2 บุคลิกภาพของคนญี่ปุ่น …ผลของการปิดประเทศ 150 ปี มี 1.ญี่ปุ่นล้าหลังทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2.ไม่มีประชากรเพิ่มคงที่ที่ 30 ล้านคน 3.การเมืองมีเสถียรภาพ ไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีความปั่นป่วน 4.เปลี่ยนธรรมชาติของคนญี่ปุ่นที่แต่เดิมเป็นพวกชอบรบบู๊สู้ผจญชัย กลายเป็นพวกว่านอนสอนง่าย เชื่อแต่ผู้นำ ฟังแต่คำสั่งจากเบื้องบน แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติ ยามมีศึกสงคราม คนญี่ปุ่นก็วางตัวไม่ค่อยถูก
ที่มาจาก : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2542

ยุโรปชาติแรกที่แทรกเข้ามาค้าในญี่ปุ่นคือโปรตุเกส พร้อมกันนั้นก็นำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ มีผู้คนสนใจเข้ารีตกันเยอะครับ ไม่ถึง 30 ปี มีคนแห่เข้ารีตไปมากกว่า 1.5 แสน พวกชาวพุทธศาสนานิกายต่างๆ ก็จึงออกมาต้านค้านกันเต็มที่
ผู้นำญี่ปุ่นไม่รังเกียจศาสนาคริสต์ในแง่ของคำสอนนะครับ แต่กลัวภัยในแง่ของการปกครอง เพราะคนญี่ปุ่นที่เป็นคริสตังตั้งตัวภักดีต่อองค์สันตะปาปาที่กรุงโรมมากกว่าผู้นำประเทศญี่ปุ่น
นอกจากนั้น ผู้นำก็ยังไม่พอใจพวกมิชชันนารีที่เข้ามาสอนศาสนา ว่าเป็นผู้นำทำการรุกรานและยึดครองทางการทหารไปทั่วเอเชีย
ญี่ปุ่นสมัยหนึ่งจึงประกาศห้ามเผยแพร่คริสต์ศาสนา ประชาชนคนไหนต้องสงสัยว่าเป็นคริสตัง จะโดนคำสั่งให้ย่ำเท้าไปบนไม้กางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา ใครไม่กล้า ก็โดนฟันฉับฆ่าทิ้งอย่างทารุณเดี๋ยวนั้น
โดนกดขี่มาก ชาวนาเมืองนางาซากิที่ถือคริสต์ จึงขอให้เรือดัตช์ช่วยยิงปืนใหญ่ใส่ทหารญี่ปุ่น ขณะที่ตัวเอง 37,000 คน ก็ใช้กำลังต่อสู้กับรัฐบาลกลาง รบกันได้ 3 เดือน พวกคริสตังถูกฆ่าเกลี้ยง ศาสนาคริสต์จึงหมดไปจากเกาะอาทิตย์อุทัยในสมัยนั้นด้วยเหตุนี้
ตั้งแต่ พ.ศ.2181 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นก็ปิดประเทศ ต่อมาโปรตุเกสส่งทูตมาเจรจาขอให้เปิดการค้าขายกัน ทูตเหล่านั้นกลับโดนประหารชีวิตทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะปอดแหกกลัวศาสนาคริสต์จะเข้ามาในประเทศจนขึ้นสมอง จึงต้องมีคำสั่งห้ามคนญี่ปุ่นออกนอกประเทศ ที่กำลังอยู่เมืองนอกขณะนั้นก็ห้ามกลับมาตุภูมิ ห้ามมีการก่อร่างสร้างเรือขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ค้าขายกับต่างประเทศได้
[ad id=”61″]
ผลของการปิดประเทศ 150 ปี มี 1.ญี่ปุ่นล้าหลังทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2.ไม่มีประชากรเพิ่มคงที่ที่ 30 ล้านคน 3.การเมืองมีเสถียรภาพ ไม่มีการปฏิวัติ ไม่มีความปั่นป่วน 4.เปลี่ยนธรรมชาติของคนญี่ปุ่นที่แต่เดิมเป็นพวกชอบรบบู๊สู้ผจญชัย กลายเป็นพวกว่านอนสอนง่าย เชื่อแต่ผู้นำ ฟังแต่คำสั่งจากเบื้องบน
เพราะสมัยรัฐบาลเอโดได้สร้างกฎระเบียบเป็นพันๆ ข้อ ให้ประชาชนคนญี่ปุ่นยึดถือ ชีวิตเหมือนสูตรคณิตศาสตร์ คนญี่ปุ่นจึงเป็นมนุษย์ที่มี 2 บุคลิกภาพ จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไงละครับ ยามปกติก็โค้งเคารพนบนอบกันจนหัวแทบจะจดพื้น
แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติ ยามมีศึกสงคราม คนญี่ปุ่นก็วางตัวไม่ค่อยถูก โอย…ตื่นเต้น…ทุกอย่างเป็นจริงเป็นจัง ตื่นเต้น โมโหโกรธา บ้าคลั่งรุนแรง โหดร้ายอำมหิต คิดทำอะไรเลยเถิด ซึ่งตรงนี้อธิบายได้ดีกับความโหดของทหารญี่ปุ่นเมื่อรบชนะในต่างประเทศ
…สังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนให้ความสำคัญกับการเกษตรมาก ถือว่าเกษตรกรรมเท่านั้นที่เป็นแหล่งแห่งที่มาอันแท้จริงของโภคทรัพย์ พวกพ่อค้าถูกจัดให้อยู่ในชนชั้นที่ต่ำสุด ระยะหลังๆ พ่อค้าถึงเริ่มขยับมาเป็นคนชั้นกลาง และได้สร้างอำนาจเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์ในสมัยโทคูกาวา
ต่อมาอังกฤษ รัสเซียและอเมริกา พยายามให้เปิดเมืองท่าแต่ญี่ปุ่นไม่ยอม พ.ศ.2396 นายพลเปอร์รี่ของอเมริกาจึงเอาเรือรบมาจอดที่อ่าวโตเกียว ยื่นหนังสือของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สั่งให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ โดยกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ปีหน้าอั๊วะจะมาฟังคำตอบนะเฟ้ย
โอย คนญี่ปุ่นตอนนั้น ตัวสั่นอลหม่านไปทุกตรอกซอกประเทศด้วยข่าวเรือรบอเมริกันใหญ่โตมโหฬาร มีปืน แถมแล่นทวนกระแสลมได้ซะด้วย ฝูงชนคนทั้งหลายจึงเรียกไอ้เรือประเภทนี้ว่า“เรือดำ”
เรือดำลำนี้ละครับ ที่ทำให้ผู้นำญี่ปุ่นต้องเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเพื่อทูลขอความเห็นเป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์การปกครองของชนชั้นทหารที่ปกครองประเทศมานานถึง 600 ปี
ที่มาจาก :
1.หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2542
2.www.nitipoom.com