเพ่งเล็งว่าชุดนักเรียนที่ใส่นั้นถูกต้องตามคู่มือหรือไม่ เช่น ประเมินความรับผิดชอบเรื่องการเรียน
หมอเคยใส่ถุงเท้าย้วยๆ (หาถุงเท้าอันใหม่ไม่เจอ) แล้วถูกครูตีเพราะใส่ถุงเท้าผิดระเบียบ โดยครูไม่ฟังเหตุผล ยังเป็นเรื่องที่ฝังใจจนถึงทุกวันนี้ T^T
แต่ละท่านมีความเห็นอย่างไรกันบ้างคะ?
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– พลังแห่งการรับฟังจะยับยั้งการเข้าป่าอาโอกิกาฮาระแห่งความตาย
– “ตัวแทนแห่งดวงจันทร์จะลงทัณฑ์แกเอง”
– “แนนโน๊ะ x โทมิเอะ: ความแค้นและการให้อภัย” (เรต18+)
– Rilakkuma: เหนื่อยนักก็นอนพักก่อน
– หน้ากากที่คนญี่ปุ่นใส่ใช้ป้องกันภัยและปกป้องใจด้วย
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304